ทำไมสนามบินที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามและทันสมัย เป็นความฝันและความหวังในการเป็นศูนย์กลางทางการบินแห่งใหม่ ซึ่งจะนำพาประเทศศรีลังกาไปสู่ความเจริญและเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมั่งคั่ง ต้องมากลายเป็นสนามบินที่ถูกทิ้งร้าง จนได้รับฉายว่า "The World's Emptiest International Airport" จากนิตยสาร Forbes เราจะมาดูต้นเหตุแห่งความผิดพลาดและบทเรียนที่จะนำมาเป็นเครื่องเตือนใจให้กับเราๆท่านๆกันครับ
ในปี 2009 ประธานาธิบดีมหินทรา ราชปักษา แห่งศรีลังกา ได้ทำการปราบกบฏพยัคฆ์ทมิฬอีแลม ที่สร้างความไม่สงบและสั่นคลอนเสถียรภาพของประเทศมายาวนานเกือบ 26 ปี ได้อย่างสิ้นซาก
(**ใครที่สนใจเรื่องราวการต่อสู้นี้ ขออนุญาตให้สืบค้นกระทู้ “พยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติ” ของคุณเชษฐา เรื่องราวสนุกเว่อร์มาก จขกท.อ่านในนี้แล้วยังตามไปซื้อหนังสือมาเก็บไว้ด้วย**)
เมื่อประเทศสงบ ก็ได้เวลาพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเต็มสปีด โปรเจกต์ต่างๆจึงถูกเสนอขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย หนึ่งในนั้นก็คือการขยายฐานการบิน ซึ่งประเทศศรีลังกาเวลานั้น กลับมีสนามบินนานาชาติเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ สนามบินบันดาราไนยเก ในกรุงโคลอมโบ ซึ่งเริ่มจะแออัดจนเกินไปแล้ว รัฐบาลศรีลังกาจึงมีดำริให้เริ่มโครงการจัดสร้างสนามบินนานาชาติแห่งที่ 2 เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าที่จะเพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาล
Location ต่างๆถูกนำเสนอขึ้นมาพิจารณา แต่ท้ายที่สุดก็ถูกปัดตกไป จนเหลือ Location สุดท้าย ที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองแฮมบันโตตา (Hambantota) ในจังหวัดภาคใต้ (Southern Province) ห่างจากเมืองหลวงโคลอมโบไปทางใต้ประมาณ 250 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง และสาเหตุที่เมืองนี้ถูกเลือกขึ้นมาก็เพราะ “เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่านปธน.ราชปักษานั่นเอง!!!” อืม! มีเหตุผล…
แต่ แต่ แต่ ในเวลานั้นเมืองแฮมบันโตตา เป็นเพียงเมืองหมู่บ้านชาวประมงริมทะเลขนาดเล็ก ที่มีประชากรไม่เกิน 50,000 คน มี Highway เพียง 1 สายที่เชื่อมต่อกับกรุงโคลอมโบ และเส้นทางรถไฟสายที่ 2 ของประเทศที่กำลังสร้างอยู่ในเวลานั้น แถมในปี 2004 ยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์ Tsunami จนมีผู้เสียชีวิตไปกว่า 4,500 คน มีที่ตั้งอยู่ใกล้กับ อุทยานแห่งชาติ Bundala ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้และสัตว์ป่านานาชนิด ซึ่งในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า ศรีลังกาจะสร้างสนามบินแห่งใหม่ในเขตที่เกือบจะเรียกได้ว่า “ริมทะเล กลางป่า กลางดง” เลยทีเดียว

