ปัจจุบันมีนิยายมากมายที่ตัวเอกได้กลับไปเกิดในยุคกลางของยุโรป พบประสบการณ์หรูหราแฟนตาซี แต่ทราบหรือไม่ว่าแท้จริงการเกิดใน "ยุโรปยุคกลาง" นั้นอาจมีโอกาสถึง 90% ที่เราจะตกไปอยู่ในวรรณะล่าง ซึ่งมีความบัดซบด้วยประการต่างๆ บทความนี้จะพูดถึงเซิร์ฟ (serf) ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของยุคนั้น และชีวิตบัดซบๆ ของพวกเขา รวมถึงเรื่องที่โหดที่สุด (เรื่องที่ 3) เรื่องที่น่าเศร้าที่สุด (เรื่องที่ 6) เรื่องที่อีหยังวะที่สุด (เรื่องที่ 7) และความเสื่อมของระบบ serf ท่ามกลางหายนะที่ใหญ่กว่านั้น (เรื่องที่ 10)
1. เมื่อพูดถึงยุโรปยุคกลาง (คริสต์ศตวรรษที่ 5 - 15) คุณคิดถึงภาพอะไร?

2. ท่านคนอาจคิดถึงเกมส์แฟนตาซีที่เคยเล่น บางคนคิดถึงหนังแฟนตาซีที่เคยดู มักเป็นเรื่องราวของอัศวินผู้กล้า ขี่ม้าขาวปราบมังกรช่วยเจ้าหญิง ทั้งสองแต่งงานอย่างมีความสุขชั่วฟ้าดินสลาย
3. ผู้คนมากมายฝันว่าจะไปเกิดเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงยุคกลาง อยู่ปราสาทใหญ่ๆ ใช้ชีวิตหรูหรา ปัญหาหนักที่เจอก็จะเป็นประมาณมีปีศาจมาโจมตี แต่ไม่ใช่ปัญหาปากท้อง

4. ความฝันเหล่านั้นมีส่วนจริง เพราะการเกิดเป็นคนชั้นสูงในยุโรปยุคกลางนั้นมีความเจ๋งความคูลหลายอย่าง เป็นยุคซึ่งคนจำนวนหนึ่งที่โชคดี จะได้มีชีวิตอันสวยงามสุขสบายเป็นพิเศษ...

5. ...แลกกับการให้คนอีก 90% ของประเทศมีชีวิตบัดซบเป็นพิเศษ...!

6. และนี่นำสู่เรื่อง "10 ความบัดซบชีวิตเมื่อเกิดเป็นเซิร์ฟ" (หรือข้าติดแผ่นดินซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในยุโรปยุคกลาง)

7. เรื่องที่ 1 "เซิร์ฟไม่ใช่ทาส แต่ก็ไม่ต่างกันมาก" อธิบายว่าในยุโรปยุคกลางนั้นแบ่งคนสามวรรณะใหญ่ๆ ตามหน้าที่ ได้แก่ กษัตริย์ และอัศวิน ผู้ต่อสู้เพื่อทุกคน (fought for all), นักบวช ผู้สวดมนต์เพื่อทุกคน (prayed for all), และชนชั้นแรงงาน ...ผู้ทำงานเพื่อทุกคน (worked for all) ในจำนวนนี้อัศวินกับนักบวชรวมกันเป็นประชากรประมาณ 10-20% ส่วนที่เหลือนั้นเป็นอิสระชนราว 10%+- (ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวนานั่นแหละ) เป็นเซิร์ฟ ราว 70%+- และเป็นทาสอีกราว 10%+-

8. ชาวนา เซิร์ฟ และทาสมีความเหมือนกัน คือมักจะยากจนเหมือนกัน ...สิ่งที่ชาวนามีดีกว่าคนอื่นคือ "มีอิสระที่จะไปทำตัวจนๆ ที่ไหนก็ได้" ขณะที่เซิร์ฟกับทาสถือเป็นสมบัติของเจ้าของที่ดิน (ซึ่งอาจเป็นนักบวชหรืออัศวิน) จะต้องอยู่ในหมู่บ้าน หรืออาณาเขตที่ถูกกำหนดเท่านั้น จะเดินทางได้ต้องได้รับการยินยอมจากผู้เป็นนายก่อน

