สับสนตัวเอง ทำงานหลายอย่างเกินไป อยากมีที่ปรึกษาหรือรับฟังปัญหา

เกี่ยวกับอาชีพ,การงาน,ความมุ่งมั่น,ความเครียด
สวัสดีครับ ผมคือคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ดูภายนอกเหมือนไม่มีอะไรขาดแคลน ดูเหมือนคนชนชั้นกลางธรรมดา
แต่ใครจะรู้ว่า ลึกๆแล้วผมเป็นคนที่แทบจะไม่มีอะไรเลย...
เมื่อก่อน ผมจะเป็นคนมีไฟ เป็นตัวอย่างที่พ่อแม่บางคนยกตัวอย่างให้ลูกตัวเองฟังได้ แต่พอมาตอนนี้ทุกอย่างกลับกัน กลายเป็นชีวิตคนอื่นเหมือนจะเดินทางได้ถูกต้องหรือคล่องตัวกว่าเรามาก ชีวิตเราดูจะติดขัดไปเกือบทั้งหมด
อดีตอาจสำคัญ แต่รายละเอียดเยอะมาก จึงไม่ขอเล่าให้ฟัง แต่จะขอแทรกเป็นวงเล็บเปรียบเทียบทีละเหตุการณ์ครับ
ต่อไปนี้จะเป็นข้อดีข้อเสียของตัวเองที่ผ่านการคิดอย่างรอบคอบ ไม่เข้าข้างตัวเอง หรือดูถูกตัวเองครับ เพื่อให้คุณพอเข้าใจตัวตนของผมก่อน แล้วค่อยคิดเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ต่างๆที่ผมเจอ
ข้อดี
1.ผมเป็นคนอยู่ง่าย กินง่าย และค่อนข้างจะพอเพียงเป็นนิสัยหลักๆ
2.ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี ชอบมองทุกอย่างในด้านบวกเสมอจนชิน
3.ผมเป็นคนไม่ค่อยสนใจเรื่องของใคร ใครเล่าอะไรมาก็มักจะเฉยๆ กลายเป็นตู้เซฟเก็บความลับในสายตาเพื่อนๆ
4.ผมค่อนข้างขี้เกรงใจคน ไม่ชอบทะเลาะ เจอใครโมโหใส่จะไม่ตอบโต้ หรืออยากตอบโต้แต่จะคิดอะไรไม่ทัน จึงเถียงใครไม่เก่ง ยกเว้นหากเป็นเรื่องที่มีเหตุผล จะพยายามอธิบาย จนอีกฝ่ายอาจมองว่าน่ารำคาญ
5.ผมไม่ชอบเที่ยวหรือสังสรรค์ ชอบเที่ยวแบบประหยัดหรืออาจดูจืดชืดในสายตาหลายคน
6.ผมไม่ชอบเข้าสังคม จึงมักไม่มีปัญหาตามมาจากสังคมนั้นๆ เช่นการเป็นเป้านินทา หรือการไม่ช่วยใคร หรือการไม่ต้องใส่ใจเรื่องของใครๆที่ไม่เกี่ยวโดยตรงกับใคร
 
ข้อเสีย
1.ผมเป็นคนเหมือนจะเก็บตัว เพราะไม่ชอบเข้าสังคม บางครั้งจึงดูเหมือนเห็นแก่ตัว เมื่อยามมีกิจกรรมร่วมกัน หรือขอความร่วมมือเชิงการมีส่วนร่วมที่ไม่จำเป็นผมก็จะขอตัว แต่หากเป็นเรื่องสำคัญ จำเป็นผมก็จะร่วมจะช่วย แต่จะไม่ค่อยเสวนาหรือพูดคุยอะไรกับใครเหมื่อเสร็จงานแล้ว
2.ด้วยความที่เป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย จึงมักเป็นคนเหมือนขี้เกียจ บ้านช่องจึงดูรก ไม่เป็นระเบียบ หรือมักคิดว่าช่างมันยังไม่ถึงเวลา
3.เป็นคนมีความฝันหรือแรงผลักดันเป็นพักๆ ดูเหมือนไม่จับจด ทำงานเป็นอย่างๆสนใจเป็นอย่างๆ เมื่อสำเร็จหรือล้มเหลวก็จะหยุด แล้วมองหาสิ่งน่าสนใจอื่นไปแบบเลื่อนลอย
4.เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง ไม่ค่อยรับฟังใครง่ายๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผมเอง ชีวิตประจำวันของผมเอง ผมจะไม่ค่อยยอม ประมาณว่าคุณจะมารู้จักตัวผมเท่าตัวผมเองได้อย่างไร
5.เป็นคนชอบเสียดายของ หรือเห็นโอกาสไปทั่ว และชอบหาโอกาสหรือข้อดีของอะไรต่างๆที่ควรเป็นงานอดิเรกแต่บางครั้งผมกลับดูจริงจัง
