เพื่อไทย ปูดโกงโครงการ 30 บาท ทำคนเดือนร้อน จี้ รบ.-สปสช.เร่งหาคลินิกทดแทน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2359020
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 กันยายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) คุณหญิง
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ พรรค พท. พร้อมด้วย นาย
เผดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม. พรรค พท. และนาย
อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรค พท. แถลงกรณีการทุจริตโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
โดยนาย
เผดิมชัยกล่าวว่า จากการติดตามการทำงานของ สปสช.ในโครงการคลินิกอบอุ่น ซึ่งมาจากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเดิมนั้น จากการตรวจสอบข้อมูลคลินิกอบอุ่น 200 คลินิก พบว่ามีการทุริตโดยการทำเอกสารเป็นเท็จเพื่อไปเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะในกลุ่มโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไขมัน เป็นต้น ซึ่งต้องมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาผล แต่ในความเป็นจริงไม่มีการให้บริการจริง ไม่มีการนำผลเลือดจริงไปตรวจ แต่มีการนำเอาข้อมูลเท็จมาเบิกจ่ายงบประมาณรวม 18 คลินิกที่ถูกตรวจสอบในปี 2562 รวม 74 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ สปสช.ได้เรียกคืน และยกเลิกการทำสัญญากับ 18 คลินิกดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า ในรอบ 10 ปี มีการเบิกงบไปแล้ว จำนวน 2,913 ล้านบาท แต่เพิ่งตรวจพบการทุจริตและเรียกเงินคืนเฉพาะในปี 2562 เท่านั้น แต่ปี 2555-2561 และในปี 2563 ยังไม่มีการตรวจสอบความผิดปกติ จึงขอให้ สปสช.ตรวจสอบและเรียกเงินที่เป็นยอดทุจริตกลับคืนมา
นาย
เผดิมชัยกล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทที่ให้ผลแล็บปลอม สปสช.ก็ไม่เคยออกมาพูดว่า จะเอาผิดกับบริษัทที่เสนอผลแล็บปลอมเพื่อมาเบิกงบแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในส่วนของกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ.ได้บรรจุเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาแล้ว โดยในวันที่ 23 กันยายนนี้ ทาง กมธ.จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สปสช. กทม.เขต 13 ซึ่งดูแลคลินิกดังกล่าวเข้ามาชี้แจงต่อไป และเมื่อได้ข้อมูลการทุจริตเรียบร้อย ตนจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปราการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบต่อไป
ด้าน คุณหญิง
สุดารัตน์กล่าวว่า เราได้ติดตามโครงการนี้มาหลายเดือนแล้ว เริ่มจากเราเห็นระบบบริหารจัดการที่ผิดเพี้ยน และผู้นำรัฐบาลไม่ได้เข้าใจในหลักการของโครงการนี้ โครงการแย่ลง ทั้งที่ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น งบประมาณมาโตที่ส่วนกลาง ไม่ได้กระจายงบลงไปที่โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล จึงเปิดช่องให้มีการทุจริตจำนวนมาก ผู้ให้บริการคือ หมอพยาบาลก็ไม่มีความสุข ผู้รับบริการก็ได้รับบริการที่ลดลง ทั้งนี้ เราพบการทุจริตในหลายรายการ เช่น การทุจริตผลแล็บ และเรื่องคลินิกชุมชน ในห้วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการทุจริตอย่างมโหฬาร ยกตัวอย่างเช่น ในพื้นที่ กทม. เราพบว่าห้วงไม่กี่ปีมีการใช้งบถึง 2,900 ล้านบาท ซึ่งลงไปอยู่ในคลินิกที่เจ้าของ หรือเครือข่ายแพทย์เพียง 3 กลุ่มเท่านั้น (เครือเพชรเกษมคลินิค เครือเรือพระร่วง และเครือข่ายของ สปสช.) คือมีการทุจริตกันตั้งแต่การคัดเลือกคลินิก โดยมีการล็อกสเปก ทั้งที่มีคลินิกที่พร้อมมากมาย แต่ไม่ได้รับการคัดเลือกเข้าไป และแม้จะมีการแฉทุจริต การตรวจสอบเรื่องทุจริตก็ยังไม่คืบหน้า และยังพ่วงเอาคลินิกที่อาจจะไม่ได้ทุจริตพ่วงเข้าไปด้วย การแก้ไขปัญหาทุจริตทำแบบลูบหน้าปะจมูก ทั้งที่ควรดำเนินการสอบสวนดำเนินคดี แล้วค่อยสั่งปิด แต่กลับสั่งปิดก่อน จะเพื่อกลบหลักฐาน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่มีการหาสถานพยาบาลมารองรับก่อนสั่งปิด แล้วไปจับผู้ป่วยยัดใส่สถานพยาบาลที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เกิดความแออัด และทำให้ประชาชนได้รับกระทบกว่า 1 ล้านคน นอกจากแออัดแล้ว ยังไกลจากบ้านมาก ผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่องเมื่อมีการย้ายสถานพยาบาลเจอปัญหามาก เพราะคิวของสถานพยาบาลที่มีอยูก็ล้นอยู่แล้ว ขณะนี้ประชาชนร้องเรียนมายังพรรค พท.จำนวนมาก เราจึงมองว่า การแก้ไขปัญหาทุจริตต้องลากมาตั้งแต่ต้นตอ
“พรรค พท.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยด่วน และต้องแก้ไขอย่างถูกทิศถูกทาง สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นี้โดยกการไม่ตรวจสอบ ไม่ดำเนินคดี และสั่งปิดอย่างเดียวไม่สามารถลากคนทุจริตออกมาลงโทษได้อย่างแท้จริง ขณะเดียวกันการรับสถานพยาบาล หรือคลินิกเฉพาะกลุ่มพวกเดียวกันเพียง 3 กลุ่ม เราเสนอว่า เรื่องค่าใช้จ่ายรายหัวควรเป็นสิทธิของประชาชน เช่น ประชาชนอยู่ในเขตบึงกุ่ม สปสช. ต้องรับสถานพยาบาลมากกว่า 1 แห่ง ในเขตนั้น และให้สิทธิในการเลือกใช้สถานพยาบาลเป็นของประชาชนผู้เป็นเจ้าของสิทธิ ไม่ใช่บังคับให้ประชาชนเลือกใช้คลินิกใดคลินิกเดียว นอกจากนี้ สปสช.ต้องสอบการทุจริตทั้งระดับคลินิก และระดับใน สปสช.ด้วย พร้อมทั้งเร่งแก้ปัญหาให้ประชาชนกว่า 8 แสนคน โดยเร่งหาสถานพยาบาลที่มีคุณภาพมาเพิ่มเติม” คุณหญิง
สุดารัตน์กล่าว
‘สุทธวรรณ’ จี้ ‘กรมศิลป์’ ตอบ ‘อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ’ หายไปไหน?
https://www.matichon.co.th/politics/news_2359160
‘สุทธวรรณ’ จี้ ‘กรมศิลป์’ ตอบ ‘อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ’ หายไปไหน?
เมื่อวันที่ 21 กันยายน น.ส.
สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีที่ตัวแทนจากกรมศิลปากรเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ในความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ต่อผู้ชุมนุมที่ปักหมุดคณะราษฎรที่ 2 บริเวณลานปูนที่ท้องสนามหลวง ว่า ตนอยากตั้งคำถามว่า สนามหลวงหรือทุ่งพระเมรุ ตอนที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในปี พ.ศ. 2520 อัตลักษณ์ ที่ระบุในเวลานั้นคือ ลานสนามหญ้า การที่ กทม. มาปรับปรุงเป็นลานคอนกรีตได้ขออนุญาตจากกรมศิลปากรหรือไม่ และกรมศิลปากรได้เข้ามากำกับการเทปูน ทำลานคอนกรีตหรือไม่ เรื่องนี้ควรเปิดเผยรายละเอียดการขออนุญาต และรายงานการตรวจสอบ เพื่อให้มั่นใจว่า กทม. ไม่ได้กระทำผิด พ.ร.บ.โบราณสถาน เสียเอง แต่ถ้า กทม. ไม่ได้ขออนุญาต นั่นก็แสดงว่า ลานคอนกรีตที่สนามหลวง ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่แรก แล้วจะมาเอาผิดคนที่เจาะพื้นปูน ที่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.โบราสถานได้อย่างไร
น.ส.
