รีวิวอัลบั้ม WORDS จาก The Darkest Romance แบบหมดเปลือก!!

นานพอสมควรแล้วที่ไม่ได้เขียนรีวิวอัลบั้มเพลงแบบจริงๆจังๆ และเช่นกันกับที่นานพอสมควรแล้วที่ไม่ได้ตื่นเต้นกับเพลงไทยมากขนาดนี้ บอกได้เลยว่าเป็นงานที่เซอร์ไพรส์เรามากๆ หลังจากอัลบั้มออกมาก็ฟังวนจนจบไปไม่รู้กี่รอบแล้ว และเพราะมีหลายความประทับใจต่ออัลบั้มนี้ เลยคิดอยากจะเขียนรีวิวแบบเต็มๆให้ได้อ่านกัน เผื่อพอจะมีคนผ่านมาเห็นได้รับรู้และได้เปิดโลกดูว่า อ๋อ วงการเพลงไทยก็มีวงดีๆขนาดนี้ ผลงานประณีตขนาดนี้ และเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าเพลงร็อกไม่เคยตาย แต่ต้องบอกก่อนว่าเราเองเป็นสายรีวิวแบบบ้านๆ ไม่ใช่นักดนตรี ไม่ได้มีความรู้เรื่องดนตรีเท่าไหร่ แต่จะกลั่นออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ถ้าหากมีเรื่องดนตรีบางอย่างที่เราพูดผิดไปก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ อาจจะยาวกันสักนิดนึงนะครับ เพราะอยากจะเขียนให้คุ้มกับคุณงามความดีของงานชิ้นนี้ เก็บทุกความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อมันให้ครบถ้วนที่สุด

ก่อนอื่นข้อเท้าความไปครั้งแรกที่รู้จักกับ The Darkest Romance ก่อน มันเริ่มมาจากวันที่วงได้ปล่อยซิงเกิ้ลที่ 2 ที่มีชื่อว่า “ความโดดเดี่ยว” ออกมาแล้วมีคนแชร์มาให้เห็นด้วยแคปชันที่ค่อนข้างจะไปในทางบวกพอสมควร ส่วนตัวเราเคยได้ยินชื่อวงมาก แต่ไม่เคยฟังหรือได้ยินเพลงของวงมาก่อนเลย แล้วก็ไม่รู้ว่าไปจำมาจากไหนว่าวงนี้เป็นวงป็อป555555 แต่ตอนที่เห็นแคปชั่นที่คนแชร์มา ก็เลยเอะใจนิดหน่อยว่า อ้าว วงนี้เล่นแนวเมทัลหรอเนี่ย ก็เลยลองกดเข้าไปที่ช็อคคือเพลงนี้ยาว 10.28 นาที โอ้โห เพลงยาวแบบนี้ไม่ได้หาฟังกันได้ง่ายๆสำหรับเพลงไทย ก็เลยลองฟังไป นั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง หลังจากนั้นก็ได้เจอเพลง “ความเยาว์” ที่มีความยาว 10.37 นาทีราวๆเดียวกัน แต่สารภาพว่าตอนนั้นไม่ได้สนใจฟังเลย เพราะยังติดอยู่กับเพลง “ความโดดเดี่ยว” และเพลง “ความเยาว์” ยังเป็นเพลงช้า ซึ่งช่วงนั้นเราอยากหาอะไรเดือดๆฟังจึงไม่ได้สนใจเท่าไหร่ จนกระทั่งเพลง “ความรู้สึกผิด” ปล่อยออกมาก็ยังไม่ได้ฟัง เพราะค่อนข้างจะกลัวว่าจะไม่ถูกใจเท่า “ความโดดเดี่ยว” (ว่ากันง่ายๆ ก็คือเพลง “ความโดดเดี่ยว” สร้างมาตรฐานของTDR