สวัสดีกันอีกครั้งนะคะทุกคนนนนน
หนูนาเอง หนูนาไง หนูนาคนเดิมที่ชอบเที่ยวคนเดียว เพราะเพื่อนไม่คบ5555

กลับมาเขียนรีวิวอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปนานมากกกกกกก
สัญญาว่าจะพูดให้น้อยลง(มั้ง)55555
อ่ะๆ เล่าเลยละกันนะ

เริ่มแรกเดินทาง กับฉัน ผู้ชอบการนั่งรถไฟเป็นไหนไหน
จากสถานีรถไฟดอนเมือง-สถานีรถไฟพิษณุโลก

ตามตั๋ว ได้มารอบ 21.00
ตามจริง รถไฟมาช้าไปแค่ 3 นาทีเท่านั้นนน
แต่ถึงปลายทาง 03.00 ซึ่งช้าไปกว่าเวลาที่เขียนไว้ในตั๋วเกือบ 30 นาที!!!
นั่นแหล่ะฮ่ะ คือไฮไลท์ของการนั่งรถไฟ 555555555
03.00 น. เราก็มาถึงสถานีรถไฟพิษณุโลกแล้ว ไม่รอช้า ทำธุระกับระบบลำไส้ใหญ่ จากนั้นอาบน้ำแปรงฟันให้พร้อมเพื่อรอรถรับส่งที่เรานัดไว้ตอน 04.00 มารับ (ราคารถรับส่งน่ารักมากจ้า ถ้าเทียบกับระยะทางและผู้ที่จะร่วมเดินทางไปด้วยแค่ 4 คน ใครสนใจ ติดต่อพี่เก่งได้ที่ 0877330661 จ้า ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเด้อ ไปคุยกันเอาเองนะจ๊ะ)

ตีสี่นิดๆ พี่เก่งรถรับส่งของเราก็มาถึง เราไปรับเพื่อนร่วมเดินทางที่มาจากต่างที่อีก 3 คน ที่บขส.พิษณุโลกหลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่อ.ชาติตระการ(ตอนไปคือความรู้สึกมาถึงเร็วมาก เพราะหลับมาตลอดทาง 55555 แต่ขากลับคือนานมากกกกกกกกก เพราะว่ามันไกลมากกกก) แวะตลาดซื้อของกินและของใช้ส่วนตัว ตรงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะมัวแต่หาของกิน 55555(ตรงข้ามตลาดเป็นโลตัสมีแก๊สกระป๋องขายด้วยนะคะ กระป๋องละ 40 บาท แต่แก๊สแบบซาลาเปาไม่มีนะจ๊ะ เตรียมมาเองจากบ้านโลดเด่อออ เดี๋ยวเป็นแบบเรานะ ฮ่าๆๆๆ)

8 โมงนิดๆ (ซึ่งไม่รู้ว่านิดแค่ไหน) เราก็มาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ใครใคร่ฝากของลูกหาบก็ฝาก ใครใคร่จะแบกเองก็แบก ส่วนตัวเรานั้น ทั้งฝากทั้งแบก เพราะเราไม่ได้เช่าอุปกรณ์ใดใดของทางอุทยานเลย นำมาเองทั้งหมด และสัมภาระรวมกันก็เกือบ 20 กิโล ดูจากรูปร่างอันบึกบึนแต่อ่อนแรง(จากการไม่ได้นอนบนรถไฟนั้น) เราก็เลยจ้างลูกหาบให้ช่วยไปประมาณ 8 กิโล และแบกเองประมาณ 10 กว่ากิโลนิดๆ
ก่อนจะเดินขึ้นไป เจ้าหน้าที่จะแจ้งว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างนะคะ(จุดบริการนักท่องเที่ยวมีตราปั้มสำหรับนักสะสมอุทยาน และจุดก่อนเดินขึ้นที่น้ำตกภูสอยดาวก็มีนะ)

08.55 เริ่มออกเดินขึ้นสู่ลานสนภูสอยดาว

ระหว่างทางที่เดินขึ้นมา ก็จะเจอธรรมชาติที่สวยงามมากมาย ต้นไม้น้อยใหญ่ สายฝนบางๆ และเสียงน้ำไหลอันแสนไพเราะให้เราได้ฟังไปเพลินๆจนไม่รู้สึกเหนื่อยเลย

ที่บอกไม่เหนื่อยคือ พูดเล่น 55555 เราแวะถ่ายรูประหว่างทางเรื่อยๆคนเดียว นั่งพักตามประสาคนไม่รีบเร่ง
และเราก็เดินมาถึงจุดที่ใครหลายๆบอกว่า “เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน”