9. ในทางเทคนิคแล้วเซิร์ฟไม่มีสมบัติส่วนตัว ทุกอย่างของเขาถือเป็นของๆ เจ้าของที่ดิน นั่นรวมถึงจอบ เสียม วัว แมว และเสื้อสกปรกๆ แต่ในทางปฏิบัติเจ้าของที่ดินก็ไม่รู้จะมาแย่งเสื้อสกปรกๆ จากเซิร์ฟไปทำไม และหลายครั้งเขายังได้รับอนุญาตให้จัดการทรัพย์สินของตัวเองได้ระดับหนึ่ง

10. ชีวิตวันๆ ของเซิร์ฟคือต้องทำงานหนักแต่เช้าจดเย็นสำหรับการศึกษานั้นก็... เอ้อ อย่าไปพูดถึงมันเลย ไม่มีของแบบนั้นหรอก แค่ออกนอกหมู่บ้านยังไม่ได้เลย! ...ดังนี้เซิร์ฟก็จะถูกเลี้ยงให้โง่ๆ เชื่องๆ บางแห่งก็จะเลี้ยงเซิร์ฟดีกว่าทาสหน่อย บางแห่งก็จะเลี้ยงไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่เซิร์ฟมักดีกว่าทาสแน่ๆ คือเจ้านายสามารถขายทาสได้แบบเดี่ยวๆ แต่ถ้าจะขายเซิร์ฟ ต้องทำในรูปขายที่ดิน แล้วมีเซิร์ฟติดไปเป็นของแถม! เห็นไหมว่าเป็นสินค้าที่ดูแพงกว่าหน่อย...

11. เรื่องที่ 2 "เซิร์ฟถูกขูดรีดได้หลายรูปแบบ" เมื่อคุณเกิดเป็นเซิร์ฟแล้ว สิ่งที่ต้องทำแน่ๆ คือต้องมีสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปทำงานให้เจ้าของที่ดิน เช่นทำสวนทำไร่ หรือปัดกวาดเช็ดถูปราสาท เป็นการทำฟรีโดยไม่ได้รับอะไรตอบแทน ซึ่งปกติเซิร์ฟหนึ่งครอบครัว ต้องส่งคนหนึ่งคนไปรับใช้ 2-3 วันต่ออาทิตย์ แต่บางแห่งก็โหดกว่านั้น
ในโปแลนด์ศตวรรษที่ 14 นั้น เซิร์ฟหนึ่งครอบครัวมักต้องทำงานให้เจ้าของที่ดิน 1 วันต่ออาทิตย์ พอถึงศตวรรษที่ 17 ก็เพิ่มเป็นสี่วันต่ออาทิตย์ และกลายเป็นหกวันต่ออาทิตย์ในศตวรรษที่ 18 หรือแปลว่าจะต้องมีคนหนึ่งในครอบครัวทำงานรับใช้เจ้าของที่ดิน full time (อีกหนึ่งวันคือวันอาทิตย์ก็เข้าโบสถ์)

12. ถามว่าเซิร์ฟได้ทรัพยากรจากไหน? คำตอบคือเซิร์ฟจะใช้เวลาที่เหลือจากการรับใช้เจ้าของที่ดิน ปลูกผักทำไร่ในที่ดินที่ตนเองได้รับมอบหมายให้ดูแล ส่วนใหญ่พวกเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้ครบวงจร คือสามารถสร้างบ้านเอง สร้างเฟอร์นิเจอร์เอง ตัดเสื้อเอง ดังนั้นจึงอยู่ได้เองโดยไม่มีปัญหา

13. ...แต่ปัญหามักมาจากจำนวนภาษีที่เจ้าของที่ดินจะเก็บจากผลผลิตของเซิร์ฟอีกต่อหนึ่ง และยังเก็บภาษีเล็กน้อยอื่นๆ เช่นค่าใช้โรงสีในที่ของเจ้าของที่ดิน หรือค่าตัดไม้ในป่าของเจ้าของที่ดิน ซึ่งถ้าปีไหนน้ำท่าไม่ดีเซิร์ฟจะอดตายก็มักเพราะส่วนนี้

