บทความตามใจฉัน “เมื่อเริ่มอ่าน E-book: 1 Year Later”

เมื่อเดือนมกราคม 2019 ผู้เขียนเคยเขียนบทความเกี่ยวกับประสบการณ์การอ่าน E-book ไว้หลังจากทดลองอ่านมาได้ประมาณ 3 เดือน 
ตาม Link ข้างล่าง
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=uptomejournal&set=a.363300900916920
 
เดือนกันยายน 2020 นี้จึงถือได้ว่าครบรอบ 1 ปีที่ผู้เขียนได้ทดลองอ่านหนังสือแบบ E-book จึงเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อเพิ่มเติมว่าจากบทความก่อนหน้านี้ว่าผู้เขียนรู้สึกอย่างไรและได้พบข้อสังเกตอะไรเพิ่มเติมบ้างในการอ่านหนังสือแบบ E-book โดยแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อหลัก ๆ ดังนี้
- ผลกระทบต่อผู้อ่าน
- ผลกระทบต่อสำนักพิมพ์หรือผู้ขาย
- คาดการณ์ผลกระทบต่อวงการหนังสือในอนาคต
 

 
ผลกระทบต่อผู้อ่าน
สิ่งที่รู้สึกได้หลังอ่าน E-book มาครบ 1 ปีพบว่าตนเองเลิกอ่านหนังสือแบบกระดาษมาอ่านแบบ E-book มากขึ้น เพราะ E-book ตอบโจทย์ความสะดวกสบายดังต่อไปนี้
 
- การจัดเก็บและพกพา 
เนื่องจากหนังสือกลายเป็นข้อมูล Digital ไปแล้วทำให้ไม่ต้องวุ่นวายในการจัดเก็บ, ดูแลรักษาและทำความสะอาดอีกต่อไป แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เหมือนจะไม่มีอะไร
แต่ในช่วงที่ผ่านมานั้นผู้เขียนได้ซื้อ E-book ไปเป็นจำนวนหลายร้อยเล่มซึ่งปกติแล้วหนังสือจำนวนขนาดนี้จะต้องวุ่นวายในการจัดเก็บและดูแลรักษาหนังสืออย่างมากแต่คราวนี้กลับไม่ต้องวุ่นวายหรือกังวลอะไรเลย นี่เป็นข้อดีมากสำหรับนักอ่านที่เป็นแนว “แค่อยากอ่านแต่ไม่ได้อยากสะสม” อีกทั้งการเอากลับมาอ่านใหม่อีกครั้งยังทำได้ง่ายเพราะมีระบบที่สามารถค้นหาหนังสือด้วยชื่อหรือข้อมูลต่าง  ๆ ได้
 

 
- อ่านง่ายและสบายตา 

E-book ที่เป็นไฟล์ Epub นั้นสามารถขยายขนาดตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้นได้ นี่เป็นข้อดีที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นข้อได้เปรียบที่สุดของ E-book เพราะนี่ช่วยให้การอ่านสะดวกสบายขึ้น, อ่านได้เยอะและต่อเนื่องขึ้นมาก นี่ยังไม่รวมถึงการที่สามารถปรับให้หน้าหนังสือเป็นพื้นดำและตัวอักษรเป็นสีขาวซึ่งช่วยให้สามารถอ่านเป็นระยะเวลานาน ๆ ได้สบายตาขึ้น ทั้งสองฟีเจอร์นี้เป็นสิ่งที่หนังสือแบบรูปเล่มไม่สามารถให้ได้
 

