สวัสดีค่ะ เรื่องยาวนิดนึงนะคะ จขกท. เป็นกำพร้า ไม่เคยรู้จักพ่อแม่จริงๆเลยมาตั้งแต่เกิด จนปัจจุบัน อายุ28ปีแล้ว
ก่อนนี้ไม่เคยคิดตามหาพ่อแม่แท้ๆมาก่อน และไม่เคยถามกับคนที่เลี้ยงดูเราเลยว่าจริงๆแล้วพ่อแม่เราเป็นใคร ครอบครัวจริงๆอยู่ที่ไหน
ตั้งแต่จำความได้เราก็อยู่กับพ่อแม่ที่เก็บเรามาเลี้ยงโดยตลอด
ในความเป็นเด็กก็แอบสงสัยว่าทำไมฉันไม่มีใบเกิด (ต่างด้าว หรือคนเถื่อน ฉันเข้าเรียนได้ยังไง?) เวลาเห็นทะเบียนบ้าน ทำไมชื่อพ่อแม่ในนั้น ถึงไม่ใช่พ่อแม่ที่ฉันเรียกอยู่ตอนนี้ และนามสกุลฉันก็ไม่เหมือนใครในบ้านนี้สักคน มันก็เป็นความสงสัยในตอนเด็ก ว่าเอ๋ ? ฉันเกิดมาจากไหน ฉันมาอยู่บ้านนี้ได้ยังไง เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น
ส่วนครอบครัวที่เลี้ยงฉันมา เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ปกติทั่วไป ฉันแค่แอบสงสัยนะ ว่าถ้าฉันถูกทิ้ง ทำไมเขาไม่เอาฉันไปส่งสถานสงเคราะห์ โรงพยาบาล หรือแจ้งความ ก็แอบงงนิดๆ
แต่ฉันก็ไม่เคยกล้าถามใครในบ้านเลย เพียงแต่เวลาที่เขาดุ ว่า ฉัน ก็เหมือนจะด่าเราด้วยเรื่องชาติกำเนิดฉัน อะไรทำนองนี้
ตั้งแต่จำความได้และรับรู้ว่าฉันไม่ใช่ลูกบ้านนี้ ฉันก็สร้างโลกส่วนตัวที่ปิดกั้น ไม่สนิทกับลูกแท้ๆของบ้านนี้เลย ทั้งด้วยวัยที่ต่างกันมาก จากกำแพงที่ฉันสร้างไว้เอง
ซึ่งคนที่เอาฉันมาเลี้ยงเขามีลูกแล้ว3คน โตกว่าฉันทั้ง3คนเลย คนโตสุด ห่างกับฉัน21ปี ส่วนคนที่3 ห่างกับฉันถึง7ปี ต่อจากนี้จะเรียกพ่อแม่บุญธรรมว่า พ่อกับแม่เฉยๆแล้วกันเนอะ เพื่อจะได้เข้าใจง่ายๆ
ชีวิตในวัยเด็ก เหมือนเด็กเก็บกด ไม่รู้ว่าอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ไม่สนิทกับใคร ไม่ค่อยมีเพื่อน เก็บตัว เล่นคนเดียว กับพี่คนที่สามที่วัยใกล้สุดก็ไม่สนิทกัน ตีกัน ทะเลาะกัน ตลอด และทุกครั้งที่ทะเลาะ แม่เขาก็จะว่าฉันผิดตลอด และฉันเองจะคิดลบเสมอว่าก็ฉันไม่ใช่ลูกเขานิน่า ไม่แปลกที่เขาจะต้องปกป้องลูกเขา ความเก็บกดที่ฉันมี ทำให้ฉันใช้ชีวิตในโลกส่วนตัวที่มีกำแพงสูงๆนี้มาตลอด
ทุกวันนี้ที่ยังไม่เป็นบ้าสะก่อน ก็คงเป็นพ่อ ที่เป็นคนเดียวในบ้านที่ฉันกล้าที่จะคุยด้วย ทำให้ฉันใจชื่นขึ้นมาบ้าง พ่อนั้นถึงแม้จะพิการทางสายตา แต่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นความเมตตาของเขานี้แหละทำให้ฉันรอดมาถึงทุกวันนี้ ฉันจึงรู้สึกดีที่อยู่กับพ่อมากกว่าอยู่กับแม่ และเชื่อว่าทุกวันนี้ที่ฉัน ถึก อดทน ทำได้ทุกอย่าง เอาตัวรอดปลอดภัย แบบนี้ เพราะพ่อคนนี้จริงๆ