14. เรื่องที่ 3 "เจ้าของที่ดินลงโทษเซิร์ฟได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล" กฎหมายยุคกลางอนุญาตให้เจ้าของที่ดินทำการลงโทษเซิร์ฟได้บางอย่างตามอารมณ์ ไม่ต้องผ่านกระบวนการศาล เช่นเอาไปขังคุก หรือเฆี่ยน อย่างไรก็ตามบางแห่งก็จะมีกฎหมายรักษาสิทธิมนุษยชนไม่ให้เจ้าของที่ดินลงโทษแรงเกินไป

15. แต่ฟ้าสูงแผ่นดินกว้าง กฎหมายยุคกลางมิได้ครอบคลุมทั่วถึง บางครั้งเจ้าของที่ดินหาทางเลี่ยงบาลี เช่นหากกฎหมายบอกว่า "ห้ามทำร้ายเซิร์ฟถึงเลือดตกยางออก" ก็เพียงจับเซิร์ฟไปถ่วงน้ำ หรือให้มันอดตาย หนาวตาย แค่นี้เลือดก็ไม่ตกแล้วชิมิ

16. เรื่องที่ 4 "แม้ชีวิตเซิร์ฟจะทารุณ แต่บางทีชาวนาก็ยอมเปลี่ยนตัวเองเป็นเซิร์ฟโดยสมัครใจ" ต้องอธิบายว่าในระบบศักดินาหรือฟิลดัลของยุโรปโบราณนั้น ชีวิตที่อยู่นอกความคุ้มครองของเจ้าของที่ดินมันไม่ได้ปลอดภัยนัก ถ้าคุณเป็นชาวนาอิสระ วันหนึ่งอาจจะถูกโจรปล้น หรือเกิดภัยแห้งแล้งจนสิ้นเนื้อประดาตัว ในที่สุดยังคงต้องมาขอสวามิภักดิ์กับเจ้าของที่ดิน ให้เขาปกป้องคุณ เพราะคุณเป็นสมบัติของเขา

17. พิธีการเข้าเป็นเซิร์ฟนั้นเรียกว่า "บอนเดจ (bondage) " ในการนี้ผู้ขอเป็นเซิร์ฟจะต้องวางหัวลงบนมือเจ้าของที่ดิน และกล่าวสาบานประมาณว่า "โดยอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ข้าขอสวามิภักดิ์ต่อ (ชื่อลอร์ด เช่นลอร์ดคอร์กีรุส) ข้าจะซื่อสัตย์จริงใจ รักในสิ่งที่ท่านรัก ออกห่างสิ่งที่ท่านรังเกียจ จะไม่ทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ จะทำในสิ่งที่ท่านต้องการ" หลังจากนั้นเขาตลอดจนลูกหลานเหลนในอนาคตก็จะตกเป็นเซิร์ฟติดที่ดินดังกล่าวไปชั่วกาลนาน

18. ปัจจุบันจะเห็นว่าคำว่า bondage นั้น ถูกแปลความหมายเป็นรสนิยมทางเพศแบบชอบการทรมาน ซึ่งสื่อนัยๆ ว่าพวกที่สมัครเป็นเซิร์ฟอาจจะชอบอะไรแบบนี้

19. เรื่องที่ 5 "เซิร์ฟทำเพื่อเจ้านายขนาดนี้ก็ยังไม่ถูกมองว่าดี" ...เสียดายค่านิยมยุคกลางนั้นชื่นชอบคุณธรรมของอัศวินที่ขี่ม้าช่วยเจ้าหญิง ปกป้องคนอ่อนแอ ไม่ค่อยมีใครสนใจคุณธรรมของเซิร์ฟเท่าไร