ความรู้สึกเมื่อเห็นป้ายนี้คือแบบ อ้าววว ที่เดินมาเมื่อกี้ไม่ใช่เนินส่งญาติหรอวะ?? 55555

แค่เห็นทางเดินเริ่มต้นก็อยากเดินกลับแล้ววว #จาร้องงงงง
ช่วงเนินนี้เราแทบไม่ได้ถ่ายรูปอะไรไว้เลย เพราะเป็นเนินวัดใจในการเดินไปต่อหรือพอแค่นี้5555555
เนินต่อมา “เนินปราบเซียน” ที่เท่ากับปราบเซียนจริงๆ
(เราว่าเนินนี้เดินยากกว่าเนินมรณะอีกนะ เพียงแค่ระยะทางเดินน้อยกว่าแค่นั้นเอง)

จุดพักตรงป้ายเนินปราบเซียนนี้อากาศเย็นสบายมากๆๆๆๆๆ เรียกได้ว่าเป็นจุดที่ควรค่าแก่การนั่งพัก หลังจากที่ฝ่าฝันความลำบากของเนินส่งญาติมา 555555 คนที่เดินขึ้นมาทีหลังเรา ก็มารวมตัวกันตรงนี้ จะเรียกว่าเป็นจุดรวมพลเพื่อเริ่มต้นเดินทางไปด้วยกันก็ว่าได้
ไปจ๊ะไป ไปต่อ
เจอป้ายบอกระยะทางแห่งการพาตัวเองไปพิชิตลานสนภูสอยดาว

(และนี่คือ นุ๊ก เพื่อนใหม่ในการร่วมเดินทางไปกับเรา)
ระหว่างทางที่ไม่เร่งรีบ ระหว่างคนแปลกหน้าสองสามคนที่เจอกัน ก็จะถ่ายรูปดอกไม้ ป่าเขา ธรรมชาติไปเรื่อยๆ

พอใกล้จะเข้าถึงป้ายบอกเนินถัดไปที่เราต่างเฝ้ารอคอยว่าเมื่อไหร่จะถึง5555 ฝนก็ตกลงมาปอยๆ ปอยในชนิดที่แบบ ต้องเอาเสื้อกันฝนออกมาใส่(ของมันต้องมีติดกระเป๋านะคะ ใครที่ลืมซื้อมา ทางร้านค้าสวัสดิการของอทุยานก็มีจำหน่าย อันละ 35 บาทจ้า)
เลอะพอสมควรกว่าจะเดินมาถึงเนินต่อไป
“เนินป่าก่อ” ที่มีชื่อนี้ก็คงเป็นเพราะเนินนี้มีแต่ต้นก่อเต็มไปหมด

เริ่มจากตรงนี้ฝนก็ทำท่าว่าจะตกแรงขึ้น แต่เพราะฝนนี่แหล่ะ ที่ทำให้เราที่กำลังเดินอยู่ เพลินเพลิดไปกับสายฝน มากกว่าเหนื่อยไปกับเส้นทางที่กำลังจะได้เผชิญต่อไป

เนินที่ 4 แห่งการวัดใจ “เนินเสือโคร่ง”

ฝนหายไปแล้วเมื่อมาถึงเนินนี้
จากตรงนี้ไปคือจุดเริ่มต้นความสวยงามของภูสอยดาว ที่บอกได้เลยว่า “ควรค่าแก่การมาพิชิต”

ช่วงที่เราเดินไปจากเนินนี่ เรามองเห็นน้ำตกบนภูเขาลูกข้างๆอยู่ประมาณ 4 สาย
ใครที่จะไปพิชิตลานสนภูสอยดาวต่อจากเรา ฝากนับหน่อยนะคะว่าเจอ 4 สายเท่าเราเปล่า ??

นี่คือน้ำตกสามสายแรกที่เจอ ระหว่างทางเดินเนินเสือโคร่ง
หลังจากเจอน้ำตกที่สวยงามแล้ว ก็เดินมาเจอป้ายแห่งความอ่อนล้า55555555
“เนินมรณะ”

เนินแห่งชื่อลือเลื่อง ในความลำบาก (และเป็นเนินที่เราอ่านรีวิวทีไรก็ทำให้เราไม่อยากมาที่นี่เลย 55555)
ทางเดินขึ้นอาจทำให้มรณะ แต่วิวข้างทางคือนิพพาน

และคนโสดแบบเรา ก็เดินมาอิจฉาต้นไม้สองต้นนี้ (ต้นไม้ที่มองทะลุไปเจอน้ำตกสายที่ 4 )