สุทธวรรณ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วหลายแห่ง ถูกทำลายและสูญหาย กรมศิลปากรต้องชี้แจงให้สาธารณชนทราบด้วย อย่างเช่น อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่เคยอยู่บริเวณหลักสี่ ซึ่งอนุสาวรีย์นี้ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานชัดเจน การปล่อยให้ใครมารื้อถอนไป และหายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้ เป็นการทำผิดตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน และอนุสาวรีย์นี้ ก็มีความหมาย และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของชาติ
“เรื่องนี้เงียบมานานมาก ทางกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมต้องมีคำตอบว่า มีความคืบหน้าไปอย่างไร ใครเป็นผู้กระทำ และอนุสาวรีย์ที่มีขนาดใหญ่ขนาดนั้น หายไปได้อย่างไร หากกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมไม่ทำอะไรเลย ก็อาจเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้” น.ส.
สุทธวรรณ กล่าว
เดือดแนวร่วม กปปส. รุมบูลลี่ เหยียดผิว ซัด"น้ำ" มิสแกรนด์คนใหม่ชังชาติ
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_4954118
เดือดแนวร่วม กปปส. รุมบูลลี่ เหยียดผิว ซัด "น้ำ" มิสแกรนด์คนใหม่ชังชาติ
จากสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุเป็นเหตุให้มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม รวมไปถึงในวงการนางงามด้วยแต่ที่จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษก็ดูเหมือนจะเป็นเวที มิส แกรนด์ ไทยแลนด์ 2020 ที่เพิ่งได้นางงามคนใหม่
น้ำ พัชรพร จันทรประดิษฐ์ ตัวแทนสาวงามจากจังหวัดระนอง วัย 22 ปี โดยเธอได้ตอบคำถามรอบ 5 คน สุดท้ายได้โดดเด่นมากจนคว้าใจคณะกรรมการมาได้
โดยมีคำถามสำคัญที่เป็นชนวนของดราม่าว่า
"จากสถานการณ์ของผู้ชุมนุมขณะนี้ส่อเค้าความรุนแรงยิ่งขึ้นหากคุณมีโอกาสได้พูดคุยอยากจะพูดกับฝ่ายใด ระหว่างผู้ชุมนุม หรือรัฐบาล และพูดอะไรเพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้น"
หลังจากนั้น
น้ำ พัชรพร ก็ได้ตอบคำถามอย่างฉะฉานพร้อมแสดงทัศนคติทางการเมืองว่า
"จากใจนะคะ ขอเลือกฝ่ายชุมนุมค่ะ เพราะว่าเรามีสิทธิ์มีเสียงในการแสดงความคิดเห็น และเราอยากจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประเทศชาติของเราค่ะ มากกว่านั้น อยากจะบอกรัฐบาลด้วยนะคะว่า If you are calling this country a Thailand, we need real democracy. And moreover, we need you to get out of the country ! (ถ้าคุณเรียกประเทศนี้ว่าประเทศไทย เราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง และยิ่งไปกว่านั้น เราต้องการให้พวกคุณออกไปจากประเทศนี้ค่ะ) "