20. จริงๆ แล้วคำว่าวิลเลิน หรือ villain ที่แปลว่าตัวชั่วร้ายนั้นมีรากศัพท์มาจากคำว่า villein ซึ่งเป็นคำเรียกเซิร์ฟในยุคกลางคำหนึ่ง แก่นของคำนี้หมายถึงคนที่ต่ำช้า ไม่มีศีลธรรมอย่างอัศวิน
...ซึ่งนี่ก็คล้ายๆ ที่คนไทยด่ากันว่า ไพร่ (มาจากวรรณะไพร่ในสมัยโบราณ) หรือแพศยา (มาจากวรรณะแพศย์หรือพ่อค้าในสมัยโบราณ เชื่อว่าสตรีวรรณะดังกล่าวมักร่านผู้ชาย)
คำว่า serf เองนั้นก็มีรากศัพท์จากคำละตินว่า servus ซึ่งแปลว่า "ทาส" คำนี้ยังเป็นรากของคำว่า serve ที่แปลว่า "รับใช้" ในภาษาอังกฤษปัจจุบันอีกด้วย

21. เรื่องที่ 6 "สิทธิที่เจ้าของที่ดินสามารถนอนกับเจ้าสาวเซิร์ฟในคืนแรกอาจจะมีอยู่จริง" มีบันทึกมากมายกล่าวถึงการที่เจ้าของที่ดินสามารถบุกเข้างานแต่งงานของเซิร์ฟ และเรียกร้องสิทธิในการเจ้าสาว

22. แม้เรื่องนี้จะถูกมองว่าเป็นตำนานมากกว่า แต่เคสเจ้าของที่ดินข่มขืนข้าในปกครองนั้นก็มีอยู่ทั่วไป ลูกที่เกิดจากการสมสู่ดังกล่าวจะถือเป็นลูกนอกสมรส (bastard) มักจะขาดสิทธิทางกฎหมายหลายประการ และมีชีวิตบัดซบมากกว่าเซิร์ฟปกติ

23. เรื่องที่ 7 "เมื่อถึงเวลาจริงๆ เซิร์ฟก็ต้องรบด้วย" แม้เซิร์ฟจะเสียทุกอย่างแลกกับการคุ้มครองจากเจ้าของที่ดิน แต่เมื่อมีข้าศึกมาติดเมือง ส่วนใหญ่เซิร์ฟก็ต้องออกรบเป็นกำลังหลัก

24. จริงอยู่พวกอัศวินนั้นถูกฝึกมาเพื่อเป็นนักรบ แต่ในสงครามจริงมันจะต้องมีกองทัพมดที่เอาไปถมๆ ให้ม้าข้าศึกเหยียบย่ำในโคลนเลน หรืออีกส่วนที่เอาไปถมๆ เป็นบันไดให้คนอื่นปีนขึ้นกำแพง หน้าที่เหล่านี้เสี่ยงตายเกินไป ใช้คนมากเกินไป จึงไม่เหมาะให้อัศวินทำ เพราะกว่าจะฝึกคนมาเป็นอัศวินได้คนหนึ่งก็ต้องใช้เวลานานอยู่แล้ว ไหนจะยังมีอาวุธชุดเกราะราคาแพงอีก กษัตริย์จึงต้องเก็บอัศวินไว้นำทัพหรือใช้ยามจำเป็นเท่านั้น ...เวลาอันตรายก็ให้เซิร์ฟแหละไปถม

25. เรื่องที่ 8 "ศาสนาเป็นทั้งการช่วยและการกดขี่เซิร์ฟ" ในยุโรปโบราณผู้คนเคร่งศาสนากันมาก การบอกว่ามีชีวิตที่ดีกว่าอยู่บนสวรรค์ กลับเป็นกลไกช่วยปลอบประโลมให้เซิร์ฟสามารถผ่านพ้นชีวิตบัดซบต่างๆ ไปได้

26. แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็ต้องใช้เงิน ดังนั้นนอกจากเสียภาษีให้เจ้าของที่ดินแล้ว เซิร์ฟยังต้องเสียภาษีพิเศษให้บาทหลวงและโบสถ์ ในรูปของการบริจาคต่างๆ