ไว้สูงมากๆ สำหรับเราเลยนั่นเอง) แต่ก็ต้องย้อนกลับมาฟังเมื่อเห็นว่าอัลบั้มเต็มชุดที่ 4 ที่มีชื่อว่า “WORDS” กำลังจะวางแผงในไม่ช้า แต่ฟังแค่ให้พอรู้ว่าแนวทางมาประมาณไหน เพราะจะเก็บไว้ฟังในอัลบั้มทีเดียว เพราะเห็นว่าอัลบั้มนี้มีทั้งสิ้น 5 เพลง และปล่อยออกมาแล้ว 3 เพลงก็กลัวจะไม่เต็มอิ่มตอนฟังงานเต็ม ตอนแรกสุดแอบเสียดายนิดหน่อยที่มีแค่ 5 เพลง แต่ก็คงจะไม่ใช่ปัญหาที่น่าห่วงเท่าไหร่ เพราะว่าแต่ละแทร็คจะมีความยาวอยู่ที่ 10 นาทีทั้งหมด! ซึ่งระยะเวลารวมๆ 50 นาทีก็คงจะเต็มอื่มแล้วสำหรับการฟังอัลบั้มๆ นึง แต่สิ่งที่กังวลคือการที่วงทำเพลง 10 นาที จะเป็นการพยายามยืดเพลงให้ยาวจนน่าเบื่อหรือเปล่า แต่ความกังวลนั้นก็ไม่ได้น่าสนใจเท่ากับตัวอย่างอัลบั้มที่ปล่อยมาเรียกน้ำย่อยกันให้ดูก่อนอัลบั้มจะวางแผงจริง หลังจากได้ลองดูแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าเราสามารถคาดหวังกับงานชิ้นนี้ได้อย่างแน่นอน และเมื่อได้ฟังอัลบั้มเต็มจนจบ หลายความรู้สึกก็พรั่งพรูเข้ามาในหัว...

“WORDS” คืออัลบั้มเต็มชุดที่ 4 จากคณะ 4 หนุ่ม TDR เป็น Concept Album ที่บรรจุ 5 เพลง ความยาวทั้งสิ้น 52.11 นาที ทุกเพลงจะมีชื่อเพลงที่ขึ้นต้นด้วย “ความ” มีสารที่พูดถึงทั้งความรู้สึกของมนุษย์ การใช้ชีวิต การตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามา ถูกถ่ายทอดด้วยดนตรีเมทัลและโพสต์ฮาร์ดคอร์ที่ไม่ได้หนักเกินจะฟัง และมีการนำเสนอในรูปแบบต่างๆกันไปมากมาย ออกไปในเชิงปรัชญาอยู่พอสมควร แต่มันกลับไม่น่าเบื่อหรือฟังยากเลย ทุกเพลงล้วนใช้คำที่ง่ายต่อการย่อยให้เข้าใจ เพื่อให้คนฟังได้ทำความเข้าใจไปพร้อมๆกับสิ่งที่เป็นสารหลักในแต่ละเพลง มีการจัดเรียงความหนักเบาและเรื่องที่จะสื่อได้อย่างน่าสนใจ เราตอนนี้เราจะมา “ชำแหละ” แต่ละเพลงไปพร้อมกันเลย

Track By Track:
1.) ความรับผิดชอบ (Responsibility)
เปิดมาด้วยซาวด์ดีดๆ ควบคู่กับเสียงน้ำจากฝักบัวกระทบพื้นห้องน้ำ สื่อถึงการอาบน้ำเตรียมพร้อมรับมือทำงานในเช้าวันใหม่ เสียงนกที่มาทักทาย ตามมาด้วยริฟฟ์กีต้าร์สุดกระแทกกระทั้น คนที่ชอบเสพเพลงริฟฟ์เท่ๆ มันส์ๆ บอกเลยว่าโยกกันหัวแตก เนื้อเพลงก็จะสื่อถึงการที่เราต้องตั้งใจก้มหน้าก้มตาทำงานกันเพื่อตอบสนองทั้งกิเลสของตัวเองและค่านิยมของสังคม ทำตามความคาดหวังของผู้อื่น