ด้วยความสวยและรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงไหวพริบในการตอบคำถาม ทำให้เธอได้ใจคณะกรรมการและแฟนๆนางงามไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ทว่าคงไม่ทั้งหมดเมื่อเรามีคนรัก ก็ต้องมีคนเกลียดเป็นธรรมดา อาจเป็นเพราะคำตอบของเธอในรอบ 5 คนสุดท้าย ทำให้แฟนคลับรัฐบาลรุ่นใหญ่ กลุ่ม กปปส.ไม่พอใจ ต่างตั้งโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ รูปร่าง หน้าตา และสีผิวของเธอ ในแง่ลบ
JJNY : 6in1 พท.ปูดโกง30บาท/จี้กรมศิลป์ตอบ/กปปส.รุมบูลลี่"น้ำ"/ตลาดนํ้าเมาวูบ/พูลรับประกันแท็กซี่ส่อแป้ก/สต๊อกซีพีโอท่วม
https://www.matichon.co.th/politics/news_2359020
โดยนายเผดิมชัยกล่าวว่า จากการติดตามการทำงานของ สปสช.ในโครงการคลินิกอบอุ่น ซึ่งมาจากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเดิมนั้น จากการตรวจสอบข้อมูลคลินิกอบอุ่น 200 คลินิก พบว่ามีการทุริตโดยการทำเอกสารเป็นเท็จเพื่อไปเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะในกลุ่มโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไขมัน เป็นต้น ซึ่งต้องมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาผล แต่ในความเป็นจริงไม่มีการให้บริการจริง ไม่มีการนำผลเลือดจริงไปตรวจ แต่มีการนำเอาข้อมูลเท็จมาเบิกจ่ายงบประมาณรวม 18 คลินิกที่ถูกตรวจสอบในปี 2562 รวม 74 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ สปสช.ได้เรียกคืน และยกเลิกการทำสัญญากับ 18 คลินิกดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า ในรอบ 10 ปี มีการเบิกงบไปแล้ว จำนวน 2,913 ล้านบาท แต่เพิ่งตรวจพบการทุจริตและเรียกเงินคืนเฉพาะในปี 2562 เท่านั้น แต่ปี 2555-2561 และในปี 2563 ยังไม่มีการตรวจสอบความผิดปกติ จึงขอให้ สปสช.ตรวจสอบและเรียกเงินที่เป็นยอดทุจริตกลับคืนมา
นายเผดิมชัยกล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทที่ให้ผลแล็บปลอม สปสช.ก็ไม่เคยออกมาพูดว่า จะเอาผิดกับบริษัทที่เสนอผลแล็บปลอมเพื่อมาเบิกงบแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในส่วนของกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ.ได้บรรจุเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาแล้ว โดยในวันที่ 23 กันยายนนี้ ทาง กมธ.จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สปสช. กทม.เขต 13 ซึ่งดูแลคลินิกดังกล่าวเข้ามาชี้แจงต่อไป และเมื่อได้ข้อมูลการทุจริตเรียบร้อย ตนจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปราการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบต่อไป
