คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ขอพูดถึงตอนทำงานก่อน น้องควรจะแบ่งเงินออกเป็นสี่ส่วนเสมอ
0. ส่วนของหนี้ อันนี้ถ้ามีหักออกไปก่อน แล้วค่อยลงมาแบ่งอัตราส่วน 4 ตัวข้างล่าง
1. คือเงินใช้จ่าย(ออม)ฉุกเฉิน ที่ควรจะมีเท่ากับ 12 เท่าของรายจ่ายประจำเดือน
ถามว่ามีไปทำไม เพื่อสำรองไว้ใช้ในยามที่เราจำเป็นต้องใช้จริงๆ เช่น ตกงานกระทันหัน ค่ารักษาส่วนนอกเหนือที่ประกันออกให้ ค่าเสียหายอุบัติเหตุกรณีเราผิดหรือค่าทนายกรณีต้องขึ้นศาล บางคนบอกให้เก็บไว้12เท่าของรายจ่าย ถ้าเอาเซฟคือจะเก็บไว้เป็นเงินเย็น 12 เท่าเงินเดือน
2.คือเงินในส่วนของการวางแผนภาษี อย่าคิดว่าไม่สำคัญ น้องคงไม่อยากเสียเงินส่วนนี้ไปฟรีๆเป็นหมื่นทุกปีจริงมั้ย ลดเท่าที่พอไหว วิธีลดเช่น
2.1) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พวกนี้ตอนได้งานบริษัทเขาจะบอก
2.2) ซื้อพวกประกันที่เข้าข่าย พวกประกันออมทรัพย์บางตัว หรือพวกประกันบำนาญ
2.3) พวกกองทุน เช่น SSF กับ RMF พวกนี้มันก็เหมือนเงินออมเรา ถึงกว่าจะเอาออกได้อีก10ปี แต่ได้ทั้งลดภาษีและเป็นเงินก้อน แต่กองทุนก็มีความเสี่ยง ถ้ากองไหนบริหารแย่ เงินต้นก็อาจจะหดหายได้
3) เงินส่วนที่ใช้สร้างความมั่งคั่ง ส่วนนี้ไม่มีก็ได้หรือถ้ามี แรกๆก็อย่าแบ่งมาที่ส่วนนี้เยอะนักเพราะเรายังไม่มีประสบการณ์ ส่วนนี้คือการมองระยะยาว 10-20ปี หรือไปจนเกษียณ พวกนี้ก็คือเงินที่ไว้ลงทุน ซื้อหุ้น ซื้อกองทุนที่เสี่ยงระดับ6ขึ้นไป บางคนอาจจะลงทุนในอสังหาร์ ห้องเช่า หรือใช้เป็นค่าใช้จ่ายของธุรกิจส่วนตัวนอกเหนือจากงานประจำ บางคนมองว่าการซื้อบ้านสำหรับอนาคตก็เป็นการลงทุนเหมือนกัน แต่ไม่ควรทำถ้าไม่พร้อมนะ
4) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ทำไมพี่ถึงเอาอันนี้ไว้ล่างสุด เพราะข้างบนเป็นสิ่งที่ "ต้องทำ" สำหรับพี่ คือได้เงินเดือนปุ๊บต้องหักเงินส่วนข้างบนออกไปเลย เหลือเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้นแหละ ตอนทำงานครั้งแรกพอเข้าดือนครั้งที่สอง พี่ก็พอกะได้แล้วว่าค่าใช้จ่าย fixed cost ของพี่เป็นเท่าไหร่ ก็ให้เอาส่วนนี้คูณซัก1.2เท่าเผื่อเอาไว้กรณีมีกินเลี้ยงกับเพื่อน ถ้าเดือนไหนไม่มีevetอะไร ไอ้ 0.2 เท่าก็เก็บเอาไว้เตรียมซื้อของที่อยากได้ เช่น โทรศัพท์เครื่องใหม่ พวกของฟุ่มเฟือยถ้าจะซื้อต้องมาจากเงินเหลือ 0.2 เท่าของ fixed cost นี้สะสมกันจนพอซื้อเท่านั้น
