ต้นมะขามแสนรัก
ย้อนกลับไปสู่วัยเด็กการเล่นซุกซนนับว่าเป็นธรรมดาในวัยของเขา หนึ่งในนั้นก็คือการปีนป่ายต้นไม้ เมือพูดเรื่องต้นไม้ก็อยากจะเล่าว่าต้นไม้ที่ผมชอบปีนป่ายมันมากที่สุดคือ ต้นมะขาม หวังว่าหลายคนคงรู้จักกันนะครับ เพราะมันอยู่คู่กับวิถีแห่งความเป็นไทยมาอย่างยาวนาน คูณประโยชน์ของมันไม่ต้องพูดถึง ผลและยอดอ่อนของมันก็นำมาปรุงเป็นอาหารโดยเฉพาะแกงกะทิยอดมะขามอ่อนกับปลาปิ้ง หอมอร่อยน่าดู กิ่งก้าน ลำต้น ใช้ทำประโยชน์ได้หมดอย่างที่ชัดเจนมาก ที่สุดก็คือทำเขียง ที่ทุกครัวเรือนต้องมีประจำบ้านไว้ทุกหลัง
หากว่ามีเพื่อนบ้านคนไหนมีการโค่นต้นมะขามตกเย็นก็จะมีก็จะมีเพื่อนบ้านพี่น้องไปขอเลื่อนช่วงที่เป็นลำต้นเอาทำเป็นเขียงไว้ใช้ในครัว ย้อนเวลากลับไปประมาณ สี่สิบกว่าปี ช่วงที่ผมมีอายุราวๆ สามปีในแนวหมู่บ้านของผมซึ่งเป็นชนบทไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงในพื้นที่ของแต่ละครอบครัวที่ประกอบกันไปด้วยญาติพี่น้อง พวกเขาจะทำบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆกันสี่ถึงห้าครัวเรือนเหมือนกับอยู่กันเป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วในแต่ละกลุ่มก็จะมีต้นมะขามใหญ่อยู่ประจำกลุ่มละหนึ่งต้น เหมือนกับเป็นดั่งเสาหลักของครัวเรือนประมาณนั้น แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปไห้ ร่มเงาเย็นสบาย อบอุ่นมากๆ ใต้ต้นมะขามก็จะมีเพิงเล็กๆ ยกพื้น ไว้ไห้พี่ๆน้องๆได้นั่งพูดคุยหรือบางทีอาจจะมีกิจกรรมอะไรที่ต้องทำร่วมกันก็อาศัยพื้นที่บริเวณใต้ต้นมะขามนั้นแหละ เป็นลานกิจกรรม บางที่ก็ปูเสื่อนั่งล้อมวงกันเวลาทำข้าวต้มมัดในยามมีงานประเพณีสำคัญต่างๆประจำปีของทางภาคใต้ เช่นงานประเพณีทำบุญเดือนสิบ
ได้บรรยากาศดีทีเดียว ยิ่งเป็นคืนที่พระจันทร์ดวงด้วยแล้วยิ่งสนุกกันใหญ่ ผมชอบมากๆเวลาพระจันทร์เต็มดวงเพราะ บ้านผมไม่มีไฟฟ้า อีกอย่างลองนึกภาพดูแสงจันทร์สาดส่องลอกกิ่งต้นมะขามกระทบพื้นดินช่างเป็นภาพที่สวยงามมากๆ ผมชอบยืนดูตอนที่พระจันทร์ขึ้นพ้นจากแนวยอดต้นมะขามฉายแสงรัศมีอันสวยงามของมันสว่างไปทั่งท้องฟ้ายามค่ำคืน ในตอนนั้นหมู่บ้านของผมเริ่มมีหนังกลางแปลงเข้ามาฉายในหมู่บ้านแล้ว เวลาที่ผมไปดุหนังต้องไปกับน้าชายของผมเพราะว่าผมยังเล็กอยู่ ไม่กล้าไปคนเดียว ตอนขาไปไม่เท่าไรแต่ตอนขากลับนี้ซิมันมืดมาก เพราะไม่มีไฟฟ้า ส่องนำทาง