27. การเป็นข้าติดแผ่นดินยังเป็นการบังคับเปลี่ยนศาสนาคนมากมาย ทำให้พวกเซิร์ฟต้องละทิ้งความเชื่อเพแกน (ความเชื่อฝรั่งยุคโบราณ เช่นศาสนากรีก ศาสนาเซลติก) หันมานับถือคริสต์ อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงแฝงความเชื่อเพแกนเหล่านั้นในนิทาน หรือประเพณีต่างๆ เช่นเทศกาลเมย์เดย์
28. ท่ามกลางความโหดร้ายทั้งนั้น เซิร์ฟยังมีช่วงเวลาแห่งความสุข พวกเขาฉลองการเก็บเกี่ยว ฉลองเทศกาลต่างๆ และดูแลกันและกันให้มีความสุขตามอัตภาพ

*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** 10 ความบัดซบชีวิตเมื่อเกิดเป็นเซิร์ฟ (ข้าติดแผ่นดิน) ***
1. เมื่อพูดถึงยุโรปยุคกลาง (คริสต์ศตวรรษที่ 5 - 15) คุณคิดถึงภาพอะไร?
2. ท่านคนอาจคิดถึงเกมส์แฟนตาซีที่เคยเล่น บางคนคิดถึงหนังแฟนตาซีที่เคยดู มักเป็นเรื่องราวของอัศวินผู้กล้า ขี่ม้าขาวปราบมังกรช่วยเจ้าหญิง ทั้งสองแต่งงานอย่างมีความสุขชั่วฟ้าดินสลาย
3. ผู้คนมากมายฝันว่าจะไปเกิดเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงยุคกลาง อยู่ปราสาทใหญ่ๆ ใช้ชีวิตหรูหรา ปัญหาหนักที่เจอก็จะเป็นประมาณมีปีศาจมาโจมตี แต่ไม่ใช่ปัญหาปากท้อง
4. ความฝันเหล่านั้นมีส่วนจริง เพราะการเกิดเป็นคนชั้นสูงในยุโรปยุคกลางนั้นมีความเจ๋งความคูลหลายอย่าง เป็นยุคซึ่งคนจำนวนหนึ่งที่โชคดี จะได้มีชีวิตอันสวยงามสุขสบายเป็นพิเศษ...
5. ...แลกกับการให้คนอีก 90% ของประเทศมีชีวิตบัดซบเป็นพิเศษ...!
6. และนี่นำสู่เรื่อง "10 ความบัดซบชีวิตเมื่อเกิดเป็นเซิร์ฟ" (หรือข้าติดแผ่นดินซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในยุโรปยุคกลาง)
7. เรื่องที่ 1 "เซิร์ฟไม่ใช่ทาส แต่ก็ไม่ต่างกันมาก" อธิบายว่าในยุโรปยุคกลางนั้นแบ่งคนสามวรรณะใหญ่ๆ ตามหน้าที่ ได้แก่ กษัตริย์ และอัศวิน ผู้ต่อสู้เพื่อทุกคน (fought for all), นักบวช ผู้สวดมนต์เพื่อทุกคน (prayed for all), และชนชั้นแรงงาน ...ผู้ทำงานเพื่อทุกคน (worked for all) ในจำนวนนี้อัศวินกับนักบวชรวมกันเป็นประชากรประมาณ 10-20% ส่วนที่เหลือนั้นเป็นอิสระชนราว 10%+- (ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวนานั่นแหละ) เป็นเซิร์ฟ ราว 70%+- และเป็นทาสอีกราว 10%+-
8. ชาวนา เซิร์ฟ และทาสมีความเหมือนกัน คือมักจะยากจนเหมือนกัน ...สิ่งที่ชาวนามีดีกว่าคนอื่นคือ "มีอิสระที่จะไปทำตัวจนๆ ที่ไหนก็ได้" ขณะที่เซิร์ฟกับทาสถือเป็นสมบัติของเจ้าของที่ดิน (ซึ่งอาจเป็นนักบวชหรืออัศวิน) จะต้องอยู่ในหมู่บ้าน หรืออาณาเขตที่ถูกกำหนดเท่านั้น จะเดินทางได้ต้องได้รับการยินยอมจากผู้เป็นนายก่อน