“ขนาดต้นไม้ยังมีคู่ แต่ทำไมหนูไม่มีใคร” แง่มๆ

ไปกันต่อค่ะ กับทางเดินแห่งเนินมรณะ ที่เป็นแบบนี้ตลอดเส้นทาง (นี่สินะที่ทำให้คนที่มาที่นี่ รีวิวถึงความยากลำบากในการเดินของเนินนี้)

ถ้าคุณเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว”
คุณลองมาที่นี่ดูสิ จะได้เปลี่ยนคำพูดเป็น “ยิ่งสูงยิ่งสวย”

และนี่ก็คือมุมสุดฮิตของเนินมรณะ ใครมาถึงก็ต้องแวะถ่ายรูปและนั่งดูวิวสวยๆตรงนี้

โอบกอดความสวยงามนี้ไว้

ไปค่าไป ลานสนไปทางนู้นนนนนน อีกนิดเดียวเท่านั้นจ๊ะพี่ตา

ถึงแล้วโว๊ยยยยยยยยยยย (อยากจะตะโกนดังๆตรงนั้น แต่ติดที่เกรงใจพี่ๆที่เดินมาถึงพร้อมๆกัน 555555)

ไม่หนาว ไม่เหนื่อยเลย เพราะมันสวยมากกกกกก

พอเดินมาถึงก็หามุมกางเต็นท์ ถ้าเป็นคนอื่นก็จะดูทางน้ำไหล ดูพื้นว่าเหมาะแก่การนอนไหม
แต่เรา ดูแค่ว่า ฉันตื่นมาฉันจะเจอวิวร้อยล้านไหม 5555 ก็เลยเลือกตรงนี้ (ตรงที่คนเขาไม่ค่อยเลือกกัน)