แผนการค่าใช้จ่ายหลังหักหนี้ก็จะแบ่งเป็น 1:2:3:4 = 20% : 20% : 10% : (1.2*42%) ส่วนที่ 1 ถ้าเก็บถึงเป้าแล้วก็อาจจะไปเพิ่มใส่ 2, 3 ก็ได้ หรือจะเก็บต่อแต่น้อยลงจาก 20 % ก็ได้ เพราะส่วนที่ 1 คือเงินเย็น น้องอาจจะเก็บเงินส่วนนี้ไว้เผื่อกรณีแบบ ทองลงก็ไปช้อนซื้อ แต่ต้องเหลือไว้ 12 เท่าค่าใช้จ่ายเสมอ ห้ามกินเข้าไปในส่วนนั้นเด็ดขาด
กลับมาตอบคำถามน้อง ตอนนี้น้องเริ่มต้นคิดได้ก่อนทำงานก็ดีแล้ว ตอนนี้ก็เตรียมเก็บเงินไว้ก่อน ส่วนที่ 1 จะได้ถึงเป้าเร็วๆ น้องจะได้แบ่งเงินไปจัดการในส่วนของ 2,3 เพิ่มได้ นอกจากนี้ก็หาหนังสือพวกการเงิน การลงทุนที่ห้องสมุดมาอ่านว่างๆไว้เตรียมจัดการส่วนที่ 2,3 ล่วงหน้า
ถ้าน้องพอมีความรู้ เวลาน้องซื้อหุ้นติดดอยครั้งแรกน่าจะได้ดอยที่ไม่สูงนัก
0. ส่วนของหนี้ อันนี้ถ้ามีหักออกไปก่อน แล้วค่อยลงมาแบ่งอัตราส่วน 4 ตัวข้างล่าง
1. คือเงินใช้จ่าย(ออม)ฉุกเฉิน ที่ควรจะมีเท่ากับ 12 เท่าของรายจ่ายประจำเดือน
ถามว่ามีไปทำไม เพื่อสำรองไว้ใช้ในยามที่เราจำเป็นต้องใช้จริงๆ เช่น ตกงานกระทันหัน ค่ารักษาส่วนนอกเหนือที่ประกันออกให้ ค่าเสียหายอุบัติเหตุกรณีเราผิดหรือค่าทนายกรณีต้องขึ้นศาล บางคนบอกให้เก็บไว้12เท่าของรายจ่าย ถ้าเอาเซฟคือจะเก็บไว้เป็นเงินเย็น 12 เท่าเงินเดือน
2.คือเงินในส่วนของการวางแผนภาษี อย่าคิดว่าไม่สำคัญ น้องคงไม่อยากเสียเงินส่วนนี้ไปฟรีๆเป็นหมื่นทุกปีจริงมั้ย ลดเท่าที่พอไหว วิธีลดเช่น
2.1) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พวกนี้ตอนได้งานบริษัทเขาจะบอก
2.2) ซื้อพวกประกันที่เข้าข่าย พวกประกันออมทรัพย์บางตัว หรือพวกประกันบำนาญ
2.3) พวกกองทุน เช่น SSF กับ RMF พวกนี้มันก็เหมือนเงินออมเรา ถึงกว่าจะเอาออกได้อีก10ปี แต่ได้ทั้งลดภาษีและเป็นเงินก้อน แต่กองทุนก็มีความเสี่ยง ถ้ากองไหนบริหารแย่ เงินต้นก็อาจจะหดหายได้