เพื่อเกียรติยศ ชื่อเสียงต่างๆนาๆ ไม่ต่างอะไรกับควายในคอก ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคุณค่าจริงๆของเรามันคือผลงานที่เราทำได้ตามที่ใครต้องการหรืออะไรกันแน่ สุดท้ายแล้วชีวิตที่เราควรได้มี เวลาที่เราควรได้ใช้ ความฝันและจิตใจของเรา ก็มลายหายไปจนหมดสิ้น ซึ่งเป็นการจิกกัดคนที่ทำงานเอาหน้าเอาตา หลงใหลมัวเมาไปกับวัตถุนิยมต่างๆได้แสบทรวงทีเดียว พาร์ทดนตรีมีทั้งหนักหน่วงแล้วค่อยๆ สงบลงมาในช่วงกลางเพลงให้ได้พักหายใจหายคอก่อนที่จะกลับไปโยกกันอีกในช่วงท้ายที่มีการปล่อยระเบิดลูกใหญ่ที่มีแรงทำลายจากดนตรีในทุกส่วนและเสียงร้องที่แผดออกมาแสดงถึงความอัดอั้นตันใจที่สื่อมาตลอดทั้งเพลง ก่อนที่จะตัดไปด้วยเสียงโทรศัพท์จาก “พี่” คนนึงที่โทรมาสั่งงานเรา บ่นไปแทบตาย สุดท้ายก็ต้องกลับไปทำงานตามความคาดหวังของเขา เป็นตลกร้ายที่ลงตัวกับเพลงได้พอเหมาะพอเจาะ และเราชอบท่อน “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน หรือที่ใครไหว้วานแล้วทำได้เช่นนั้น” เป็นพิเศษ

2.) ความโดดเดี่ยว (Loneliness)*
บีทแรกที่เตะเข้ามาในหูคือเสียงเบสทุ้มๆ ดิบๆ สากๆ พร้อมเสียงร้องหม่นๆประสานควบคู่กันไป และค่อยๆเดือดขึ้นในท่อนฮุค และช่วงที่ทุกอย่างเริ่มเดือดปะทุขึ้นหลังจบฮุค 2 กลายเป็นสปีดเมทัลไปแบบหน้าตาเฉย เดือดแบบฉุดไม่อยู่จากเสียงร้องคลีนประนีประนอมกลายเป็นว้ากอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะดึงอารมณ์กลับมาดั่งช่วงต้นเพลงและในไม่ช้าก็พาไปทำลายล้างในตอนจบ บอกตามตรงว่าเป็น 10 นาทีที่โดนสะกดจนไม่รู้ตัวเลยว่าเราใช้เวลาฟังไปขนาดนั้น สำหรับเราแล้วในพาร์ทดนตรีถือว่าจัดวาง คิดเรียบเรียงมาได้ค่อนข้างลงตัวและสมบูรณ์แบบ ทางด้านเนื้อร้องจะกล่าวถึงการทำความเคยชินกับความโดดเดี่ยว อย่าไปคาดหวังกับความสัมพันธ์ใดๆนักเลย เพราะสุดท้ายถ้าใครคิดจะทิ้งเราไปรั้งให้ตายก็รั้งไม่อยู่ แบกไว้ก็เจ็บในวันที่มันหวนกลับมาทำร้ายเรา เกิดมาก็ตัวคนเดียว ตายไปก็ตัวคนเดียวก็ต้องอยู่ให้ได้สิวะ มีการจัดลำดับความหนักของเนื้อให้แมทช์กับพาร์ทดนตรีในแต่ละช่วงได้อย่างดี ขึ้นสุดลงสุด เป็นอีกเพลงที่สะใจมากๆ
*เพลงนี้ถ้าฟังจากซีดี จะมีความแตกต่างออกไปจากใน streaming โดยที่จะมีพาร์ทที่จะไปล้อกับส่วนสำคัญในช่วงท้ายสุดของอัลบั้ม ถ้าอยากรู้ ต้องลองกดแผ่นมาฟังแล้วล่ะ!