 
- มีหนังสือพร้อมให้ซื้ออ่านเสมอ 

จากประสบการณ์การอ่านหนังสือที่ผ่านมาพบว่าหนังสือที่ติดตามอ่านนั้นบางครั้งก็ไม่ได้วางขายพร้อมกันทุกร้านเสมอไปแม้ว่าจะเป็นร้านเครือข่ายขนาดใหญ่ก็ตาม ทำให้การตระเวนตามร้านต่าง ๆ เพื่อหาหนังสือที่ต้องการนั้นเป็นความลำบากที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การสั่ง online เองก็ไม่ช่วยลดปัญหานี้ได้มากนักเพราะไม่ใช่ทุกร้านที่จะมีของ แม้แต่สำนักพิมพ์เองบางครั้งก็ไม่มีขายเนื่องจากพิมพ์ออกมาน้อยหรือเป็นหนังสือที่ออกมานานแล้วและไม่มีการพิมพ์เพิ่ม 
 
แต่ E-book ไม่มีปัญหาแบบนี้ ตราบใดที่หนังสือยังไม่ถูกถอดออกจากหน้าร้าน หนังสือก็จะอยู่ตรงนั้นพร้อมให้ซื้อไปอ่านได้เสมอ นี่ยังไม่รวมถึงความสะดวกสบายที่ซื้อแล้วได้อ่านทันทีอีกด้วย อีกจุดหนึ่งที่นักอ่านหลาย ๆ คนต้องเคยเจอคือการเผลอซื้อซ้ำเพราะจำไม่ได้ว่าซื้อไปรึยัง การซื้อหนังสือแบบ E-book ช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างเด็ดขาดเพราะระบบจะแจ้งว่าเล่มนี้ซื้อไปแล้วจึงไม่มีทางที่จะซื้อซ้ำได้ แต่ปัญหาการซื้อข้ามเล่มอาจจะยังเจอได้อยู่บ้าง


 
- ลดความเจ็บปวดจากการที่หนังสือถูกลอยแพ
ลอยแพเป็นศัพท์ที่ใช้พูดถึงหนังสือที่เลิกพิมพ์หรือพิมพ์ไม่จบด้วยสาเหตุต่าง ๆ เช่น สำนักพิมพ์ปิดตัว, ผู้เขียนย้ายสังกัด ป่วยจนหยุดเขียนหรือเสียชีวิต เป็นต้น หนังสือเหล่านี้มักเป็นสิ่งแสลงใจผู้อ่านอย่างมากเนื่องจากขายต่อได้ลำบาก เก็บไว้ก็เปลื้องที่แถมไม่มีโอกาสได้อ่านต่อจนจบ แต่เมื่อหนังสือที่โดนลอยแพเป็น E-book เพียงแค่ลบออกจากบัญชีก็ไม่เหลืออะไรให้กวนใจอีกต่อไป
 
ในรูปคือนิยายเรื่อง ชานะ นักรบเนตรอัคคี ที่ออกมาเพียง 15 เล่มก็ยุติการพิมพ์เพราะสำนักพิมพ์ปิดตัว จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีสำนักพิมพ์ใดซื้อลิขสิทธิ์มาพิมพ์ใหม่ 
 

 
ผลกระทบต่อสำนักพิมพ์หรือผู้ขาย
เมื่อมองจากพฤติกรรมการอ่านของตนเอง มีหลายพฤติกรรมที่จะส่งผลกระทบต่อสำนักพิมพ์ดังต่อไปนี้
 
- เกิดการชะลอหรือเลิกซื้อหนังสือแบบกระดาษ 

เมื่ออ่าน E-book ไปพักใหญ่ ๆ ผู้เขียนก็เริ่มหยุดซื้อหนังสือเล่มเพราะไม่อยากวุ่นวายในการเก็บรักษาหนังสือรวมถึงเกิดความคิดกับหนังสือกระดาษในทำนองที่ว่า “ไว้ออก E-book ก่อนค่อยซื้อ” ซึ่งความคิดดังกล่าวทำให้ผู้เขียนเองเลิกซื้อหนังสือที่ติดตามอ่านอยู่หลายเรื่อง นี่อาจทำให้ยอดขายหนังสือรูปเล่มของแต่ละสำนักพิมพ์ได้รับผลกระทบในอนาคตอย่างแน่นอน
 