3) เงินส่วนที่ใช้สร้างความมั่งคั่ง ส่วนนี้ไม่มีก็ได้หรือถ้ามี แรกๆก็อย่าแบ่งมาที่ส่วนนี้เยอะนักเพราะเรายังไม่มีประสบการณ์ ส่วนนี้คือการมองระยะยาว 10-20ปี หรือไปจนเกษียณ พวกนี้ก็คือเงินที่ไว้ลงทุน ซื้อหุ้น ซื้อกองทุนที่เสี่ยงระดับ6ขึ้นไป บางคนอาจจะลงทุนในอสังหาร์ ห้องเช่า หรือใช้เป็นค่าใช้จ่ายของธุรกิจส่วนตัวนอกเหนือจากงานประจำ บางคนมองว่าการซื้อบ้านสำหรับอนาคตก็เป็นการลงทุนเหมือนกัน แต่ไม่ควรทำถ้าไม่พร้อมนะ
4) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ทำไมพี่ถึงเอาอันนี้ไว้ล่างสุด เพราะข้างบนเป็นสิ่งที่ "ต้องทำ" สำหรับพี่ คือได้เงินเดือนปุ๊บต้องหักเงินส่วนข้างบนออกไปเลย เหลือเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้นแหละ ตอนทำงานครั้งแรกพอเข้าดือนครั้งที่สอง พี่ก็พอกะได้แล้วว่าค่าใช้จ่าย fixed cost ของพี่เป็นเท่าไหร่ ก็ให้เอาส่วนนี้คูณซัก1.2เท่าเผื่อเอาไว้กรณีมีกินเลี้ยงกับเพื่อน ถ้าเดือนไหนไม่มีevetอะไร ไอ้ 0.2 เท่าก็เก็บเอาไว้เตรียมซื้อของที่อยากได้ เช่น โทรศัพท์เครื่องใหม่ พวกของฟุ่มเฟือยถ้าจะซื้อต้องมาจากเงินเหลือ 0.2 เท่าของ fixed cost นี้สะสมกันจนพอซื้อเท่านั้น
แผนการค่าใช้จ่ายหลังหักหนี้ก็จะแบ่งเป็น 1:2:3:4 = 20% : 20% : 10% : (1.2*42%) ส่วนที่ 1 ถ้าเก็บถึงเป้าแล้วก็อาจจะไปเพิ่มใส่ 2, 3 ก็ได้ หรือจะเก็บต่อแต่น้อยลงจาก 20 % ก็ได้ เพราะส่วนที่ 1 คือเงินเย็น น้องอาจจะเก็บเงินส่วนนี้ไว้เผื่อกรณีแบบ ทองลงก็ไปช้อนซื้อ แต่ต้องเหลือไว้ 12 เท่าค่าใช้จ่ายเสมอ ห้ามกินเข้าไปในส่วนนั้นเด็ดขาด
กลับมาตอบคำถามน้อง ตอนนี้น้องเริ่มต้นคิดได้ก่อนทำงานก็ดีแล้ว ตอนนี้ก็เตรียมเก็บเงินไว้ก่อน ส่วนที่ 1 จะได้ถึงเป้าเร็วๆ น้องจะได้แบ่งเงินไปจัดการในส่วนของ 2,3 เพิ่มได้ นอกจากนี้ก็หาหนังสือพวกการเงิน การลงทุนที่ห้องสมุดมาอ่านว่างๆไว้เตรียมจัดการส่วนที่ 2,3 ล่วงหน้า
ถ้าน้องพอมีความรู้ เวลาน้องซื้อหุ้นติดดอยครั้งแรกน่าจะได้ดอยที่ไม่สูงนัก
แสดงความคิดเห็น
เป็นนักศึกษาจะเริ่มวางแผนการเงินยังไงดีครับ (ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกเอง)
อยากทราบว่าพี่ๆ มีแนวทางการวางแผนยังไงบ้างครับ
เริ่มจากด้านไหนก่อนดีครับ
แล้วเราต้องวางแผนไปยาวแค่ไหนครับ จนเกษียณเลยรึเปล่า?
ควรแบ่งเงินเป็นกี่ก้อนดีครับ?
มีอะไรที่พี่ๆแนะนำให้เด็กอายุ 20 เริ่มต้นวางแผนบ้างครับ?