3.) ความรู้สึกผิด (Guilt) 
สิ่งที่เคยฝากไว้กับคนๆนึง มันยังคงเป็นแผลและปมในใจให้กับฉันอยู่จนถึงทุกวันนี้ เป็นความรู้สึกผิดที่ฉันไม่สามารถmove on ไปได้สักที ความรู้สึกผิดทั้งหมดทั้งมวลที่มีต่อเธอ ความเจ็บปวด ความเสียใจ ได้ระบายมันออกมาผ่านทั้งกีต้าร์และเปียโนเบาๆที่ล้อคลอกันไปในช่วงต้น ก่อนจะตอกย้ำความเสียใจแบบทะลุปรอทในท่อนฮุคที่พี่แม็กปีนตัวโน้ตขึ้นไปสูงลิบลิ่ว จากที่คิดว่าจะเป็นเพลงช้าไปดีๆ ก็เริ่มรีดเค้นอีกครั้งด้วยการเร่งกรู๊ฟความหนักหน่วงขึ้นอย่างทวีคูณในช่วงกลางเพลง ขยี้เข้าไปให้ตายไปข้าง ตามมาด้วยไลน์โซโล่กีต้าร์ที่ส่งต่ออารมณ์เพลงได้อย่างสวยงามหากจะดำดิ่งไปให้สุดให้ห้วงความรู้สึกผิดนี้ สิ่งที่คุณควรทำคือการกดเข้าไปดู MV ใน Youtube แต่อาจจะมีคำเตือนสำหรับคนเป็นโรคซึมเศร้าสักหน่อย เพราะมันค่อนข้างจะสื่ออารมณ์ได้ในระดับที่อาจจะรุนแรงต่อคุณได้ ยังไงก็สังเกตตัวเองและเตรียมพร้อมให้ดีก่อนที่จะกดเข้าไปดำดิ่งไปกับ 11.17 นาทีนั้นนะครับ และดนตรีจากเดือดพล่านก็ค่อยๆสงบเย็นเยียบลงก่อนที่จะผ่อนอารมณ์ลงมาก่อนที่จะปลดปล่อยไปกับ “ความรุนแรง” ที่โถมเข้ามาในแทร็คต่อไป

4.) ความรุนแรง (Violence)
เมื่อความรุนแรงจากสังคมรอบกายเริ่มทำร้ายกัดกินจิตใจของเราไปทีละนิด ฟางในใจค่อยๆจะขาดไปทีละเส้น และจนกระทั่งเส้นสุดท้ายได้ขาดลงไป ความอดทน ความปราณี ความเมตตา อาจจะไม่ใช่คำตอบของความสันติ เมื่อได้กลายเป็นปีศาจเมื่อไหร่ ตอนนั้นจะเอาคืนให้สาสมกับสิ่งที่เจอ ถ้าจะถามว่าความเกรี้ยวกราด ความแค้น ความโกรธเคืองจากเนื้อร้องนั่นมีมากเท่าไหร่ ไลน์ดนตรีทั้งหมดจะเป็นคำตอบให้คุณได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นทั้งเสียงร้องว้ากทำลายล้าง กลอง เบส กีต้าร์ ซาวด์สังเคราะห์อื่นๆ ทุกอย่างพร้อมใจกอดคอกันไปถล่มต้นตอแห่งความรุนแรงที่อัดกระแทกเข้ามาที่เรา ใส่กันยับ ไม่ยั้ง ไม่เลี้ยง ไม่มีความใจดีใดๆทั้งสิ้น ในท่อนเบรคดาวน์มีการใส่ซาวด์ที่ค่อนข้างจะเป็น EDM เข้าไป มีการเปลี่ยนจังหวะดนตรีนิดหน่อย เร่งกรู๊ฟให้เร็วขึ้น ชวนโยกหัวแบบมันส์ๆ ก่อนที่จะไปบีบคั้น ขยี้หูคุณอย่างรุนแรง สะท้อนความอึดอัดทั้งหมดที่มี ขยี้อย่างหนักหน่วงด้วยเสียงสังเคราะห์ก่อนจะเปลี่ยน mood โดยสิ้นเชิงไปกับเสียงเปียโนช้าๆ สื่อถึงจิตเบื้องลึกอีกส่วนนึงที่ยังพอหลงเหลือสติอยู่บ้าง เป็นการพูดสรุปช่วงครึ่งแรกว่าที่จริงก็ไม่ได้อยากกลายเป็นปีศาจเลย แต่สิ่งที่เจอมันบีบคั้นให้เค้าต้องกลายเป็นแบบนั้นไป ช่วยหยุดความรุนแรงทีได้มั้ย เพราะฉันก็ไม่ได้อยากอาละวาด เป็นเสียงในใจที่บรรเลงไปพร้อมๆกับเปียโน กีต้าร์ ที่มีทางคอร์ดในเชิงหม่นพอสมควร เรียบๆ ช้าๆ เบาๆ ส่วนตัวมองว่าเพลงนี้ทำหน้าที่ของมันได้คุ้มค่าตัว 10.15 นาทีมากๆ ในสังคมปัจจุบันเราจะเห็นได้มากมาย คนที่อาละวาดเพราะความเก็บกดจากสิ่งรอบตัวที่บีบรัดเข้ามาราวกับอสรพิษ ไม่มีใครอยากเจอ ไม่มีใครอยากอาละวาดโดยใช่เหตุ ถ้าพูดกันดีๆได้ งั้นจะหยุดโถมความรุนแรงใส่กันได้หรือยัง?