6.(จากข้อ5 ) เป็นคนชอบเดินตลาดนัดของมือสองมาก และมักหลงไหลก็อะไรที่พอยังมีประโยชน์ หรือน่าจะได้ใช้ในอนาคตจึงซื้อมากองเต็มบ้าน แต่จะมักหวงถึงไม่ได้ใช้ก็จะไม่อยากขาย 
7.เป็นคนชอบคิดหรือทำอะไรเกินตัวหลายอย่างพร้อมๆกัน โดยที่ทำคนเดียว ลุยคนเดียว และไม่มีทุนแต่คิดเอาเองว่ามันต้องได้ มันคงจะดีขึ้น สุดท้ายก็เหมือนจับปลาหลายมือ แต่ความเป็นจริงคือมันน่าทำทั้งหมดพร้อมกันนั่นแหละ แค่เราไม่มีทุนและขาดคนช่วยเท่านนั้นเอง
8.เป็นคนมักอารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิด หากใครทำอะไรไม่ถูกใจจะแค่พูดบอกแบบธรรมดา หากอีกฝ่ายไม่เข้าใจหรือดูไม่ออกว่าเราไม่พอใจ ผมก็จะบอกให้เขาหยุด แล้วผมก็จะวางแผนทำเอง ถึงจะช้า แต่ก็จะทำเองเพราะเริ่มไม่ไว้ใจใคร
9.เป็นคนรู้เทคนิคอะไรดีๆหลายอย่างแต่มักจะทำตามไม่ได้ เพราะเราชอบทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ปัญหาเลยมาพร้อมๆกัน มีวันนึงผมมานั่งไล่ปัญหาที่ที ใส่ระดับความสำคัญเช่น 1คือต้องทำเร่งด่วน 2ต้องทำให้เสร็จนะ 3ยังไม่สำคัญมากรอก่อนก็ได้ ปรากฎว่า เมื่อลีสออกมาแล้วมีมากถึง 40กว่ารายการที่ต้องทำ หัวข้อที่1จะมากหน่อย 20กว่ารายการ หัวข้อที่2 มี10กว่ารายการ หัวข้อที่3 มีแค่5-6รายการ
จึงเกิดความเครียด เพราะรายการเร่งด่วนมันเยอะเกินจะทำทัน เงินจะจ้างคนช่วยก็ไม่มี ครั้นจะถอยก็คิดว่ายังไม่ถึงที่สุดเลยต้องสู้ แต่พอสักพัก เมื่อเริ่มคลายทีละอย่างก็ใช้เวลามากจนเกินไป กินเวลางานอื่นเพิ่มขึ้น เป็นดินพอกหางหมูไปเรื่อย เมื่อเจอปัญหาคนเดียว อธิบายใครยากก็เลยต้องอยู่กับปัญหาคนเดียวมาตลอด
พอมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น จึงทุ่มเงินเวลาไปจัดการกับปัญหานั้น ทำให้ปัญหาโดยรวมจากระดับการสะสางปัญหาเป็น 7/10 ก็จะลดลงมาเป็น 5/10 คือมีปัญหาเพิ่มขึ้น คะแนนการแก้ปัญหาลดลง ต้องสู้หนักขึ้น แข่งกับเวลาและทุนที่มีจำกัด
10.ตอนนี้เหมือนรู้สึกตัวเองมาไกลมากแล้ว ปัญหามีรอบด้าน แต่จัดการไม่ไหว จะถอยก็คงไม่รอด เพราะทุนไม่เหลือ มีทางเดียวคือต้องสานต่อให้จบ แต่เข้าใจว่าต้องจัดการระบบทั้งหมดใหม่ แต่บางครั้งเหมือนร่างกายสู้แต่ใจเริ่มล้าอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่คาดหวังไม่ได้สูงมาก แต่แค่หากทำทุกอย่างสำเร็จ ชีวิตจะดีขึ้นมาก จะสร้างงานและอาชีพให้คนอื่นได้อีกเยอะ และเปลี่ยนชีวิตไปอย่างแน่นอน
ปัญหารายจ่ายต่อเดือนตอนนี้คือราวๆ 20,000กว่าบาทต่อเดือน จึงมีความเครียดแหละเข้าใจตัวเอง ผ่านโควิดมาก็อย่างยากลำบาก ตอนนี้ก็ยังต้องดิ้นรนอย่างเดียว ตัวคนเดียว จะกู้ใครก็กลัวแบกภาระไม่ไหว กลายเป็เพิ่มภาระไปอีก
