เราชาวเม่าชอบเขม่นกันเองว่าเม่าดอยเอย เม่าพาคนไปดอยเอย เม่าขายหมูซื้อควายเอย วันนี้ผมจะมาเฉลยครับว่าใครกันแน่ที่เป็นชาวดอยตัวจริงเสียงจริง ซื้อแหลกลาญ จนเงินเกลี้ยงกระเป๋า ดอยแบบไม่เกรงใจใคร มือใหญ่ใจโต ลองดูรูปแรกครับ
จากรูปจะเห็นว่านับตั้งแต่ปี 2013เป็นต้นมา คนที่ซื้อสุทธิเกือบทุกปีในหลักเป็นแสนๆล้านกลับเป็นกองทุนครับไม่ใช่เม่า ส่วนเม่านั้นขายกระจายไม่แพ้หรั่งเลย มีแค่ปี 2012 ปีเดียวที่กองนั้นขายออกมาประมาณ 24000 ล้าน ซึ่งเป็นปีที่หุ้นเริ่มขึ้นแรงๆแทนที่จะซื้อดันขายหมูซะงั้น นอกนั้นคือซื้อเกือบทุกปียกเว้นปี 2016 ปีเดียวที่ขายเพียงเล็กน้อยไม่มีนัยยะอะไร โดยตลอด 8 ปีที่ผ่านมากองทุนเป็นฝ่ายซื้อสุทธิเป็นเงินรวม 565585.90 ล้านบาท บระเจ้าาา!!!!
ส่วนรายย่อยนั้นตรงข้ามครับสุทธิแล้วยังเป็นฝ่ายขายสุทธิอยู่ 2 หมื่นกว่าล้านก็ถือว่าโอเค โดยจะเห็นว่ามีปีที่ซื้อหนักๆคือ 2013 2015 2018 โดยแน่นอน หรั่งเป็นฝ่ายขายสุทธิมาโดยตลอดรวมแล้วเป็นเงินเกือบๆ 6 แสนล้าน โอวววมายก็อดดดด!!!!!!
คราวนี้เรามาดูในกรอบเวลาสัมพันธ์กับดัชนี จากรูปจะเห็นว่ากรอบดัชนีในช่วงดังกล่าวแทบจะเป็นการวิ่ง กลับไปกลับมาอยู่ในช่วง 1200-1800 โดยตีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1500-1600 นั่นหมายความว่าอะไร กองทุนติดดอยสิครับ ประมาณ 3-400 จุด
และยิ่งกว่านั้นพฤติกรรมกองทุนเองเมื่อลงไปในรายละเอียดกลับพบว่าปีที่กองทุนซื้อหนักๆมือเลยระดับแสนล้านขึ้นไปจะอยู่ที่ยอดเขาเอเวอเรสทั้งสิ้น คือ 2013 ดัชนีทำยอดเขาไว้แถวๆ 1600 ส่วน 2017-2018 ที่กองทุนซื้อรวมกันประมาณ 3 แสนล้านนั้นดัชนีอยู่สูงถึง 1700-1800 โอ้วววววอยากจะกรี๊ด
นั่นแปลว่าอะไร ต้นทุนกองจริงๆน่าจะอยู่แถว 1700 อัพแล้วครับไม่ใช่ 1500 หรือแปลได้ว่าตอนนี้กองทุนติดดอยอยู่ 500 จุด
นี่พวกคุณเอาเงินเม่ามาป้อนใส่ปากหรั่งกันเหรอเพราะช่วงนั้นหรั่งมันขายหนักถึงเกือบ 3 แสนล้าน ในปีเดียว
จากนั้นมาดูในปีล่าสุดคือปีนี้กัน กองยังเป็นฝ่ายรับหุ้นมาอยู่ดีร่วม หกหมื่นล้าน แต่คราวนี้เม่าเองที่เป็นฝ่ายรับไม้ต่อจากหรั่งแทนกองทุนครับ เพราะเป็นปีที่เม่าซื้อหนักสุดประมาณ 2 แสนล้าน ซึ่งก็คือพฤติกรรมปรกติของรายย่อยอยู่แล้วคือติดดอยขาลง ยิ่งลงหนักยิ่งซื้อ
ส่วนกองทุนนี่สุดกว่าครับคือสูงสุดหยุดทีดอยจริงๆ มีพฤติกรรมขายหมูซื้อควายหมดฝูงอย่างแท้จริง