ชีวิตในวัยมัธยมต้น ฉันยังคงต้องรบกวนพ่อในเรื่องการเรียน แต่ฉันพยายามหางานทำ รับจ้างเล็กๆน้อยๆ หลังเลิกเรียนเพื่อเป็นค่าขนมไปโรงเรียนเสมอ เพื่อที่จะรบกวนพ่อให้น้อยที่สุด พ่อบุญธรรมเป็นนักดนตรี ที่พิการทางสายตา ต้องไปทำงานอยู่กทม. ส่วนแม่บุญธรรมนั้นเป็นแม่ค้าอยู่ต่างจังหวัด ตัวฉันเรียนหนังสืออยู่ต่างจังหวัด แต่เมื่อเป็นวันหยุดของการเรียนฉันจะนั่งรถเข้ากทม.ทันทีเพราะฉันรู้สึกสบายใจที่อยู่กับพ่อมากกว่า แถมยังได้ช่วยเสิร์ฟอาหารล้างจาน ที่ห้องเพลงที่พ่อทำงาน อย่างน้อยฉันก็จะได้ทิปจากการช่วยนี้เป็นเงินไปโรงเรียนอีกทาง และนั่งรถกลับไปเรียนที่ต่างจังหวัดในเช้าวันจันทร์เสมอ ตั้งแต่ประถมปลาย ใช้ชีวิต แบบนี้มาจนจบ.ปวช(เทียบเท่าม.6) จากนั้นฉันสอบเข้ามหาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตบางขุนเทียน (บางมด) สาขา มัลติมีเดีย นี้เป็นความภูมิใจของฉันมากๆ ฉันสอบตั้งแต่ตอน ปวช.2 จะขึ้นปวช.3 ในการเปิดสอบรอบแรกเลย และฉันก็สอบติด1ใน19คนทั่วประเทศในรอบนั้น และฉันเป็นเด็กสายอาชีพคนเดียวที่สอบติด เพราะอีก18คนเป็นเด็กสายสามัญหมดเลย ฉันโคตรภูมิใจ (ขอขิงนิดนึงเพราะชีวิตไม่ค่อยมีอะไรน่าภูมิใจ) แต่ดีใจได้ไม่นาน เมื่อพบว่าค่าเทอม คณะที่ฉันจะเรียนนั้นสูงมาก และฐานะของฉันที่ยากจน ความผิดหวังของเด็กฐานะยากจน ไม่รู้จักหนทางในตอนนั้น มันทำให้ฉันเข้าสู่โลกมืดจากนั้นและทิ้งการเรียนทุกอย่างในสองเทอมสุดท้ายไม่สนใจผลการเรียนอีกต่อไป เรียนแค่พอให้จบไปวันๆ ทุลักทุเลจนจบปวช. ปิดกั้นตัวเองไปช่วงนึง และตัดสินใจไม่เรียนต่อ หันหน้าหางานทำ ตั้งแต่นั้นมา ก็ทำงานเรื่อยมา ทำที่ต่างจังหวัดก่อน2ปี และย้ายไปทำงานกทม.อยู่กับพ่อบุญธรรม เพราะเขาไม่ค่อยสบายด้วย ก็จนกระทั่งอายุประมาณ22ปี พ่อบุญธรรมเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ฉันดูแลเขาจนนาทีสุดท้าย ฉันภูมิใจที่สุดแล้ว หลังจากนั้นฉันจึงต้องกลับมาอยู่กับแม่บุญธรรม ที่ระหองระแหง สร้างบาดแผลในใจสะสมกันมานานนั้นโดยที่ไม่มีพ่อคอยเป็นยาสมานแผลให้อีกแล้ว และฉันก็อยู่ไม่ได้จริงๆ สุดท้าย