9. ในทางเทคนิคแล้วเซิร์ฟไม่มีสมบัติส่วนตัว ทุกอย่างของเขาถือเป็นของๆ เจ้าของที่ดิน นั่นรวมถึงจอบ เสียม วัว แมว และเสื้อสกปรกๆ แต่ในทางปฏิบัติเจ้าของที่ดินก็ไม่รู้จะมาแย่งเสื้อสกปรกๆ จากเซิร์ฟไปทำไม และหลายครั้งเขายังได้รับอนุญาตให้จัดการทรัพย์สินของตัวเองได้ระดับหนึ่ง
10. ชีวิตวันๆ ของเซิร์ฟคือต้องทำงานหนักแต่เช้าจดเย็นสำหรับการศึกษานั้นก็... เอ้อ อย่าไปพูดถึงมันเลย ไม่มีของแบบนั้นหรอก แค่ออกนอกหมู่บ้านยังไม่ได้เลย! ...ดังนี้เซิร์ฟก็จะถูกเลี้ยงให้โง่ๆ เชื่องๆ บางแห่งก็จะเลี้ยงเซิร์ฟดีกว่าทาสหน่อย บางแห่งก็จะเลี้ยงไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่เซิร์ฟมักดีกว่าทาสแน่ๆ คือเจ้านายสามารถขายทาสได้แบบเดี่ยวๆ แต่ถ้าจะขายเซิร์ฟ ต้องทำในรูปขายที่ดิน แล้วมีเซิร์ฟติดไปเป็นของแถม! เห็นไหมว่าเป็นสินค้าที่ดูแพงกว่าหน่อย...
11. เรื่องที่ 2 "เซิร์ฟถูกขูดรีดได้หลายรูปแบบ" เมื่อคุณเกิดเป็นเซิร์ฟแล้ว สิ่งที่ต้องทำแน่ๆ คือต้องมีสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปทำงานให้เจ้าของที่ดิน เช่นทำสวนทำไร่ หรือปัดกวาดเช็ดถูปราสาท เป็นการทำฟรีโดยไม่ได้รับอะไรตอบแทน ซึ่งปกติเซิร์ฟหนึ่งครอบครัว ต้องส่งคนหนึ่งคนไปรับใช้ 2-3 วันต่ออาทิตย์ แต่บางแห่งก็โหดกว่านั้น
ในโปแลนด์ศตวรรษที่ 14 นั้น เซิร์ฟหนึ่งครอบครัวมักต้องทำงานให้เจ้าของที่ดิน 1 วันต่ออาทิตย์ พอถึงศตวรรษที่ 17 ก็เพิ่มเป็นสี่วันต่ออาทิตย์ และกลายเป็นหกวันต่ออาทิตย์ในศตวรรษที่ 18 หรือแปลว่าจะต้องมีคนหนึ่งในครอบครัวทำงานรับใช้เจ้าของที่ดิน full time (อีกหนึ่งวันคือวันอาทิตย์ก็เข้าโบสถ์)
12. ถามว่าเซิร์ฟได้ทรัพยากรจากไหน? คำตอบคือเซิร์ฟจะใช้เวลาที่เหลือจากการรับใช้เจ้าของที่ดิน ปลูกผักทำไร่ในที่ดินที่ตนเองได้รับมอบหมายให้ดูแล ส่วนใหญ่พวกเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้ครบวงจร คือสามารถสร้างบ้านเอง สร้างเฟอร์นิเจอร์เอง ตัดเสื้อเอง ดังนั้นจึงอยู่ได้เองโดยไม่มีปัญหา
13. ...แต่ปัญหามักมาจากจำนวนภาษีที่เจ้าของที่ดินจะเก็บจากผลผลิตของเซิร์ฟอีกต่อหนึ่ง และยังเก็บภาษีเล็กน้อยอื่นๆ เช่นค่าใช้โรงสีในที่ของเจ้าของที่ดิน หรือค่าตัดไม้ในป่าของเจ้าของที่ดิน ซึ่งถ้าปีไหนน้ำท่าไม่ดีเซิร์ฟจะอดตายก็มักเพราะส่วนนี้