เหมือนทุกอย่างวันนี้ แล้วทางกลับบ้านของผมมันต้องผ่านต้นมะขามของเพื่อนบ้านต้นหนึ่งมันอยู่ข้างทางเดินพอดี ลองนึกภาพดูถ้าเราเดินอยู่แล้วมีอะไรจะออกมาจากโคนต้นมะขามมันจะน่ากลัวขนาดไหน เหมือนกับในหนังสยองขวัญไม่มีผิด แล้วน้าชายของก็ชอบแกล้งผมอยู่เป็นประจำ พอหนังฉายเลิกน้ากับผมก็จะเดินกลับบ้านพร้อมกัน แต่พอใกล้ถึงต้นมะขามต้นนั้น น้าชายจะรีบเร่งฝีเท้าเดินไปเพื่อที่จะไห้ถึงต้นมะขามนั้นก่อนผม เพื่อที่จะได้ไปแอบที่โคนต้นมะขามต้นนั้นแล้วแกล้งหลอนผีผมตอนที่ผมเดินเข้าไปใกล้ต้นมะขามเป็นอย่างนี้ทุกทีไป เพราะมันมืดมากมืดจนมองอะไรไม่เห็น
เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ทำไห้ผมฝังอกฝังใจกับต้นมะขามก็คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่ของรุ่นพี่เพื่อนบ้านของผมเขาขอแรงให้พวกเด็กๆช่วยกันเก็บลูกมะขามเพื่อนำไปขายให้แม่ค้าคนกลาง เพราะเห็นพวกเราปีนป่ายมันอยู่เป็นประจำก็เลยใช้การเล่นของพวกเราให้เกิดประโยชน์ซะ วิธีเก็บลูกมะขามเก็บลุกที่อยู่ใกล้มือก่อนส่วนลูกมะขามที่อยู่ไกลมือก็ต้องใช้วิธีขย่มเอาไห้มันล่วงลงไปข้างล่าง หน้าที่ขย่มกิ่งต้นมะขามนี้ก็หน้าที่ผมเลยเพราะผมตัวเล็กน้ำหนักเบาสามารถเดินไปยืนที่แถวๆปลายกิ่งต้นมะขามได้อย่างสบายๆ สองมือจับจับกิ่งมะขามด้านบน อีกสองเท้าก็เหยียบกิ่งมะขามด้านล่าง พอรู้สึกว่ามันมั่นคงดีแล้วจึงค่อยขย่มไห้ลูกมะขามมันล่วงลงไปไห้พวกผู้หญิงเก็บอีกทีนี้ขีดความสามารถของผมก็มีขีดจำกัดอยู่เหมือนกันก็คือ กิ่งต้นมะขามที่อยู่สูงขึ้นไปมากๆผมไม่กล้าขึ้นไปขย่มเพราะกลัวตกลงมา แล้วรุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเขาก็ออกอุบายว่าถ้าขึ้นมาที่กิ่งด้านบนนี้ก็จะมองเห็นทะเลสาบ๖( หมู่บ้านผมอยู่ห่างจากทะเลสาบประมาณ ห้ากิโลเมตร) แต่ผมไม่กล้าขึ้นไปไอ้ความรู้สึกที่อยากเห็นทะเลสาบก็อยากเห็นแต่มันไม่กล้า นับตั้งแต่วันนั้นผมก็คิดอยู่ในหัวสมองทุกวันว่าถ้าปีนขึ้นไปอยู่ที่กิ่งต้นมะขามกิ่งบนสุดนั้นจะมองเห็นทะเลสาบจริงหรือ ก็ได้แต่คิดเวลาที่ผมเดินผ่านต้นมะขามนั้นอดที่จะนึกถึงภาพของทิวทัศน์ของท้องทุ่งนาที่สอกรับกับภาพทะเลสาบที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้ และแล้ววันหนึ่งเหมือนมีอะไรมาดลใจวันนั้นผมตั้งใจว่าจะเดินไปเล่นที่บ้านของรุ่นพี่คนนั้น แต่ไม่รู้ว่าทั้งเพื่อนๆและหัวหน้ากลุ่มของเราไปเล่นที่ไหนกันหมดเพราะบางวันพวกเราจะออกไปเล่นที่สวนมะพร้าวแถวๆหมู่บ้านเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