ฉันเก็บเสื้อผ้าข้าวของๆ ฉันออกจากบ้าน ออกมาใช้ชีวิตคนเดียว กับหมาตัวน้อยๆของฉัน ฉันเหลือเพียงลูกหมาตัวน้อยตัวเดียวที่เข้าใจฉัน เราออกมาผจญชีวิตกัน 2ชีวิต ระหกระเหิน ไปเรื่อย ชีวิตขึ้นๆลงๆมาเรื่อย ทำงานประจำหาเช้ากินค่ำ กันอยู่สองชีวิต จนตอนนี้ฉันอายุ28ปีแล้ว เมื่อวันเกิดครบ28ปีของฉันที่ผ่านมา อยู่ๆฉันก็คิด เล่นพิเรน โดยการลองพิมพ์ค้นหาชื่อพ่อแม่จากในทะเบียนบ้าน ใน facebook แต่ก็ไม่เจอเลย หรือเขาอาจจะไม่เล่นเฟซบุ๊ค หรืออย่างไร ก็ไม่อาจรู้ได้ มันดูเป็นเรื่องตลก อยู่นิดนิด ว่าอายุป่านนี้แล้วจะมาตามหาเขาทำไม แค่แอบสงสัยบางช่วงทีเราท้อๆไม่เหลือใครอะนะ แต่ก็เนอะ มันอดีตที่ผ่านมาแล้ว ถ้าหาเจอก็ไม่มีอะไรหรอก
ทุกวันนี้คิดว่าตัวเองเกิดจากกระบอกไม่ไผ่ไปแล้ว 🤣🤣
ปล. แต่ถ้าใครรู้จัก ชื่อนี้ ทักมาหา จขกท.ได้นะคะ
🕺 บิดา นายมนูญ กิติพรหม
💃 มารดา นางพิมพลอย กิติพรหม
ประมาณนี้ที่มีข้อมูล ไม่รู้อะไรนอกจากนี้แล้วค่ะ
ขอบคุณที่ทนอ่านกันจน จบนะคะ
-------
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกความคิดเห็นนะคะ คงไม่ตามหาแล้ว ความจริงที่ต้องเจอบางอย่างอาจจะทำให้แย่กว่าเดิม เดินหน้าต่อดีกว่าค่ะ
ตามหาพ่อแม่แท้ๆ ตอนอายุ28ปี ทันไหมคะ
ก่อนนี้ไม่เคยคิดตามหาพ่อแม่แท้ๆมาก่อน และไม่เคยถามกับคนที่เลี้ยงดูเราเลยว่าจริงๆแล้วพ่อแม่เราเป็นใคร ครอบครัวจริงๆอยู่ที่ไหน
ตั้งแต่จำความได้เราก็อยู่กับพ่อแม่ที่เก็บเรามาเลี้ยงโดยตลอด
ในความเป็นเด็กก็แอบสงสัยว่าทำไมฉันไม่มีใบเกิด (ต่างด้าว หรือคนเถื่อน ฉันเข้าเรียนได้ยังไง?) เวลาเห็นทะเบียนบ้าน ทำไมชื่อพ่อแม่ในนั้น ถึงไม่ใช่พ่อแม่ที่ฉันเรียกอยู่ตอนนี้ และนามสกุลฉันก็ไม่เหมือนใครในบ้านนี้สักคน มันก็เป็นความสงสัยในตอนเด็ก ว่าเอ๋ ? ฉันเกิดมาจากไหน ฉันมาอยู่บ้านนี้ได้ยังไง เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น
ส่วนครอบครัวที่เลี้ยงฉันมา เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ปกติทั่วไป ฉันแค่แอบสงสัยนะ ว่าถ้าฉันถูกทิ้ง ทำไมเขาไม่เอาฉันไปส่งสถานสงเคราะห์ โรงพยาบาล หรือแจ้งความ ก็แอบงงนิดๆ
แต่ฉันก็ไม่เคยกล้าถามใครในบ้านเลย เพียงแต่เวลาที่เขาดุ ว่า ฉัน ก็เหมือนจะด่าเราด้วยเรื่องชาติกำเนิดฉัน อะไรทำนองนี้
