เมื่อ "ลูกผู้ชาย" อย่างผมถูกกระทำให้เป็น "ลูกสาว" : ประสบการณ์ชีวิตและความรักตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน ตอนที่ 2

ตอนนั่งอยู่กับพี่รุ้ง ถึงแม้มันจะนานแล้ว แต่ก็เพิ่งเหมือนเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้เอง

"ไม่มีใครไม่ชอบเติ้ลหรอกนะ ทุกคนรักเติ้ลกันทั้งนั้น เพียงแต่ ..."

"ผมเข้าใจครับ" ผมตอบไปอย่างนั้น แต่จริงๆแล้ว ผมเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้จริงๆหรือเปล่า ผมก็ไม่ทราบได้ 
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผมคิดว่าผมควรตอบไปอย่างนั้น พี่รุ้งเองดึงผมเข้าไปกอด คงกลัวว่าผมจะได้รับผลกระทบบางอย่าง
อีกไม่นาน พี่พลก็เข้ามาอยู่ที่บ้าน ผมได้ข่าวมาว่าผู้ชายบ้านอื่นก็เริ่มกลับเข้าบ้าน แต่พ่อยังไม่มา
พี่พลเข้ามาแบบขี่มอเตอร์ไซต์แมนๆเข้ามาเลย เขาสวมชุดดำทั้งชุด ดูมีเสน่ห์เอาการ
ป้าอินไม่ได้ว่าอะไรเขา ถ้าพี่พลจะมาอยู่ที่นี่ด้วย ผมคิดว่าป้าอินคงจะเอ็นดูเขา 

พี่พลดูเป็นผู้ชายที่ใจเย็น เขาไม่ได้มายุ่งเรื่องที่ป้าอินกับแม่กำลังจัดการผม 
ในฝั่งผู้ชายดูพี่พลจะสุขุมที่สุดแล้ว เขาคงคิดในหัวว่าจะทำยังไงกับเรื่องแบบนี้ดี
ระหว่างที่เขากำลังคิด เหตุการณ์ที่บ้านยังคงหมือนเดิม แต่ที่โรงเรียนมีบางอย่างเปลี่ยนแปลง

ที่โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการจัดห้อง การแบ่งกลุ่ม ดูเหมือนจะทำให้ผมห่างไกลเพื่อนผู้ชายออกไปทุกที
บางครั้งก็สงสัยว่า เขาทำกันแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ผมเองเล่นกีฬาก็ไม่ได้ ทำอะไรที่รุนแรงอย่างอื่นก็ไม่ได้
จะไปเล่นกับเพื่อนที่เป็นกะเทยที่มีอยู่ประมาณสองสามคนก็ไม่ได้อีก เพราะมันเข้ากันไม่ได้
ไม่นานนัก ผมจึงพบสถานที่ๆคิดว่าเหมาะกับผมนั่นคือห้องสมุด 

พอไปคุยกับ อ.สานพิณที่ประจำห้องสมุด แกรู้สึกดีใจมากที่ได้ผมมาช่วยงาน 
การได้อยู่กับหนังสือ มันทำให้รู้สึกดีขึ้นมากเหมือนกัน แต่พอเรารู้สึกดีขึ้น
ผมเองจึงพบว่าตัวผมมีความเครียดสะสมมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ผมอาจจะยังไม่รู้ตัว 
ตอนนั้นต้องยอมรับว่ายังเด็กมาก ยังไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าอะไรมันเป็นอะไร 
สิ่งที่พอจะเข้าใจก็อาจมีการเข้าใจผิดอยู่บ้าง