วันนี้เลยไม่มีใครมาที่นี้ผมเลยเดินกลับบ้านและผ่านต้นมะขามนั้นก็เลยคิดในใจว่าวันนี้ไม่มีใครเลยถ้าเราจะลองปีนต้นมะขามขึ้นไปยังกิ่งบนยอดสุดเพื่อจะดูทะเลสาบ ถ้าปีนไปไม่ถึงก็คงไม่มีใครเห็นและมาล้อเราได้ ว่าแล้วผมจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปโดยที่ไม่มีความกลัวใดๆอยู่ในจิตใจเลยผมค่อยๆปีนขึ้นไปเรื่อยๆอย่างช้าๆจนในที่สุดก็ขึ้นมาอยู่ที่กิ่งยอดสุดของต้นมะขาม ผมก็พยายามกวางสายตามองหาภาพทะเลสาบที่หัวหน้ากลุ่มเราเคยบอกไว้ แต่ไม่ปรากฏภาพเหล่านั้นแม้แต่น้อยมีแต่ภาพหลังคาบ้านเรือนของคนในหมู่บ้านกับท้องทุ่งนานิดหน่อย ผมยืนคิดอยู่ในใจว่ามันแค่นี้เองหรือกับการที่เราต้องใช้ความพยายามปีนป่ายมันขึ้นมาอยู่บนยอกสุดบนที่สูงเพื่อที่จะได้เห็นภาพที่ประทับใจแต่เปล่าเลยมันกลับไม่มีอะไรเลย ผมมองลงไปยังพื้นดินด้านล่างรับรู้ถึงระยะความสูงของต้นมะขามต้นนี้ก็พอสรุปได้ว่า “ ยิ่งสูงยิ่งไม่มีอะไร” แล้วผมก็ค่อยๆไต่ลงมาจากยอดสูงสุดของต้นมะขามต้นนั้นอย่างช้าๆเช่นเคย จนสกระทั้งเท้าของแตะพื้นดินผมก็เงยหน้าขึ้นไปดูกิ่งยอดสุงดของต้นมะขามอีกครั้งหนึ่งกิ่งที่เมื่อสักครู่ผมขึ้นไปยืนอยู่บนนั้น แล้วก้มน่าส่ายหัวว่าไม่น่าโดนหลอกเลย
นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับต้นมะขามที่ผมจำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ พอหมู่บ้านของผมเริ่มมีไฟฟ้า,ถนนหนทางเริ่มสะดวกสบายมากขึ้นผู้คนในหมู่บ้านผ้คนในหมู่บ้านเริ่มต้องการขนาดพื้นที่เพื่อใช้ในการสร้างที่อยู่อาศัยมากขึ้นตามแบบสมัยนิยม ก็ต้องมีการโค่นต้นมะขามทิ้งทีละต้นทีละต้นบ้างก็อ้างเหตุผลว่ากลัวเวลาฝนตกแล้วกิ่งของมันจะล่วงหล่นลงมาใส่หลังคาบ้าน จนถึงทุกวันนี้ในหมู่บ้านของผมมีต้นมะขามขนาดใหญ่ไม่ถึงสามต้น นอกนั้นก็เป็นต้นอายุอ่อนๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะถูกทำลายลงวันไหน คนเรานี้ก็แปลกชอบคิดอะไรแบบไม่ไกลจากตัวเองสักเท่าไรไม่คิดเสียบ้างว่าสักวันหนึ่งต้นไม้ต้นหนึ่งจะให้คุณค่าอันอนันต์ต่อคนรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา ทุกวันนี้ผมปลูกต้นมะขามไว้ที่สวนของผมสองต้นเผื่อว่าวันข้างหน้าจะได้มีต้นไม้ใหญ่ให้ลูกหลานปีนป่ายเล่น.