กางเสร็จแล้ว ฉันก็ได้พบกับวิวร้อยล้านจริงๆค่ะ

วันแรกที่ภูสอยดาวของฉันก็จบลงเพราะความเหนื่อยล้า(อาจเพราะไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืน)
เลยทำให้ฉันหลับใหลไปตั้งแต่เวลา 17.00 น.
คืนวันนี้ฟ้าฝนตกลงมาทั้งคืน ลมก็แรง ทำให้ฉันหลับๆตื่นๆตลอดเวลา
แต่ก็ทำให้ฉันสดชื่นได้เมื่อเปิดไปเจอวิวร้อยล้านของฉัน
ผู้หญิงตัวคนเดียว เที่ยวภูสอยดาว ในงบ 1800 บาท (แถมพบรักที่ภูสอยดาวด้วย) ^^`
หนูนาเอง หนูนาไง หนูนาคนเดิมที่ชอบเที่ยวคนเดียว เพราะเพื่อนไม่คบ5555
กลับมาเขียนรีวิวอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปนานมากกกกกกก
สัญญาว่าจะพูดให้น้อยลง(มั้ง)55555
อ่ะๆ เล่าเลยละกันนะ
เริ่มแรกเดินทาง กับฉัน ผู้ชอบการนั่งรถไฟเป็นไหนไหน
จากสถานีรถไฟดอนเมือง-สถานีรถไฟพิษณุโลก
ตามตั๋ว ได้มารอบ 21.00
ตามจริง รถไฟมาช้าไปแค่ 3 นาทีเท่านั้นนน
แต่ถึงปลายทาง 03.00 ซึ่งช้าไปกว่าเวลาที่เขียนไว้ในตั๋วเกือบ 30 นาที!!!
นั่นแหล่ะฮ่ะ คือไฮไลท์ของการนั่งรถไฟ 555555555
03.00 น. เราก็มาถึงสถานีรถไฟพิษณุโลกแล้ว ไม่รอช้า ทำธุระกับระบบลำไส้ใหญ่ จากนั้นอาบน้ำแปรงฟันให้พร้อมเพื่อรอรถรับส่งที่เรานัดไว้ตอน 04.00 มารับ (ราคารถรับส่งน่ารักมากจ้า ถ้าเทียบกับระยะทางและผู้ที่จะร่วมเดินทางไปด้วยแค่ 4 คน ใครสนใจ ติดต่อพี่เก่งได้ที่ 0877330661 จ้า ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเด้อ ไปคุยกันเอาเองนะจ๊ะ)
ตีสี่นิดๆ พี่เก่งรถรับส่งของเราก็มาถึง เราไปรับเพื่อนร่วมเดินทางที่มาจากต่างที่อีก 3 คน ที่บขส.พิษณุโลกหลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่อ.ชาติตระการ(ตอนไปคือความรู้สึกมาถึงเร็วมาก เพราะหลับมาตลอดทาง 55555 แต่ขากลับคือนานมากกกกกกกกก เพราะว่ามันไกลมากกกก) แวะตลาดซื้อของกินและของใช้ส่วนตัว ตรงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะมัวแต่หาของกิน 55555(ตรงข้ามตลาดเป็นโลตัสมีแก๊สกระป๋องขายด้วยนะคะ กระป๋องละ 40 บาท แต่แก๊สแบบซาลาเปาไม่มีนะจ๊ะ เตรียมมาเองจากบ้านโลดเด่อออ เดี๋ยวเป็นแบบเรานะ ฮ่าๆๆๆ)
8 โมงนิดๆ (ซึ่งไม่รู้ว่านิดแค่ไหน) เราก็มาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ใครใคร่ฝากของลูกหาบก็ฝาก ใครใคร่จะแบกเองก็แบก ส่วนตัวเรานั้น ทั้งฝากทั้งแบก เพราะเราไม่ได้เช่าอุปกรณ์ใดใดของทางอุทยานเลย นำมาเองทั้งหมด และสัมภาระรวมกันก็เกือบ 20 กิโล ดูจากรูปร่างอันบึกบึนแต่อ่อนแรง(จากการไม่ได้นอนบนรถไฟนั้น) เราก็เลยจ้างลูกหาบให้ช่วยไปประมาณ 8 กิโล และแบกเองประมาณ 10 กว่ากิโลนิดๆ
ก่อนจะเดินขึ้นไป เจ้าหน้าที่จะแจ้งว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างนะคะ(จุดบริการนักท่องเที่ยวมีตราปั้มสำหรับนักสะสมอุทยาน และจุดก่อนเดินขึ้นที่น้ำตกภูสอยดาวก็มีนะ)
08.55 เริ่มออกเดินขึ้นสู่ลานสนภูสอยดาว
ระหว่างทางที่เดินขึ้นมา ก็จะเจอธรรมชาติที่สวยงามมากมาย ต้นไม้น้อยใหญ่ สายฝนบางๆ และเสียงน้ำไหลอันแสนไพเราะให้เราได้ฟังไปเพลินๆจนไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
ที่บอกไม่เหนื่อยคือ พูดเล่น 55555 เราแวะถ่ายรูประหว่างทางเรื่อยๆคนเดียว นั่งพักตามประสาคนไม่รีบเร่ง
และเราก็เดินมาถึงจุดที่ใครหลายๆบอกว่า “เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน”
ความรู้สึกเมื่อเห็นป้ายนี้คือแบบ อ้าววว ที่เดินมาเมื่อกี้ไม่ใช่เนินส่งญาติหรอวะ?? 55555
แค่เห็นทางเดินเริ่มต้นก็อยากเดินกลับแล้ววว #จาร้องงงงง