14. เรื่องที่ 3 "เจ้าของที่ดินลงโทษเซิร์ฟได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล" กฎหมายยุคกลางอนุญาตให้เจ้าของที่ดินทำการลงโทษเซิร์ฟได้บางอย่างตามอารมณ์ ไม่ต้องผ่านกระบวนการศาล เช่นเอาไปขังคุก หรือเฆี่ยน อย่างไรก็ตามบางแห่งก็จะมีกฎหมายรักษาสิทธิมนุษยชนไม่ให้เจ้าของที่ดินลงโทษแรงเกินไป
15. แต่ฟ้าสูงแผ่นดินกว้าง กฎหมายยุคกลางมิได้ครอบคลุมทั่วถึง บางครั้งเจ้าของที่ดินหาทางเลี่ยงบาลี เช่นหากกฎหมายบอกว่า "ห้ามทำร้ายเซิร์ฟถึงเลือดตกยางออก" ก็เพียงจับเซิร์ฟไปถ่วงน้ำ หรือให้มันอดตาย หนาวตาย แค่นี้เลือดก็ไม่ตกแล้วชิมิ
16. เรื่องที่ 4 "แม้ชีวิตเซิร์ฟจะทารุณ แต่บางทีชาวนาก็ยอมเปลี่ยนตัวเองเป็นเซิร์ฟโดยสมัครใจ" ต้องอธิบายว่าในระบบศักดินาหรือฟิลดัลของยุโรปโบราณนั้น ชีวิตที่อยู่นอกความคุ้มครองของเจ้าของที่ดินมันไม่ได้ปลอดภัยนัก ถ้าคุณเป็นชาวนาอิสระ วันหนึ่งอาจจะถูกโจรปล้น หรือเกิดภัยแห้งแล้งจนสิ้นเนื้อประดาตัว ในที่สุดยังคงต้องมาขอสวามิภักดิ์กับเจ้าของที่ดิน ให้เขาปกป้องคุณ เพราะคุณเป็นสมบัติของเขา
17. พิธีการเข้าเป็นเซิร์ฟนั้นเรียกว่า "บอนเดจ (bondage) " ในการนี้ผู้ขอเป็นเซิร์ฟจะต้องวางหัวลงบนมือเจ้าของที่ดิน และกล่าวสาบานประมาณว่า "โดยอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ข้าขอสวามิภักดิ์ต่อ (ชื่อลอร์ด เช่นลอร์ดคอร์กีรุส) ข้าจะซื่อสัตย์จริงใจ รักในสิ่งที่ท่านรัก ออกห่างสิ่งที่ท่านรังเกียจ จะไม่ทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ จะทำในสิ่งที่ท่านต้องการ" หลังจากนั้นเขาตลอดจนลูกหลานเหลนในอนาคตก็จะตกเป็นเซิร์ฟติดที่ดินดังกล่าวไปชั่วกาลนาน
18. ปัจจุบันจะเห็นว่าคำว่า bondage นั้น ถูกแปลความหมายเป็นรสนิยมทางเพศแบบชอบการทรมาน ซึ่งสื่อนัยๆ ว่าพวกที่สมัครเป็นเซิร์ฟอาจจะชอบอะไรแบบนี้
19. เรื่องที่ 5 "เซิร์ฟทำเพื่อเจ้านายขนาดนี้ก็ยังไม่ถูกมองว่าดี" ...เสียดายค่านิยมยุคกลางนั้นชื่นชอบคุณธรรมของอัศวินที่ขี่ม้าช่วยเจ้าหญิง ปกป้องคนอ่อนแอ ไม่ค่อยมีใครสนใจคุณธรรมของเซิร์ฟเท่าไร
20. จริงๆ แล้วคำว่าวิลเลิน หรือ villain ที่แปลว่าตัวชั่วร้ายนั้นมีรากศัพท์มาจากคำว่า villein ซึ่งเป็นคำเรียกเซิร์ฟในยุคกลางคำหนึ่ง แก่นของคำนี้หมายถึงคนที่ต่ำช้า ไม่มีศีลธรรมอย่างอัศวิน
...ซึ่งนี่ก็คล้ายๆ ที่คนไทยด่ากันว่า ไพร่ (มาจากวรรณะไพร่ในสมัยโบราณ) หรือแพศยา (มาจากวรรณะแพศย์หรือพ่อค้าในสมัยโบราณ เชื่อว่าสตรีวรรณะดังกล่าวมักร่านผู้ชาย)