คุณลืมตอบคำถามที่ * จำเป็นต้องตอบ
ต้นมะขามแสนรัก
ย้อนกลับไปสู่วัยเด็กการเล่นซุกซนนับว่าเป็นธรรมดาในวัยของเขา หนึ่งในนั้นก็คือการปีนป่ายต้นไม้ เมือพูดเรื่องต้นไม้ก็อยากจะเล่าว่าต้นไม้ที่ผมชอบปีนป่ายมันมากที่สุดคือ ต้นมะขาม หวังว่าหลายคนคงรู้จักกันนะครับ เพราะมันอยู่คู่กับวิถีแห่งความเป็นไทยมาอย่างยาวนาน คูณประโยชน์ของมันไม่ต้องพูดถึง ผลและยอดอ่อนของมันก็นำมาปรุงเป็นอาหารโดยเฉพาะแกงกะทิยอดมะขามอ่อนกับปลาปิ้ง หอมอร่อยน่าดู กิ่งก้าน ลำต้น ใช้ทำประโยชน์ได้หมดอย่างที่ชัดเจนมาก ที่สุดก็คือทำเขียง ที่ทุกครัวเรือนต้องมีประจำบ้านไว้ทุกหลัง
หากว่ามีเพื่อนบ้านคนไหนมีการโค่นต้นมะขามตกเย็นก็จะมีก็จะมีเพื่อนบ้านพี่น้องไปขอเลื่อนช่วงที่เป็นลำต้นเอาทำเป็นเขียงไว้ใช้ในครัว ย้อนเวลากลับไปประมาณ สี่สิบกว่าปี ช่วงที่ผมมีอายุราวๆ สามปีในแนวหมู่บ้านของผมซึ่งเป็นชนบทไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงในพื้นที่ของแต่ละครอบครัวที่ประกอบกันไปด้วยญาติพี่น้อง พวกเขาจะทำบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆกันสี่ถึงห้าครัวเรือนเหมือนกับอยู่กันเป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วในแต่ละกลุ่มก็จะมีต้นมะขามใหญ่อยู่ประจำกลุ่มละหนึ่งต้น เหมือนกับเป็นดั่งเสาหลักของครัวเรือนประมาณนั้น แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปไห้ ร่มเงาเย็นสบาย อบอุ่นมากๆ ใต้ต้นมะขามก็จะมีเพิงเล็กๆ ยกพื้น ไว้ไห้พี่ๆน้องๆได้นั่งพูดคุยหรือบางทีอาจจะมีกิจกรรมอะไรที่ต้องทำร่วมกันก็อาศัยพื้นที่บริเวณใต้ต้นมะขามนั้นแหละ เป็นลานกิจกรรม บางที่ก็ปูเสื่อนั่งล้อมวงกันเวลาทำข้าวต้มมัดในยามมีงานประเพณีสำคัญต่างๆประจำปีของทางภาคใต้ เช่นงานประเพณีทำบุญเดือนสิบ
ได้บรรยากาศดีทีเดียว ยิ่งเป็นคืนที่พระจันทร์ดวงด้วยแล้วยิ่งสนุกกันใหญ่ ผมชอบมากๆเวลาพระจันทร์เต็มดวงเพราะ บ้านผมไม่มีไฟฟ้า อีกอย่างลองนึกภาพดูแสงจันทร์สาดส่องลอกกิ่งต้นมะขามกระทบพื้นดินช่างเป็นภาพที่สวยงามมากๆ ผมชอบยืนดูตอนที่พระจันทร์ขึ้นพ้นจากแนวยอดต้นมะขามฉายแสงรัศมีอันสวยงามของมันสว่างไปทั่งท้องฟ้ายามค่ำคืน ในตอนนั้นหมู่บ้านของผมเริ่มมีหนังกลางแปลงเข้ามาฉายในหมู่บ้านแล้ว เวลาที่ผมไปดุหนังต้องไปกับน้าชายของผมเพราะว่าผมยังเล็กอยู่ ไม่กล้าไปคนเดียว ตอนขาไปไม่เท่าไรแต่ตอนขากลับนี้ซิมันมืดมาก