ช่วงเนินนี้เราแทบไม่ได้ถ่ายรูปอะไรไว้เลย เพราะเป็นเนินวัดใจในการเดินไปต่อหรือพอแค่นี้5555555
เนินต่อมา “เนินปราบเซียน” ที่เท่ากับปราบเซียนจริงๆ
(เราว่าเนินนี้เดินยากกว่าเนินมรณะอีกนะ เพียงแค่ระยะทางเดินน้อยกว่าแค่นั้นเอง)
จุดพักตรงป้ายเนินปราบเซียนนี้อากาศเย็นสบายมากๆๆๆๆๆ เรียกได้ว่าเป็นจุดที่ควรค่าแก่การนั่งพัก หลังจากที่ฝ่าฝันความลำบากของเนินส่งญาติมา 555555 คนที่เดินขึ้นมาทีหลังเรา ก็มารวมตัวกันตรงนี้ จะเรียกว่าเป็นจุดรวมพลเพื่อเริ่มต้นเดินทางไปด้วยกันก็ว่าได้
ไปจ๊ะไป ไปต่อ
เจอป้ายบอกระยะทางแห่งการพาตัวเองไปพิชิตลานสนภูสอยดาว
(และนี่คือ นุ๊ก เพื่อนใหม่ในการร่วมเดินทางไปกับเรา)
ระหว่างทางที่ไม่เร่งรีบ ระหว่างคนแปลกหน้าสองสามคนที่เจอกัน ก็จะถ่ายรูปดอกไม้ ป่าเขา ธรรมชาติไปเรื่อยๆ
พอใกล้จะเข้าถึงป้ายบอกเนินถัดไปที่เราต่างเฝ้ารอคอยว่าเมื่อไหร่จะถึง5555 ฝนก็ตกลงมาปอยๆ ปอยในชนิดที่แบบ ต้องเอาเสื้อกันฝนออกมาใส่(ของมันต้องมีติดกระเป๋านะคะ ใครที่ลืมซื้อมา ทางร้านค้าสวัสดิการของอทุยานก็มีจำหน่าย อันละ 35 บาทจ้า)
เลอะพอสมควรกว่าจะเดินมาถึงเนินต่อไป
“เนินป่าก่อ” ที่มีชื่อนี้ก็คงเป็นเพราะเนินนี้มีแต่ต้นก่อเต็มไปหมด
เริ่มจากตรงนี้ฝนก็ทำท่าว่าจะตกแรงขึ้น แต่เพราะฝนนี่แหล่ะ ที่ทำให้เราที่กำลังเดินอยู่ เพลินเพลิดไปกับสายฝน มากกว่าเหนื่อยไปกับเส้นทางที่กำลังจะได้เผชิญต่อไป
เนินที่ 4 แห่งการวัดใจ “เนินเสือโคร่ง”
ฝนหายไปแล้วเมื่อมาถึงเนินนี้
จากตรงนี้ไปคือจุดเริ่มต้นความสวยงามของภูสอยดาว ที่บอกได้เลยว่า “ควรค่าแก่การมาพิชิต”
ช่วงที่เราเดินไปจากเนินนี่ เรามองเห็นน้ำตกบนภูเขาลูกข้างๆอยู่ประมาณ 4 สาย
ใครที่จะไปพิชิตลานสนภูสอยดาวต่อจากเรา ฝากนับหน่อยนะคะว่าเจอ 4 สายเท่าเราเปล่า ??
หลังจากเจอน้ำตกที่สวยงามแล้ว ก็เดินมาเจอป้ายแห่งความอ่อนล้า55555555
“เนินมรณะ”
เนินแห่งชื่อลือเลื่อง ในความลำบาก (และเป็นเนินที่เราอ่านรีวิวทีไรก็ทำให้เราไม่อยากมาที่นี่เลย 55555)
ทางเดินขึ้นอาจทำให้มรณะ แต่วิวข้างทางคือนิพพาน
และคนโสดแบบเรา ก็เดินมาอิจฉาต้นไม้สองต้นนี้ (ต้นไม้ที่มองทะลุไปเจอน้ำตกสายที่ 4 )
“ขนาดต้นไม้ยังมีคู่ แต่ทำไมหนูไม่มีใคร” แง่มๆ
ไปกันต่อค่ะ กับทางเดินแห่งเนินมรณะ ที่เป็นแบบนี้ตลอดเส้นทาง (นี่สินะที่ทำให้คนที่มาที่นี่ รีวิวถึงความยากลำบากในการเดินของเนินนี้)
ถ้าคุณเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว”
คุณลองมาที่นี่ดูสิ จะได้เปลี่ยนคำพูดเป็น “ยิ่งสูงยิ่งสวย”
และนี่ก็คือมุมสุดฮิตของเนินมรณะ ใครมาถึงก็ต้องแวะถ่ายรูปและนั่งดูวิวสวยๆตรงนี้
โอบกอดความสวยงามนี้ไว้
ไปค่าไป ลานสนไปทางนู้นนนนนน อีกนิดเดียวเท่านั้นจ๊ะพี่ตา
ถึงแล้วโว๊ยยยยยยยยยยย (อยากจะตะโกนดังๆตรงนั้น แต่ติดที่เกรงใจพี่ๆที่เดินมาถึงพร้อมๆกัน 555555)
ไม่หนาว ไม่เหนื่อยเลย เพราะมันสวยมากกกกกก
พอเดินมาถึงก็หามุมกางเต็นท์ ถ้าเป็นคนอื่นก็จะดูทางน้ำไหล ดูพื้นว่าเหมาะแก่การนอนไหม
แต่เรา ดูแค่ว่า ฉันตื่นมาฉันจะเจอวิวร้อยล้านไหม 5555 ก็เลยเลือกตรงนี้ (ตรงที่คนเขาไม่ค่อยเลือกกัน)
กางเสร็จแล้ว ฉันก็ได้พบกับวิวร้อยล้านจริงๆค่ะ
วันแรกที่ภูสอยดาวของฉันก็จบลงเพราะความเหนื่อยล้า(อาจเพราะไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืน)
เลยทำให้ฉันหลับใหลไปตั้งแต่เวลา 17.00 น.
คืนวันนี้ฟ้าฝนตกลงมาทั้งคืน ลมก็แรง ทำให้ฉันหลับๆตื่นๆตลอดเวลา
แต่ก็ทำให้ฉันสดชื่นได้เมื่อเปิดไปเจอวิวร้อยล้านของฉัน