ดังนั้นหากมีใครบอกว่าเล่นเองทำไมให้กองเล่นให้ดีกว่า มืออาชีพ จ้างเงินเดือนเป็นแสน ย่อมทำได้ดีกว่าเม่าแน่นอน ท่านอาจต้องเปลี่ยนความคิดใหม่นะครับ เพราะผลงานประจักษ์ชัดแล้วว่าเม่าแท้จริงแล้วเก่งกว่ากองทุนมากครับ 5555
เผยความลับ ใครคือผู้นำดอยตัวจริง
จากรูปจะเห็นว่านับตั้งแต่ปี 2013เป็นต้นมา คนที่ซื้อสุทธิเกือบทุกปีในหลักเป็นแสนๆล้านกลับเป็นกองทุนครับไม่ใช่เม่า ส่วนเม่านั้นขายกระจายไม่แพ้หรั่งเลย มีแค่ปี 2012 ปีเดียวที่กองนั้นขายออกมาประมาณ 24000 ล้าน ซึ่งเป็นปีที่หุ้นเริ่มขึ้นแรงๆแทนที่จะซื้อดันขายหมูซะงั้น นอกนั้นคือซื้อเกือบทุกปียกเว้นปี 2016 ปีเดียวที่ขายเพียงเล็กน้อยไม่มีนัยยะอะไร โดยตลอด 8 ปีที่ผ่านมากองทุนเป็นฝ่ายซื้อสุทธิเป็นเงินรวม 565585.90 ล้านบาท บระเจ้าาา!!!!
คราวนี้เรามาดูในกรอบเวลาสัมพันธ์กับดัชนี จากรูปจะเห็นว่ากรอบดัชนีในช่วงดังกล่าวแทบจะเป็นการวิ่ง กลับไปกลับมาอยู่ในช่วง 1200-1800 โดยตีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1500-1600 นั่นหมายความว่าอะไร กองทุนติดดอยสิครับ ประมาณ 3-400 จุด
และยิ่งกว่านั้นพฤติกรรมกองทุนเองเมื่อลงไปในรายละเอียดกลับพบว่าปีที่กองทุนซื้อหนักๆมือเลยระดับแสนล้านขึ้นไปจะอยู่ที่ยอดเขาเอเวอเรสทั้งสิ้น คือ 2013 ดัชนีทำยอดเขาไว้แถวๆ 1600 ส่วน 2017-2018 ที่กองทุนซื้อรวมกันประมาณ 3 แสนล้านนั้นดัชนีอยู่สูงถึง 1700-1800 โอ้วววววอยากจะกรี๊ด
นั่นแปลว่าอะไร ต้นทุนกองจริงๆน่าจะอยู่แถว 1700 อัพแล้วครับไม่ใช่ 1500 หรือแปลได้ว่าตอนนี้กองทุนติดดอยอยู่ 500 จุด
จากนั้นมาดูในปีล่าสุดคือปีนี้กัน กองยังเป็นฝ่ายรับหุ้นมาอยู่ดีร่วม หกหมื่นล้าน แต่คราวนี้เม่าเองที่เป็นฝ่ายรับไม้ต่อจากหรั่งแทนกองทุนครับ เพราะเป็นปีที่เม่าซื้อหนักสุดประมาณ 2 แสนล้าน ซึ่งก็คือพฤติกรรมปรกติของรายย่อยอยู่แล้วคือติดดอยขาลง ยิ่งลงหนักยิ่งซื้อ
ส่วนกองทุนนี่สุดกว่าครับคือสูงสุดหยุดทีดอยจริงๆ มีพฤติกรรมขายหมูซื้อควายหมดฝูงอย่างแท้จริง
ดังนั้นหากมีใครบอกว่าเล่นเองทำไมให้กองเล่นให้ดีกว่า มืออาชีพ จ้างเงินเดือนเป็นแสน ย่อมทำได้ดีกว่าเม่าแน่นอน ท่านอาจต้องเปลี่ยนความคิดใหม่นะครับ เพราะผลงานประจักษ์ชัดแล้วว่าเม่าแท้จริงแล้วเก่งกว่ากองทุนมากครับ 5555