ตั้งแต่จำความได้และรับรู้ว่าฉันไม่ใช่ลูกบ้านนี้ ฉันก็สร้างโลกส่วนตัวที่ปิดกั้น ไม่สนิทกับลูกแท้ๆของบ้านนี้เลย ทั้งด้วยวัยที่ต่างกันมาก จากกำแพงที่ฉันสร้างไว้เอง
ซึ่งคนที่เอาฉันมาเลี้ยงเขามีลูกแล้ว3คน โตกว่าฉันทั้ง3คนเลย คนโตสุด ห่างกับฉัน21ปี ส่วนคนที่3 ห่างกับฉันถึง7ปี ต่อจากนี้จะเรียกพ่อแม่บุญธรรมว่า พ่อกับแม่เฉยๆแล้วกันเนอะ เพื่อจะได้เข้าใจง่ายๆ
ชีวิตในวัยเด็ก เหมือนเด็กเก็บกด ไม่รู้ว่าอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ไม่สนิทกับใคร ไม่ค่อยมีเพื่อน เก็บตัว เล่นคนเดียว กับพี่คนที่สามที่วัยใกล้สุดก็ไม่สนิทกัน ตีกัน ทะเลาะกัน ตลอด และทุกครั้งที่ทะเลาะ แม่เขาก็จะว่าฉันผิดตลอด และฉันเองจะคิดลบเสมอว่าก็ฉันไม่ใช่ลูกเขานิน่า ไม่แปลกที่เขาจะต้องปกป้องลูกเขา ความเก็บกดที่ฉันมี ทำให้ฉันใช้ชีวิตในโลกส่วนตัวที่มีกำแพงสูงๆนี้มาตลอด
ทุกวันนี้ที่ยังไม่เป็นบ้าสะก่อน ก็คงเป็นพ่อ ที่เป็นคนเดียวในบ้านที่ฉันกล้าที่จะคุยด้วย ทำให้ฉันใจชื่นขึ้นมาบ้าง พ่อนั้นถึงแม้จะพิการทางสายตา แต่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นความเมตตาของเขานี้แหละทำให้ฉันรอดมาถึงทุกวันนี้ ฉันจึงรู้สึกดีที่อยู่กับพ่อมากกว่าอยู่กับแม่ และเชื่อว่าทุกวันนี้ที่ฉัน ถึก อดทน ทำได้ทุกอย่าง เอาตัวรอดปลอดภัย แบบนี้ เพราะพ่อคนนี้จริงๆ
ชีวิตในวัยมัธยมต้น ฉันยังคงต้องรบกวนพ่อในเรื่องการเรียน แต่ฉันพยายามหางานทำ รับจ้างเล็กๆน้อยๆ หลังเลิกเรียนเพื่อเป็นค่าขนมไปโรงเรียนเสมอ เพื่อที่จะรบกวนพ่อให้น้อยที่สุด พ่อบุญธรรมเป็นนักดนตรี ที่พิการทางสายตา ต้องไปทำงานอยู่กทม. ส่วนแม่บุญธรรมนั้นเป็นแม่ค้าอยู่ต่างจังหวัด ตัวฉันเรียนหนังสืออยู่ต่างจังหวัด แต่เมื่อเป็นวันหยุดของการเรียนฉันจะนั่งรถเข้ากทม.ทันทีเพราะฉันรู้สึกสบายใจที่อยู่กับพ่อมากกว่า แถมยังได้ช่วยเสิร์ฟอาหารล้างจาน ที่ห้องเพลงที่พ่อทำงาน อย่างน้อยฉันก็จะได้ทิปจากการช่วยนี้เป็นเงินไปโรงเรียนอีกทาง และนั่งรถกลับไปเรียนที่ต่างจังหวัดในเช้าวันจันทร์เสมอ ตั้งแต่ประถมปลาย ใช้ชีวิต แบบนี้มาจนจบ.