จริงๆอยากเล่าให้ฟังทั้งหมดนะครับแต่เล่าไม่หมดแน่นอนเพราะรายละเอียดมันเยอะมาก มากเกินกว่าจะอธิบายได้หมดในวันเดียว เพราะบางทีสมองเริ่มเบลอ เล่าปัญหาไป20ข้อ สักพักจะจำเพิ่มได้อีก5ข้อ พอนอนพักผ่อนพรุ่งนี้สมองปลอดโปร่งอาจนึกขึ้นได้อีก 10ข้อแบบนี้เป็นต้น จนตอนนี้ผมเริ่มมีอาการแปลกๆ บางครั้งเริ่มพูดคนเดียว มีอาการหลงๆลืมๆบ่อย ทั้งที่อายุแค่ 38ปี บางทีก็ลืมกินข้าว บางทีก็ลืมไปว่าวันนี้มีงานอะไรที่เร่งด่วน บางคืนก็จะผวาตื่นมาแล้วจำห้องนอนตัวเองไม่ได้ นึกว่านอนที่ไหนสักแห่งแต่สักพักจะจำได้ว่าทุกอย่างที่เห็นเราจัดห้องเอง นี่ห้องนอนเราเอง บางวันกินกาแฟนิดเดียวก็อยู่ได้ทั้งวัน บางวันกินเยอะกว่าเดิม3เท่าก็ง่วงทั้งวัน 
ถ้าจะให้ผมเหมือนถอดจิตแล้วออกไปยืนมองตัวเองแบบไกลๆ สิ่งที่วิเคราะห์ตัวเองได้ คือกลายเป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง ที่มีความคาดหวังในอนาคตที่ดีเหมือนคนอื่น มีความคิดอยากแบ่งปันหรือจ้างงานคนอื่นในชุมชน แต่ปัญหาที่มีในตอนนี้เยอะจนทำไม่ทัน หากมีคนแปลกหน้ามาถามทาง ผมก็จะตอบอย่างจริงใจ โดยไม่สนว่าเขาจะไปไหนหรือไปทำไม 
และภาพที่เห็นชัดอีกอย่างคือ เมื่อคนอื่นมองมาเกือบทุกคนจะพูดหรือมองเป็นทางเดียวกัน คือผมเก่งนิสัยดี ทำงานหลายอย่าง เป็นที่เคารพของคนหลายคน เป็นเสาหลักของครอบครัว และน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีในชุมชนได้ หากทำทุกอย่างสำเร็จ(จริงๆไม่ได้คาดหวังสิ่งเหล่านั้น แค่อยากทำเท่าที่จะมีโอกาสทำเท่านั้น)
 
คำถาม
1.ผมเข้าใจดีว่าทำทุกอย่างเกินตัว แต่จริงๆแล้วปัญหาตรงนี้อาจทุเลาลงได้ ขอแค่ผ่านหน้าฝนไป และผมมีเวลาฝึกฝนตัวเองเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีศักยภาพที่มากกว่านี้ ความคิดแบบนี้พอถูกทางไหมครับ
2.หากล้มเลิก คงน่าเสียดาย เพราะสิ่งที่ทำ3อย่างเป็นธุรกิจที่ทำต่อยอดกันได้ ยังไม่มีตัวไหนเด่น หรือถ้าจะทำทีละอย่างตอนนี้ก็ต้องพึ่งอีก2ตัวอยู่ดี เพราะมันทำควบคู่กันไปได้ แบบนี้ถือว่าน่าเสียดายไหม
3.อาการอย่างผมจะมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าแบบไม่รู้ตัวไหมครับ(เพราะจริงๆตอนนี้ผมแค่เหนื่อยกายเพราะการทำงานบางอย่างที่ใช้แรง เหนื่อยใจเพราะแค่ทำงานไม่ทันตามที่คาดไว้ แต่ไม่ได้หมดกำลังใจอะไร ถ้ามีทุนปัญหาทุกอย่างจะหมดไป แต่ไม่อยากกู้ใครเท่านั้นเอง)
4.คำกล่าวที่ว่ายุคนี้ มีรายได้ทางเดียวก็มีความเสี่ยง ผมจึงพยายามสู้เพื่อประคองรายได้3ทางนี้ไว้ ถือว่าผมคิดถูกไหมครับ
5.จริงๆผมอยากรู้จักคนที่มีความคิดเชิงบวก เป็นเพื่อนกัน มีไอเดียดีๆ เผื่อผมตันในบางครั้ง แต่ไม่รู้จะไปหาที่ไหน
คนรอบกายทุกวันนี้มีอยู่แค่2ประเภท คือหนึ่ง ดูถูกและคอยดูวันที่เราล้มเหลว สองคือให้กำลังใจแต่ไม่ออกความเห็นหรือไม่คล้อยตามสิ่งที่เราอธิบาย ความจริงคือเราอยากเป็นนายตัวเองโดยการปูพื้นเองรู้ปัญหาเอง เพื่อแก้เอง จึงจะเก่งเอง ส่วนคนเหล่านั้นจะคิดแค่มีงานทำเป็นหลักแหล่งก็พอใจ จึงไม่เข้าใจเป้าหมายที่เรามี
ในนี้ พอจะมีคนที่คิดแบบผมบ้างไหมครับ คือคิดการใหญ่เกินตัว แต่มองบวกเสมอ และรอให้ทุกอย่างลงตัว อาจแค่ปีเดียว แล้วทุกอย่างจะรันไปด้วยตัวมันเอง เราก็จะหลุดพ้นจากวังวนการทำงานแบบไร้อิสระสะที
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่