5.) ความเยาว์ (Youth)*
เดือดดาลมาตลอด 40 กว่านาทีแล้ว ตอนนี้ก็คงจะได้เวลาทิ้งตัวลงนอนแล้วคิดตั้งคำถามทบทวนชีวิตไปพร้อมๆ เพลงที่มีชื่อว่า “ความเยาว์” สัก 10.37 นาทีก็แล้วล่ะ เพลงที่เราไม่ได้สนใจจะฟังมาก่อนด้วยความที่เป็นเพลงช้า แต่ก็ต้องมาสะดุดเข้ากับสิ่งที่เพลงต้องการจะสื่อจริงๆ มันดีกว่าที่คิดไว้มากๆ เคยลองคิดทบทวนกับตัวเองมั้ยว่าตอนนี้เราโตแล้วหรือยัง? ได้ใช้ชีวิตคุ้มค่ากับอายุของเราตอนนี้มั้ย? ทั้งๆ ที่คิดว่าโตขึ้นมาจะเข้าใจโลกมากขึ้น แต่พอมาถึงจุดนึงก็ได้รู้ว่าเรายังไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ได้เลยว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะรู้สึกว่าเราจะใช้ชีวิตได้เหมาะสมสักที ตอนเด็กๆ ที่เคยสงสัยว่าเราจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร กระทั่งโตมาแล้วก็ยังคงไม่ได้คำตอบ และยังคงหลงทางอยู่ในเขาวงกตอันใหญ่ที่ชื่อว่า “โลกใบนี้” ความสับสนที่บรรยายมาควบคู่กับเสียงกีต้าร์โปร่งที่บรรเลงไป ก่อนจะตามมาด้วยชุดเครื่องสายที่เข้ามาเติมเต็มอารมณ์มากขึ้น ส่งผลให้เพลงนี้สื่ออารมณ์ของ “ความเยาว” ในจิตใจได้อย่างชัดเจนและแจ่มแจ้ง มีทั้งเสียงความวุ่นวายใจกลางเมือง เสียงเด็กน้อย ก่อนจะระเบิดความสับสนขึ้นมาด้วยเสียงแตกจากกีต้าร์แบบเรียบๆ เพลงนี้ไม่เน้นที่ความเดือด แต่เน้นที่อารมณ์ความสับสนล้วนๆ และท่อนที่เราชอบมากๆคือท่อนนี้ “Is this my own life? Tell me how to make in worth enough? So, this is real life. It hurts so much.” สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เพลงนี้ทิ้งเอาไว้ไม่ใช่คำตอบว่าเราควรจะใช้ชีวิตแบบไหนยังไง แต่เป็นคำถามว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตยังไงเพื่อให้ “ความเยาว์” ในใจได้เติบใหญ่ขึ้นจริงๆมันคือสิ่งที่เราทุกคนต้องค้นหามันไปพร้อมๆ กับการใช้ชีวิต ขอให้ทุกคนได้เจอคำตอบนี้ด้วย ยิ้ม
*ถ้าเปิดฟังจากซีดี หลังจากเพลงนี้จบไปประมาณ 6 นาทีจะมี Hidden Track ซ่อนอยู่ ซึ่งจะสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ท้ายเพลง“ความโดดเดี่ยว” เป็นสิ่งที่มาเติมเต็มคำว่า “WORDS” และอัลบั้ม “WORDS” ให้สมบูรณ์ เราจะไม่รีวิวในส่วนนี้อยากให้คุณได้ลองอุดหนุนแผ่นลิขสิทธิ์และได้ลองฟังมันดัวยตัวเอง ความรู้สึกอาจจะต่างออกไปสำหรับคนฟังแต่ละคนก็ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่