ปวช(เทียบเท่าม.6) จากนั้นฉันสอบเข้ามหาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตบางขุนเทียน (บางมด) สาขา มัลติมีเดีย นี้เป็นความภูมิใจของฉันมากๆ ฉันสอบตั้งแต่ตอน ปวช.2 จะขึ้นปวช.3 ในการเปิดสอบรอบแรกเลย และฉันก็สอบติด1ใน19คนทั่วประเทศในรอบนั้น และฉันเป็นเด็กสายอาชีพคนเดียวที่สอบติด เพราะอีก18คนเป็นเด็กสายสามัญหมดเลย ฉันโคตรภูมิใจ (ขอขิงนิดนึงเพราะชีวิตไม่ค่อยมีอะไรน่าภูมิใจ) แต่ดีใจได้ไม่นาน เมื่อพบว่าค่าเทอม คณะที่ฉันจะเรียนนั้นสูงมาก และฐานะของฉันที่ยากจน ความผิดหวังของเด็กฐานะยากจน ไม่รู้จักหนทางในตอนนั้น มันทำให้ฉันเข้าสู่โลกมืดจากนั้นและทิ้งการเรียนทุกอย่างในสองเทอมสุดท้ายไม่สนใจผลการเรียนอีกต่อไป เรียนแค่พอให้จบไปวันๆ ทุลักทุเลจนจบปวช. ปิดกั้นตัวเองไปช่วงนึง และตัดสินใจไม่เรียนต่อ หันหน้าหางานทำ ตั้งแต่นั้นมา ก็ทำงานเรื่อยมา ทำที่ต่างจังหวัดก่อน2ปี และย้ายไปทำงานกทม.อยู่กับพ่อบุญธรรม เพราะเขาไม่ค่อยสบายด้วย ก็จนกระทั่งอายุประมาณ22ปี พ่อบุญธรรมเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ฉันดูแลเขาจนนาทีสุดท้าย ฉันภูมิใจที่สุดแล้ว หลังจากนั้นฉันจึงต้องกลับมาอยู่กับแม่บุญธรรม ที่ระหองระแหง สร้างบาดแผลในใจสะสมกันมานานนั้นโดยที่ไม่มีพ่อคอยเป็นยาสมานแผลให้อีกแล้ว และฉันก็อยู่ไม่ได้จริงๆ สุดท้าย ฉันเก็บเสื้อผ้าข้าวของๆ ฉันออกจากบ้าน ออกมาใช้ชีวิตคนเดียว กับหมาตัวน้อยๆของฉัน ฉันเหลือเพียงลูกหมาตัวน้อยตัวเดียวที่เข้าใจฉัน เราออกมาผจญชีวิตกัน 2ชีวิต ระหกระเหิน ไปเรื่อย ชีวิตขึ้นๆลงๆมาเรื่อย ทำงานประจำหาเช้ากินค่ำ กันอยู่สองชีวิต จนตอนนี้ฉันอายุ28ปีแล้ว เมื่อวันเกิดครบ28ปีของฉันที่ผ่านมา อยู่ๆฉันก็คิด เล่นพิเรน โดยการลองพิมพ์ค้นหาชื่อพ่อแม่จากในทะเบียนบ้าน ใน facebook แต่ก็ไม่เจอเลย หรือเขาอาจจะไม่เล่นเฟซบุ๊ค หรืออย่างไร ก็ไม่อาจรู้ได้ มันดูเป็นเรื่องตลก อยู่นิดนิด ว่าอายุป่านนี้แล้วจะมาตามหาเขาทำไม แค่แอบสงสัยบางช่วงทีเราท้อๆไม่เหลือใครอะนะ แต่ก็เนอะ มันอดีตที่ผ่านมาแล้ว ถ้าหาเจอก็ไม่มีอะไรหรอก
ทุกวันนี้คิดว่าตัวเองเกิดจากกระบอกไม่ไผ่ไปแล้ว 🤣🤣
ปล. แต่ถ้าใครรู้จัก ชื่อนี้ ทักมาหา จขกท.ได้นะคะ
🕺 บิดา นายมนูญ กิติพรหม
💃 มารดา นางพิมพลอย กิติพรหม
ประมาณนี้ที่มีข้อมูล ไม่รู้อะไรนอกจากนี้แล้วค่ะ
ขอบคุณที่ทนอ่านกันจน จบนะคะ
-------
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกความคิดเห็นนะคะ คงไม่ตามหาแล้ว ความจริงที่ต้องเจอบางอย่างอาจจะทำให้แย่กว่าเดิม เดินหน้าต่อดีกว่าค่ะ