เพราะไม่มีไฟฟ้า ส่องนำทาง เหมือนทุกอย่างวันนี้ แล้วทางกลับบ้านของผมมันต้องผ่านต้นมะขามของเพื่อนบ้านต้นหนึ่งมันอยู่ข้างทางเดินพอดี ลองนึกภาพดูถ้าเราเดินอยู่แล้วมีอะไรจะออกมาจากโคนต้นมะขามมันจะน่ากลัวขนาดไหน เหมือนกับในหนังสยองขวัญไม่มีผิด แล้วน้าชายของก็ชอบแกล้งผมอยู่เป็นประจำ พอหนังฉายเลิกน้ากับผมก็จะเดินกลับบ้านพร้อมกัน แต่พอใกล้ถึงต้นมะขามต้นนั้น น้าชายจะรีบเร่งฝีเท้าเดินไปเพื่อที่จะไห้ถึงต้นมะขามนั้นก่อนผม เพื่อที่จะได้ไปแอบที่โคนต้นมะขามต้นนั้นแล้วแกล้งหลอนผีผมตอนที่ผมเดินเข้าไปใกล้ต้นมะขามเป็นอย่างนี้ทุกทีไป เพราะมันมืดมากมืดจนมองอะไรไม่เห็น
เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ทำไห้ผมฝังอกฝังใจกับต้นมะขามก็คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่ของรุ่นพี่เพื่อนบ้านของผมเขาขอแรงให้พวกเด็กๆช่วยกันเก็บลูกมะขามเพื่อนำไปขายให้แม่ค้าคนกลาง เพราะเห็นพวกเราปีนป่ายมันอยู่เป็นประจำก็เลยใช้การเล่นของพวกเราให้เกิดประโยชน์ซะ วิธีเก็บลูกมะขามเก็บลุกที่อยู่ใกล้มือก่อนส่วนลูกมะขามที่อยู่ไกลมือก็ต้องใช้วิธีขย่มเอาไห้มันล่วงลงไปข้างล่าง หน้าที่ขย่มกิ่งต้นมะขามนี้ก็หน้าที่ผมเลยเพราะผมตัวเล็กน้ำหนักเบาสามารถเดินไปยืนที่แถวๆปลายกิ่งต้นมะขามได้อย่างสบายๆ สองมือจับจับกิ่งมะขามด้านบน อีกสองเท้าก็เหยียบกิ่งมะขามด้านล่าง พอรู้สึกว่ามันมั่นคงดีแล้วจึงค่อยขย่มไห้ลูกมะขามมันล่วงลงไปไห้พวกผู้หญิงเก็บอีกทีนี้ขีดความสามารถของผมก็มีขีดจำกัดอยู่เหมือนกันก็คือ กิ่งต้นมะขามที่อยู่สูงขึ้นไปมากๆผมไม่กล้าขึ้นไปขย่มเพราะกลัวตกลงมา แล้วรุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเขาก็ออกอุบายว่าถ้าขึ้นมาที่กิ่งด้านบนนี้ก็จะมองเห็นทะเลสาบ๖( หมู่บ้านผมอยู่ห่างจากทะเลสาบประมาณ ห้ากิโลเมตร) แต่ผมไม่กล้าขึ้นไปไอ้ความรู้สึกที่อยากเห็นทะเลสาบก็อยากเห็นแต่มันไม่กล้า นับตั้งแต่วันนั้นผมก็คิดอยู่ในหัวสมองทุกวันว่าถ้าปีนขึ้นไปอยู่ที่กิ่งต้นมะขามกิ่งบนสุดนั้นจะมองเห็นทะเลสาบจริงหรือ ก็ได้แต่คิดเวลาที่ผมเดินผ่านต้นมะขามนั้นอดที่จะนึกถึงภาพของทิวทัศน์ของท้องทุ่งนาที่สอกรับกับภาพทะเลสาบที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้ และแล้ววันหนึ่งเหมือนมีอะไรมาดลใจวันนั้นผมตั้งใจว่าจะเดินไปเล่นที่บ้านของรุ่นพี่คนนั้น แต่ไม่รู้ว่าทั้งเพื่อนๆและหัวหน้ากลุ่มของเราไปเล่นที่ไหนกันหมดเพราะบางวันพวกเราจะออกไปเล่นที่สวนมะพร้าวแถวๆหมู่บ้านเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