ด้าน คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า เราได้ติดตามโครงการนี้มาหลายเดือนแล้ว เริ่มจากเราเห็นระบบบริหารจัดการที่ผิดเพี้ยน และผู้นำรัฐบาลไม่ได้เข้าใจในหลักการของโครงการนี้ โครงการแย่ลง ทั้งที่ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น งบประมาณมาโตที่ส่วนกลาง ไม่ได้กระจายงบลงไปที่โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล จึงเปิดช่องให้มีการทุจริตจำนวนมาก ผู้ให้บริการคือ หมอพยาบาลก็ไม่มีความสุข ผู้รับบริการก็ได้รับบริการที่ลดลง ทั้งนี้ เราพบการทุจริตในหลายรายการ เช่น การทุจริตผลแล็บ และเรื่องคลินิกชุมชน ในห้วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการทุจริตอย่างมโหฬาร ยกตัวอย่างเช่น ในพื้นที่ กทม. เราพบว่าห้วงไม่กี่ปีมีการใช้งบถึง 2,900 ล้านบาท ซึ่งลงไปอยู่ในคลินิกที่เจ้าของ หรือเครือข่ายแพทย์เพียง 3 กลุ่มเท่านั้น (เครือเพชรเกษมคลินิค เครือเรือพระร่วง และเครือข่ายของ สปสช.) คือมีการทุจริตกันตั้งแต่การคัดเลือกคลินิก โดยมีการล็อกสเปก ทั้งที่มีคลินิกที่พร้อมมากมาย แต่ไม่ได้รับการคัดเลือกเข้าไป และแม้จะมีการแฉทุจริต การตรวจสอบเรื่องทุจริตก็ยังไม่คืบหน้า และยังพ่วงเอาคลินิกที่อาจจะไม่ได้ทุจริตพ่วงเข้าไปด้วย การแก้ไขปัญหาทุจริตทำแบบลูบหน้าปะจมูก ทั้งที่ควรดำเนินการสอบสวนดำเนินคดี แล้วค่อยสั่งปิด แต่กลับสั่งปิดก่อน จะเพื่อกลบหลักฐาน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่มีการหาสถานพยาบาลมารองรับก่อนสั่งปิด แล้วไปจับผู้ป่วยยัดใส่สถานพยาบาลที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เกิดความแออัด และทำให้ประชาชนได้รับกระทบกว่า 1 ล้านคน นอกจากแออัดแล้ว ยังไกลจากบ้านมาก ผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่องเมื่อมีการย้ายสถานพยาบาลเจอปัญหามาก เพราะคิวของสถานพยาบาลที่มีอยูก็ล้นอยู่แล้ว ขณะนี้ประชาชนร้องเรียนมายังพรรค พท.จำนวนมาก เราจึงมองว่า การแก้ไขปัญหาทุจริตต้องลากมาตั้งแต่ต้นตอ
“พรรค พท.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยด่วน และต้องแก้ไขอย่างถูกทิศถูกทาง สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นี้โดยกการไม่ตรวจสอบ ไม่ดำเนินคดี และสั่งปิดอย่างเดียวไม่สามารถลากคนทุจริตออกมาลงโทษได้อย่างแท้จริง ขณะเดียวกันการรับสถานพยาบาล หรือคลินิกเฉพาะกลุ่มพวกเดียวกันเพียง 3 กลุ่ม เราเสนอว่า เรื่องค่าใช้จ่ายรายหัวควรเป็นสิทธิของประชาชน เช่น ประชาชนอยู่ในเขตบึงกุ่ม สปสช. ต้องรับสถานพยาบาลมากกว่า 1 แห่ง ในเขตนั้น และให้สิทธิในการเลือกใช้สถานพยาบาลเป็นของประชาชนผู้เป็นเจ้าของสิทธิ ไม่ใช่บังคับให้ประชาชนเลือกใช้คลินิกใดคลินิกเดียว นอกจากนี้ สปสช.ต้องสอบการทุจริตทั้งระดับคลินิก และระดับใน สปสช.ด้วย พร้อมทั้งเร่งแก้ปัญหาให้ประชาชนกว่า 8 แสนคน โดยเร่งหาสถานพยาบาลที่มีคุณภาพมาเพิ่มเติม” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
‘สุทธวรรณ’ จี้ ‘กรมศิลป์’ ตอบ ‘อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ’ หายไปไหน?
https://www.matichon.co.th/politics/news_2359160
‘สุทธวรรณ’ จี้ ‘กรมศิลป์’ ตอบ ‘อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ’ หายไปไหน?