แต่ แต่ แต่ ขึ้นชื่อว่า ปธน.ราชปักษา ผู้ซึ่งแม้แต่กบฏพยัคฆ์ทมิฬยังทุบมาจนแบนแต๊ดแต๋ ท่านย่อมมีวิสัยทัศน์เป็นธรรมดา ใครจะไปสร้างสนามบินอยู่กลางป่า แล้วใครจะมาขึ้นเครื่อง มันต้องมีการสร้างดีมานด์ใช่มั้ยจ้ะ โดยในห้วงเวลานั้น ประเทศจีนกำลังแผ่ขยายอาณาจักรทางเศรษฐกิจของตัวเอง ได้มีแนวความคิดเรื่อง “21st Century Maritime Silk Road” การเชื่อมโยงการค้าทางทะเล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “The Belt and Road Initiative” ที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อ “One Belt One Road” ยุทธศาสตร์การพัฒนาและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศและองค์การระหว่างประเทศเกือบ 70 แห่งทั่วโลก แน่นอน! ศรีลังกาก็อยู่ในเส้นทางนี้เช่นกัน โครงการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจแห่งใหม่ของประเทศจึงถูกร่างแบบขึ้น และเมื่อราชปักษาได้พบปะกับท่านสีจิ้นผิง แผนการสร้างโครงการนี้ในศรีลังกาก็เกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทันทีราวกับเสกได้

ราชปักษาต้องการพลิกเมืองบ้านเกิดกลางป่าของตัวเอง ให้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่มีแต่ความทันสมัยและมั่งคั่ง เป็นเมืองที่ใหญ่ทัดเทียมหรือมากกว่ากรุงโคลอมโบในปัจจุบัน ซึ่งถ้าทำสำเร็จเขาจะไม่ใช่แค่ผู้ปราบกบฏพยัคฆ์ทมิฬ แต่จะกลายเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของชาวศรีลังกาอย่างแน่นอน เมกะโปรเจกต์ดังกล่าวจะประกอบไปด้วย ท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ นิคมอุตสาหกรรม โรงงานผลิตไฟฟ้า อาคารสำนักงานจำนวนมาก ศูนย์การประชุมขนาดยักษ์ โครงการที่พักอาศัย โรงแรมชั้นนำระดับ 5 ดาว หรือแม้แต่สนามคริกเก็ต ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมอันดับ 1 ของชาวศรีลังกา ที่สามารถจุผู้ชมได้มากกว่า 35,000 คน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ปธน.ราชปักษา กำลังสร้างเมืองใหม่ขนาดมโหฬารขึ้นมาอีกเมืองนึงเลย และความคิดนี้ได้ถูกยืนยันจากการที่แฮมบันโตตาได้ยื่นขอเป็นเมืองคู่แฝดกับนครกวางโจวในปี 2007

แต่ แต่ แต่ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณต้องมี “เงิน” และแน่นอนศรีลังกา “ไม่มีเงิน” แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้อง “ขอกู้เงิน” ไง จะรออะไรหล่ะ.. หลังจาก ปธน.ราชปักษา เข้าพบกับ ปธน.สีจิ้นผิง อีกครั้ง สินเชื่อเคลื่อนที่ก็มาถึงทันที เร็วกว่าศรีสวัสดิ์เงินติดล้ออีก ด้วยมูลค่ามากกว่า 64,000 ล้านเหรียญฯ!!!! โอ้ววว มายก็อดดด
กลับมาที่เรื่องราวของสนามบินกันต่อ โครงการสนามบินใหม่ถูกออกแบบมาอย่างดี โครงการเฟสแรกจะประกอบไปด้วยอาคารผู้โดยสารขนาด 12,000 ตารางเมตร ที่มีเคาน์เตอร์เช็คอินท์ 12 จุด ภายในตกแต่งอย่างสวยงาม มีร้านอาหาร Lounge ร้านค้า Duty Free และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆครบครัน มีประตูขึ้นเครื่องบิน (Gate) จำนวน 2 แห่ง และมีรันเวย์ยาวเพียงพอที่จะรองรับเครื่องบินไอพ่นเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุด โดยสนามบินแห่งนี้จะสามารถรองรับผู้โดยสารขั้นต้นได้มากกว่า 1 ล้านคนต่อปี โครงการนี้มีมูลค่า 209 ล้านเหรียญฯ ซึ่งศรีลังกาได้รับเงินกู้ค่าก่อสร้างจากจีนมามากถึง 190 ล้านเหรียญฯ เรียกได้ว่าประเทศจีนแทบจะเป็นผู้ออกเงินค่าก่อสร้างสนามบินแห่งนี้ทั้งหมดเพียงผู้เดียว