 
- วิธีวัดผลตอบรับและความนิยมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 
จากการที่ E-book สามารถซื้อได้ทุกที่ทุกเวลาและมีสินค้าเสมอทำให้ผู้เขียนเกิดพฤติกรรมที่ชื่อการดองหนังสือแบบใหม่ขึ้นมา 
ตามปกติการดองหนังสือแบบธรรมดาทั่วไปจะพบเห็นได้ตามงานหนังสือที่ผู้อ่านจะแห่กันไปซื้อหนังสือที่ตนเองต้องการมาเก็บเพื่อไว้อ่านตอนที่ต้องการ ซึ่งวิธีนี้สำนักพิมพ์ก็ยังขายหนังสือได้อยู่และสามารถวัดความนิยมของหนังสือได้จากยอดขายโดยเฉพาะเมื่อแรกวางตลาด 
 
แต่เมื่อวางขายแบบ E-book ผู้อ่านสามารถเลือกที่จะยังไม่ซื้อหนังสือทันทีที่ออกวางจำหน่ายเพราะไม่จำเป็นต้องรีบซื้ออีกต่อไปไว้อยากอ่านเมื่อไหร่ค่อยซื้อ นี่จะทำให้การประเมินยอดขายและความนิยมของหนังสือแต่ละเรื่องไม่สามารถใช้วิธีเดิมได้อีกต่อไป
 

 
- ยังด้อยในศาสตร์แห่ง Sample 

การขายหนังสือแบบ E-book นั้นมีฟีเจอร์หนึ่งที่เป็นจุดเด่นมากนั้นคือ “ตัวอย่าง” หรือ “Sample” ผู้ซื้อสามารถเข้าไปอ่านตัวอย่างก่อนได้ว่าหนังสือที่สนใจนั้นเป็นอย่างไรก่อนตัดสินใจซื้อ หลายครั้งผู้เขียนพบว่าตัวอย่างหนังสือนั้นมีหน้าที่อีกอย่างคือเป็นเหยื่อล่อให้ผู้อ่านติดเบ็ดจนตัดสินใจซื้อหนังสือในที่สุด ซึ่งผู้เขียนเองโดนกับตัวอยู่หลายเล่มไม่น้อย ปัญหาคือตัวอย่างหนังสือนั้นต้องให้ขนาดไหนถึงจะเหมาะสมและทำให้ผู้อ่านถึงจะตัดสินใจซื้อ 
 
ผู้เขียนพบว่าบางสำนักพิมพ์รวมถึงผู้ขายอิสระเองยังด้อยในศาสตร์แห่ง Sample นี้อยู่มาก ตัวอย่างที่เคยเจอคือผลงานของนักเขียนการ์ตูนไทยอิสระท่านหนึ่ง เมื่ออ่านตัวอย่างจบแล้วนั้นผู้เขียนรู้ว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรแต่ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่จะนำเสนอจริง ๆ เป็นอย่างไรและจะสนุกไหมจึงยังไม่ซื้อ ต่อมามี Facebook เพจดังแห่งหนึ่งพูดถึงการ์ตูนเรื่องนี้และเอาตัวอย่างที่น่าสนใจมาโพสจึงกลับไปโหลดมาอ่านอีกครั้งและพบว่าตัวอย่างมีการ update เพิ่มโดยเล่าเรื่องราวครบถ้วนมากพอจนผู้เขียนเข้าใจคอนเซ็ปและแนวเรื่องจนถึงระดับที่ตัดสินใจซื้อได้ในที่สุด 
ทักษะการประเมินว่าควรให้ตัวอย่างแก่คนผู้ซื้ออ่านเท่าไหร่นั้นจึงมีส่วนสำคัญมากในการขาย E-book ซึ่งทั้งสำนักพิมพ์และผู้ขายอิสระจำเป็นต้องพัฒนาและมีไว้ในอนาคต
 