การอยู่ห้องสมุดกับ อ.สายพิณสักพักใหญ่ๆ ทำให้ผมสังเกตว่า อ. เองก็มีลักษณะ-
กันเด็กผู้ชายออกจากผมเหมือนกัน คงโดนสั่งมา ในใจผมเองก็คิดว่ามันซีเรียสกันขนาดนี้เลยเหรอ
ตอนนั้นต้องยอมรับกันตรงๆว่ามันมีความสับสนบางอย่าง จริงๆไม่บางหรอก หลายอย่างเลยล่ะ
แต่โชคดีตรงที่ว่าช่วงพักเที่ยง แกให้ผมเฝ้าห้องสมุดคนเดียว เพราะแกต้องไปกินข้าว
แกคงแน่ใจว่านักเรียนที่นิยมเข้าห้องสมุดตอนเที่ยงเกือบทั้งหมดคงเป็นนักเรียนหญิง
เพราะนักเรียนชายส่วนใหญ่จะชอบเล่นบอลตอนพัก การที่ผมได้อยู่คนเดียวตอนเที่ยง
ทำให้ผมได้พบกับเสือ

เชื่อไหมว่าตอนแรกที่ผมพบกับเสือ ผมตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยเจอเด็กผู้ชายใกล้ชิดขนาดนี้มาก่อน
เสือเองก็มาในมาดที่แมนสุดๆ น่าจะเพิ่งเล่นบอลเสร็จ เสื้อไม่ได้ใส่ในกางเกง ตัวเปียกเหงื่อ
เป็นมนุษย์ผู้ชายที่ไม่เคยเห็นในลักษณะนี้มาก่อน ผมลอบมองเขาอยู่นานตอนที่เขากำลังหาหนังสือ
ตอนเดินมาใกล้ผม กระดุมเสื้อก็ปลดอีกสองเม็ด เห็นเสือแล้ว ผมอยากเป็นอย่างเขามาก

ผมคาดว่าถ้าเสืออยู่ในสถานะเดียวกับผม เขาจะต้องต่อต้าน เขาคงไม่ว่านอนสอนง่ายเหมือนผม
เสือเห็นผมเป็นผู้ชาย เขาจึงทักผมก่อนแบบแมนๆ ว่า "กูขอจองเล่มนี้ทั้งเดือนได้ไหม"
เด็กผู้ชายสมัยนั้น ถ้าทักมาอย่างนี้ ผมควรจะตอบไปว่า "กูทำให้ได้" แต่ผมดันตอบเขาไปว่า
"ผมทำให้ได้" มันอาจจะดูสุภาพเกินไปสำหรับการพูดคุยระหว่างเด็กผู้ชายในละแวกชุมชนแถวนั้น
วันนั้นเสือยิ้มแล้วก็เดินจากไป

ผมรู้สึกว่าช่วงแรกๆ เสือน่าจะคิดว่าผมเป็นกะเทย แต่พอคุ้นเคยกันมากขึ้น เขาน่าจะไม่ได้คิดแบบนั้นอีก
เราเริ่มสนิทกันมากขึ้น เสือให้ความสนิทกับผมมาก ทางฝั่งผมซะอีกที่เป็นคนตั้งกำแพง
แต่ดันเป็นกำแพงที่ผมไม่ได้สร้าง แค่หยิบยืมเขามา แล้วก็เอามาตั้งไว้เฉยๆ

จนมาถึงวันหนึ่ง ความเครียดสะสมของผมคงถึงจุดที่มันจะต้องระเบิด ผมเองเลยต้องคิดอย่างรอบคอบว่า
จะระเบิดมันยังไง ผมเลยพูดในสิ่งที่เสือก็คงนึกไม่ถึง "เรามาต่อยมวยกันนะ"
เสือตกใจเหมือนเห็นผี ผมยังอ้อนวอนเขาต่อไป แต่เป็นในส่วนที่ร่างๆหนึ่งเริ่มทนไม่ไหว
"มาต่อยมวยกับกูหน่อยนะ ช่วยกูหน่อย" 