ราชปักษามีความทะเยอทะยานมากในเมืองใหม่ของเขา และเพื่อสร้างดีมานด์อย่างต่อเนื่องก่อนที่สนามบินใหม่จะเปิด การแนะนำเมืองโนเนมอย่างแฮมบันโบตาให้ชาวโลกได้รู้จักในฐานะ "เมืองท่องเที่ยว เมืองกีฬา และเมืองอุตสาหกรรม" ศรีลังกาได้ใช้สนามคริกเก็ตยักษ์แห่งใหม่เป็นหนึ่งในสนามที่จัดการแข่งขัน “คริกเก็ตชิงแชมป์โลกในปี 2011” โดยตั้งชื่อสนามแห่งใหม่นี้ว่า “Mahinda Rajapaksa International Cricket Stadium” จะได้รู้ไว้ว่าใครสร้าง ก็ ปธน.ราชปักษาไง.. จะใครหล่ะ.. นอกจากนี้ศรีลังกายังคิดการใหญ่ ด้วยการยื่นขอเป็นเจ้าภาพ 2018 Commonwealth Games กีฬาที่ใหญ่เป็นรองแค่โอลิมปิกเกมส์ โดยจะจัดที่เมืองแฮมบันโตตาแห่งนี้ เพื่อไม่ให้น้อยหน้าคู่รักคู่แค้นอย่างอินเดียที่ได้จัด 2010 Commonwealth Games ไปแล้ว จะเห็นได้ว่าทุกอย่างดูมีการวางแผน ดูมีวิสัยทัศน์ ดูเหมือนกำลังจะไปได้ดีเลยใช่มั้ยครับ…

และแล้วในเดือนมีนาคม ปี 2013 สนามบินแห่งใหม่ ณ เมืองแฮมบันโตตา ที่ท่านราชปักษา กล่าวไว้ว่าเป็น “โครงการช้างเผือกแห่งยุคของท่าน” ก็สร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ก่อนเวลาที่กำหนดไว้เสียอีก และแน่นอน! สนามบินแห่งใหม่นี้ถูกตั้งชื่อว่า “Mattala Rajapaksa International Airport” จะได้รู้ไว้ว่าใครสร้าง ก็ ปธน.ราชปักษาไง.. จะใครหล่ะ.. และเมื่อดูจากการตั้งชื่อทั้งสนามกีฬาและสนามบิน จะเห็นได้ว่า ปธน.ราชปักษา ต้องการที่จะสร้างระบบราชปักษาและเมืองราชปักษาขึ้นมาครอบครองประเทศศรีลังกาอย่างแน่นอน เห็นอย่างนี้แล้วเราคงคิดว่าสนามบินใหม่แห่งนี้ คงต้องมีเที่ยวบินมากมายจากหลายสายการบินแย่งกันมาลงยุบยับไปหมด