เมื่อวันที่ 21 กันยายน น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีที่ตัวแทนจากกรมศิลปากรเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ในความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ต่อผู้ชุมนุมที่ปักหมุดคณะราษฎรที่ 2 บริเวณลานปูนที่ท้องสนามหลวง ว่า ตนอยากตั้งคำถามว่า สนามหลวงหรือทุ่งพระเมรุ ตอนที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในปี พ.ศ. 2520 อัตลักษณ์ ที่ระบุในเวลานั้นคือ ลานสนามหญ้า การที่ กทม. มาปรับปรุงเป็นลานคอนกรีตได้ขออนุญาตจากกรมศิลปากรหรือไม่ และกรมศิลปากรได้เข้ามากำกับการเทปูน ทำลานคอนกรีตหรือไม่ เรื่องนี้ควรเปิดเผยรายละเอียดการขออนุญาต และรายงานการตรวจสอบ เพื่อให้มั่นใจว่า กทม. ไม่ได้กระทำผิด พ.ร.บ.โบราณสถาน เสียเอง แต่ถ้า กทม. ไม่ได้ขออนุญาต นั่นก็แสดงว่า ลานคอนกรีตที่สนามหลวง ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่แรก แล้วจะมาเอาผิดคนที่เจาะพื้นปูน ที่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.โบราสถานได้อย่างไร
น.ส.สุทธวรรณ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วหลายแห่ง ถูกทำลายและสูญหาย กรมศิลปากรต้องชี้แจงให้สาธารณชนทราบด้วย อย่างเช่น อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่เคยอยู่บริเวณหลักสี่ ซึ่งอนุสาวรีย์นี้ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานชัดเจน การปล่อยให้ใครมารื้อถอนไป และหายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้ เป็นการทำผิดตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน และอนุสาวรีย์นี้ ก็มีความหมาย และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของชาติ
“เรื่องนี้เงียบมานานมาก ทางกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมต้องมีคำตอบว่า มีความคืบหน้าไปอย่างไร ใครเป็นผู้กระทำ และอนุสาวรีย์ที่มีขนาดใหญ่ขนาดนั้น หายไปได้อย่างไร หากกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมไม่ทำอะไรเลย ก็อาจเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้” น.ส. สุทธวรรณ กล่าว
เดือดแนวร่วม กปปส. รุมบูลลี่ เหยียดผิว ซัด"น้ำ" มิสแกรนด์คนใหม่ชังชาติ
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_4954118
เดือดแนวร่วม กปปส. รุมบูลลี่ เหยียดผิว ซัด "น้ำ" มิสแกรนด์คนใหม่ชังชาติ
จากสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุเป็นเหตุให้มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม รวมไปถึงในวงการนางงามด้วยแต่ที่จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษก็ดูเหมือนจะเป็นเวที มิส แกรนด์ ไทยแลนด์ 2020 ที่เพิ่งได้นางงามคนใหม่ น้ำ พัชรพร จันทรประดิษฐ์ ตัวแทนสาวงามจากจังหวัดระนอง วัย 22 ปี โดยเธอได้ตอบคำถามรอบ 5 คน สุดท้ายได้โดดเด่นมากจนคว้าใจคณะกรรมการมาได้
โดยมีคำถามสำคัญที่เป็นชนวนของดราม่าว่า "จากสถานการณ์ของผู้ชุมนุมขณะนี้ส่อเค้าความรุนแรงยิ่งขึ้นหากคุณมีโอกาสได้พูดคุยอยากจะพูดกับฝ่ายใด ระหว่างผู้ชุมนุม หรือรัฐบาล และพูดอะไรเพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้น"
หลังจากนั้น น้ำ พัชรพร ก็ได้ตอบคำถามอย่างฉะฉานพร้อมแสดงทัศนคติทางการเมืองว่า "จากใจนะคะ ขอเลือกฝ่ายชุมนุมค่ะ เพราะว่าเรามีสิทธิ์มีเสียงในการแสดงความคิดเห็น และเราอยากจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประเทศชาติของเราค่ะ มากกว่านั้น อยากจะบอกรัฐบาลด้วยนะคะว่า If you are calling this country a Thailand, we need real democracy. And moreover, we need you to get out of the country ! (ถ้าคุณเรียกประเทศนี้ว่าประเทศไทย เราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง และยิ่งไปกว่านั้น เราต้องการให้พวกคุณออกไปจากประเทศนี้ค่ะ) "
ด้วยความสวยและรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงไหวพริบในการตอบคำถาม ทำให้เธอได้ใจคณะกรรมการและแฟนๆนางงามไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ทว่าคงไม่ทั้งหมดเมื่อเรามีคนรัก ก็ต้องมีคนเกลียดเป็นธรรมดา อาจเป็นเพราะคำตอบของเธอในรอบ 5 คนสุดท้าย ทำให้แฟนคลับรัฐบาลรุ่นใหญ่ กลุ่ม กปปส.ไม่พอใจ ต่างตั้งโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ รูปร่าง หน้าตา และสีผิวของเธอ ในแง่ลบ