วันนี้เลยไม่มีใครมาที่นี้ผมเลยเดินกลับบ้านและผ่านต้นมะขามนั้นก็เลยคิดในใจว่าวันนี้ไม่มีใครเลยถ้าเราจะลองปีนต้นมะขามขึ้นไปยังกิ่งบนยอดสุดเพื่อจะดูทะเลสาบ ถ้าปีนไปไม่ถึงก็คงไม่มีใครเห็นและมาล้อเราได้ ว่าแล้วผมจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปโดยที่ไม่มีความกลัวใดๆอยู่ในจิตใจเลยผมค่อยๆปีนขึ้นไปเรื่อยๆอย่างช้าๆจนในที่สุดก็ขึ้นมาอยู่ที่กิ่งยอดสุดของต้นมะขาม ผมก็พยายามกวางสายตามองหาภาพทะเลสาบที่หัวหน้ากลุ่มเราเคยบอกไว้ แต่ไม่ปรากฏภาพเหล่านั้นแม้แต่น้อยมีแต่ภาพหลังคาบ้านเรือนของคนในหมู่บ้านกับท้องทุ่งนานิดหน่อย ผมยืนคิดอยู่ในใจว่ามันแค่นี้เองหรือกับการที่เราต้องใช้ความพยายามปีนป่ายมันขึ้นมาอยู่บนยอกสุดบนที่สูงเพื่อที่จะได้เห็นภาพที่ประทับใจแต่เปล่าเลยมันกลับไม่มีอะไรเลย ผมมองลงไปยังพื้นดินด้านล่างรับรู้ถึงระยะความสูงของต้นมะขามต้นนี้ก็พอสรุปได้ว่า “ ยิ่งสูงยิ่งไม่มีอะไร” แล้วผมก็ค่อยๆไต่ลงมาจากยอดสูงสุดของต้นมะขามต้นนั้นอย่างช้าๆเช่นเคย จนสกระทั้งเท้าของแตะพื้นดินผมก็เงยหน้าขึ้นไปดูกิ่งยอดสุงดของต้นมะขามอีกครั้งหนึ่งกิ่งที่เมื่อสักครู่ผมขึ้นไปยืนอยู่บนนั้น แล้วก้มน่าส่ายหัวว่าไม่น่าโดนหลอกเลย
นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับต้นมะขามที่ผมจำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ พอหมู่บ้านของผมเริ่มมีไฟฟ้า,ถนนหนทางเริ่มสะดวกสบายมากขึ้นผู้คนในหมู่บ้านผ้คนในหมู่บ้านเริ่มต้องการขนาดพื้นที่เพื่อใช้ในการสร้างที่อยู่อาศัยมากขึ้นตามแบบสมัยนิยม ก็ต้องมีการโค่นต้นมะขามทิ้งทีละต้นทีละต้นบ้างก็อ้างเหตุผลว่ากลัวเวลาฝนตกแล้วกิ่งของมันจะล่วงหล่นลงมาใส่หลังคาบ้าน จนถึงทุกวันนี้ในหมู่บ้านของผมมีต้นมะขามขนาดใหญ่ไม่ถึงสามต้น นอกนั้นก็เป็นต้นอายุอ่อนๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะถูกทำลายลงวันไหน คนเรานี้ก็แปลกชอบคิดอะไรแบบไม่ไกลจากตัวเองสักเท่าไรไม่คิดเสียบ้างว่าสักวันหนึ่งต้นไม้ต้นหนึ่งจะให้คุณค่าอันอนันต์ต่อคนรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา ทุกวันนี้ผมปลูกต้นมะขามไว้ที่สวนของผมสองต้นเผื่อว่าวันข้างหน้าจะได้มีต้นไม้ใหญ่ให้ลูกหลานปีนป่ายเล่น.