แต่ แต่ แต่ ในความเป็นจริง ช่วงแรกสนามบินมีเที่ยวบินทั้งในและระหว่างประเทศบินมาลงเพียงวันละ 7 เที่ยวบิน หลายคนคงบอกว่ามันก็ไม่แย่นะ สำหรับสนามบินเปิดใหม่ในเมืองโนเนม แต่จะบอกต่อว่า สายการบิน Air Arabia โลว์คอสกระเป๋าหนักสัญชาติ UAE ที่ทำการบินจากเมือง Sharjah ต้องหยุดให้บริการเส้นทางบินนี้ หลังจากเริ่มต้นบินไปเพียง 6 สัปดาห์ เพราะขาดทุนหนักจากการบินเครื่องเปล่าที่แทบจะไม่มีผู้โดยสาร สายการบิน Mihin Lanka โลว์คอสลูกของ SriLankan Airlines ก็ต้องหยุดบินในเวลาไม่นาน หลังจากเปิดบินสู่เมือง Gaya และ Medan แม้แต่ FlyDubai สายการบินลูกของ Emirates ยังไม่สามารถทำให้เส้นทางบินสู่ Dubai เวิร์คได้เลย จนต้องยุติการบินไปตามๆกัน

จนสุดท้ายจึงเหลือเพียงสายการบิน SriLankan Airlines สายการบินแห่งชาติเท่านั้นที่ยังคงทำการบินอยู่ได้ แต่ไม่ใช่เพราะธุรกิจดีนะ แต่สายการบินได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลและความสัมพันธ์ของ CEO นายนิชานธา วิกรมสิงเห ที่มีศักดิ์เป็นพี่เขยของราชปักษา ให้บินมาลงเพื่อรักษาฐานสนามบินแห่งใหม่นี้ไว้ โดยในเวลานั้นเส้นทางบินระหว่างประเทศเกือบครึ่งของสายการบินจะต้องบินมาลงที่นี่ก่อนที่จะบินเข้ากรุงโคอมโบอีกทีนึง ไม่เว้นแม้แต่เส้นทางบินจากกรุงเทพฯของเรา ที่ขากลับจะต้องบินแบบสามเหลี่ยม คือ กรุงเทพฯ – แฮมบันโตตา – โคลอมโบ ไม่สามารถบินตรงเข้าโคลอมโบได้เลย

ถามว่าวิธีการนี้ประสบความสำเร็จมั้ย ช่วยเพิ่มดีมานด์ให้สนามบินได้มั้ย ก็ต้องมาดูตัวเลขกัน ตามสถิติของสนามบินบอกไว้ว่า สายการบิน SriLankan ให้บริการเที่ยวบินมากกว่า 3,000 เที่ยวบินในหนึ่งปี แต่มีผู้โดยสารมาลงที่สนามบินแห่งนี้ทั้งหมดเพียง 21,000 คนเท่านั้น!! เท่ากับว่าในหนึ่งเที่ยวบิน จะมีผู้โดยสารมาลงที่แฮมบันโตตานี้เพียง 7 คนเท่านั้น!! เฮ้ย! นี่คือสนามบินที่รองรับผู้โดยสารได้กว่า 1 ล้านคนต่อปีเลยนะ และในท้ายที่สุด แม้แต่ SriLankan Airlines ก็ยังไม่สามารถทนพิษบาดแผลได้ จนต้องถอนเส้นทางบินทั้งหมดออกไปในปี 2015 หลังจากทนบินได้แค่ 2 ปี อนาคตของสนามบินแฮมบันโตตาดูมืดมนลงทันที เพราะผู้ให้บริการเที่ยวบินเหลือเพียงสายการบินภายในประเทศขนาดเล็กที่ใช้เครื่องบินใบพัดเดียว และเที่ยวบินขนส่งอีกเล็กน้อยเท่านั้นที่ทำการบินมาลง และไม่เหลือเส้นทางบินประจำอีกเลย
ทำไมสนามบินที่เป็นความฝันและความหวังแห่งนี้จึงไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งๆที่ก็ดูเหมือนรัฐบาลพยายามทุ่มงบประมาณเพื่อสร้าง Pathway ไว้ให้อย่างดี การเมืองความขัดแย้งก็สงบลงแล้ว ทำไม ทำไม ทำไม เราก็ต้องมาดูกัน..
*** อ่านต่อในคอมเม้นต์ครับ ***
บทเรียนโลกที่ 3 ((( สนามบินผีสิง ))) รู้ไว้อย่าได้หาทำ!!!