เสืออาจไม่คิดอะไรมาก คงคิดว่าผมอยากแมน แต่สำหรับผม มันมีความหมายมากกว่านั้น
ถึงเสือจะงงๆ แต่เขาก็ตอบตกลง ผมรู้สึกดีมากที่จะได้ต่อยมวยกับเสือ
เราขโมยนวมสำหรับเด็กมาจากห้องพละ สถานที่นัดหมายคือสนามโคลน
"ทำไมต้องเป็นสนามโคลนด้วยวะ" ผมบอกเขาว่าไม่ต้องสงสัยอะไรมากหรอก 
รีบถอดเสื้อแล้วมาต่อยกันดีกว่า เวลามีน้อย

การได้ต่อยมวยกับเสือในวันนั้นถือเป็นการปลดปล่อยที่ดีสำหรับผม ระหว่างต่อย
เสือก็รู้สึกดีกับผมมากขึ้น ผมดีใจมากที่จะได้มีเพื่อนผู้ชายที่อยากมีกับเขาเสียที
รู้สึกดีมากจริงๆ รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่ความฝันของผมพังทลายเมื่อ อ.สายพิณมาเห็นเข้า
เราสองคนเข้าไปในห้องฝ่ายปกครองทั้งๆที่ยังถอดเสื้ออยู่และมีโคลนเปื้อนตามตัวไปหมด
แถมมี ผอ.เข้ามาร่วมซักถามเราด้วย การซักถามนั้นได้แต่วกวนไปมาว่าเรามีเรื่องกันตั้งแต่เมื่อไหร่
ใครเริ่มก่อน ผมไม่พูดอะไร เสือเองก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน

มันยิ่งช้ำหนักเมื่อผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายมาถึง พ่อกับแม่และญาติๆทางฝ่ายผมตกใจกันมาก
นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นผมในสภาพนี้ พวกเขาไม่เข้าใจ เกิดคำถามมากมาย 
ผู้ปกครองแต่ละฝ่ายเริ่มทะเลาะกัน มีการต่อว่าๆเสือทำให้ผมเสียคน
ครอบคร้วของเสือดันเป็นคนที่จนกว่าครอบคร้วผม เลยโดนต่อว่ารุนแรงมาก
ผมน่าจะช่วยพวกเขา น่าจะบอกว่าผมเป็นคนชวนเขาต่อยมวยเอง
แต่ตอนนั้นผมจะพูดอะไรทำนองนี้ออกมาได้อย่างไร

จะพูดออกมาได้อย่างไร ใครจะมาเข้าใจผม เสือเองก็อาจจะไม่เข้าใจผม
พอผู้ปกครองสองฝ่ายเถียงกัน จนในท้ายที่สุดผู้ปกครองของเสือดูท่าจะเถียงไม่ออก
จึงโดนรุมว่าแต่เพียงฝ่ายเดียว เสือเองโดนว่าๆอันธพาน ทำเด็กดีๆอย่างผมเสียคน
ตอนนั้นจิตใจผมปวดร้าวมาก มันเหมือนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี มันกำลังแหลกสลาย
ผมรู้สึกแย่มากที่ทำให้เสือเสียใจ ไม่รู้ว่าเสือจะเข้าใจผมหรือเปล่าว่า ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป
ไม่รู้ว่าจะสื่อสารให้คนเหล่านั้นเข้าใจได้อย่างไร

ในท้ายที่สุด ครอบครัวของเสือก็คือผู้แพ้ และไม่นาน เสือก็ย้ายโรงเรียนกลางเทอม
ตอนนั้น คนที่โง่แต่อวดฉลาดคือผมเอง ผมคิดว่าตัวเองสามารถแก้ปัญหาเองได้
และไม่น่าจะทำให้ใครเดือดร้อน แต่ผมคิดผิดถนัด หลังจากวันนั้นจิตใจผมกระทบกระเทือนมาก
จนมาถึงขั้นที่ตัวผมปิดกั้นเอง ผมไม่อยากมีเพื่อนผู้ชายอีกเลย เพราะไม่อยากทำร้ายใคร
ตอนนั้นผมคิดได้แค่นั้น นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในมุมมืดและไม่น่ามีชีวิตอยู่เลย
ผมรู้สึกว่าตัวเองตกนรกทั้งเป็น รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่