คำว่า serf เองนั้นก็มีรากศัพท์จากคำละตินว่า servus ซึ่งแปลว่า "ทาส" คำนี้ยังเป็นรากของคำว่า serve ที่แปลว่า "รับใช้" ในภาษาอังกฤษปัจจุบันอีกด้วย
21. เรื่องที่ 6 "สิทธิที่เจ้าของที่ดินสามารถนอนกับเจ้าสาวเซิร์ฟในคืนแรกอาจจะมีอยู่จริง" มีบันทึกมากมายกล่าวถึงการที่เจ้าของที่ดินสามารถบุกเข้างานแต่งงานของเซิร์ฟ และเรียกร้องสิทธิในการเจ้าสาว
22. แม้เรื่องนี้จะถูกมองว่าเป็นตำนานมากกว่า แต่เคสเจ้าของที่ดินข่มขืนข้าในปกครองนั้นก็มีอยู่ทั่วไป ลูกที่เกิดจากการสมสู่ดังกล่าวจะถือเป็นลูกนอกสมรส (bastard) มักจะขาดสิทธิทางกฎหมายหลายประการ และมีชีวิตบัดซบมากกว่าเซิร์ฟปกติ
23. เรื่องที่ 7 "เมื่อถึงเวลาจริงๆ เซิร์ฟก็ต้องรบด้วย" แม้เซิร์ฟจะเสียทุกอย่างแลกกับการคุ้มครองจากเจ้าของที่ดิน แต่เมื่อมีข้าศึกมาติดเมือง ส่วนใหญ่เซิร์ฟก็ต้องออกรบเป็นกำลังหลัก
24. จริงอยู่พวกอัศวินนั้นถูกฝึกมาเพื่อเป็นนักรบ แต่ในสงครามจริงมันจะต้องมีกองทัพมดที่เอาไปถมๆ ให้ม้าข้าศึกเหยียบย่ำในโคลนเลน หรืออีกส่วนที่เอาไปถมๆ เป็นบันไดให้คนอื่นปีนขึ้นกำแพง หน้าที่เหล่านี้เสี่ยงตายเกินไป ใช้คนมากเกินไป จึงไม่เหมาะให้อัศวินทำ เพราะกว่าจะฝึกคนมาเป็นอัศวินได้คนหนึ่งก็ต้องใช้เวลานานอยู่แล้ว ไหนจะยังมีอาวุธชุดเกราะราคาแพงอีก กษัตริย์จึงต้องเก็บอัศวินไว้นำทัพหรือใช้ยามจำเป็นเท่านั้น ...เวลาอันตรายก็ให้เซิร์ฟแหละไปถม
25. เรื่องที่ 8 "ศาสนาเป็นทั้งการช่วยและการกดขี่เซิร์ฟ" ในยุโรปโบราณผู้คนเคร่งศาสนากันมาก การบอกว่ามีชีวิตที่ดีกว่าอยู่บนสวรรค์ กลับเป็นกลไกช่วยปลอบประโลมให้เซิร์ฟสามารถผ่านพ้นชีวิตบัดซบต่างๆ ไปได้
26. แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็ต้องใช้เงิน ดังนั้นนอกจากเสียภาษีให้เจ้าของที่ดินแล้ว เซิร์ฟยังต้องเสียภาษีพิเศษให้บาทหลวงและโบสถ์ ในรูปของการบริจาคต่างๆ
27. การเป็นข้าติดแผ่นดินยังเป็นการบังคับเปลี่ยนศาสนาคนมากมาย ทำให้พวกเซิร์ฟต้องละทิ้งความเชื่อเพแกน (ความเชื่อฝรั่งยุคโบราณ เช่นศาสนากรีก ศาสนาเซลติก) หันมานับถือคริสต์ อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงแฝงความเชื่อเพแกนเหล่านั้นในนิทาน หรือประเพณีต่างๆ เช่นเทศกาลเมย์เดย์
28. ท่ามกลางความโหดร้ายทั้งนั้น เซิร์ฟยังมีช่วงเวลาแห่งความสุข พวกเขาฉลองการเก็บเกี่ยว ฉลองเทศกาลต่างๆ และดูแลกันและกันให้มีความสุขตามอัตภาพ
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***