 
- การนำผลงานเก่ามาเผยแพร่อีกครั้ง
ในช่วงปี 2020 นี้ผู้เขียนสังเกตว่าหลาย ๆ สำนักพิมพ์มีการนำเรื่องเก่า ๆ ที่เคยเผยแพร่เมื่อนานมาแล้วมาขายใหม่อีกครั้งในรูปแบบ E-book โดยบางเล่มนั้นถูกพิมพ์ขายครั้งแรกเมื่อปี 2542 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้วเลยทีเดียว นี่ล้วนมีผลดีต่อทั้งสำนักพิมพ์และนักอ่าน โดยสำนักพิมพ์สามารถนำเรื่องเก่า ๆ หรือเรื่องที่ไม่คุ้มค่าที่จะพิมพ์เป็นฉบับรูปเล่มมาขายอีกครั้งสร้างรายรับได้โดยไม่ต้องลงทุนด้านการพิมพ์และไม่ต้องกังวลเรื่องการบริหารจัดการสินค้า ส่วนนักอ่านทั้งเก่าและใหม่เองก็ได้ประโยชน์โดยนักอ่านเก่าสามารถอ่านเรื่องที่ตนสะสมอยู่ได้อีกครั้งโดยไม่ต้องค้นออกจากตู้หรือแกะออกจากถุงพลาสติกที่ห่อหนังสือเก็บไว้ ส่วนนักอ่านใหม่ก็มีโอกาสที่จะได้อ่านเรื่องเก่า ๆ ที่หาอ่านได้ยากในปัจจุบัน
 

 
คาดการณ์ผลกระทบต่อวงการหนังสือในอนาคต
 
ผู้เขียนเคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ E-book ไปแล้วว่า ในอนาคตหนังสือกระดาษจะกลายเป็นของสะสมและจำนวนนักเขียนอิสระจะมีเพิ่มขึ้นเนื่องจากช่องทางขายที่สะดวกสบายและเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนค่าพิมพ์หนังสือแบบรูปเล่ม แต่เร็ว ๆ นี้ผู้เขียนพึ่งเจอความเป็นไปได้ใหม่ที่อาจจะมีผลกระทบต่อวงการหนังสือในอนาคต นั้นคือ การมาของผู้แข่งขันหน้าใหม่ในตลาดหนังสือ
 

 
เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้บังเอิญเจอหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่งบนร้านขาย E-book การ์ตูนเรื่องนี้น่าจะพิมพ์ขายครั้งแรกเมื่อปลายยุค 2530s และเป็นการ์ตูนอมตะระดับขึ้นหิ้ง จุดที่น่าสังเกตคือมุมขวาบนของปกนั้นเขียนชื่อของสำนักพิมพ์ไว้เป็นชื่อเดียวกับร้าน E-book ซึ่งน่าสนใจมาก
เพราะนี่ได้ชี้ให้เห็นได้ว่าเหล่าแพลตฟอร์มผู้ให้บริการขาย E-book นั้นสามารถกลายมาเป็นผู้ขาย E-book แข่งกับสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ได้ในอนาคตโดยมีข้อได้เปรียบคือไม่ต้องเสียส่วนแบ่งการขายให้กับร้านค้าซึ่งเป็นเคสที่คล้าย ๆ กับร้านสะดวกซื้อชื่อดัง โดยในตอนนี้คาดว่าเป็นช่วงที่ผู้ให้บริการขาย E-book เจ้านี้กำลังทดลองตลาดหรืออะไรหลาย ๆ อย่างในการขาย E-book แบรน์ของตนเอง 
 
ทั้งหมดนี้ทำให้อนาคตของวงการหนังสือในอีกสัก 5-10 ปีข้างหน้าน่าสนใจอย่างยิ่ง ร้านหนังสือจะเป็นอย่างไร สำนักพิมพ์เจ้าตลาดในอนาคตจะกลายเป็นสำนักพิมพ์ที่ไม่เคยพิมพ์หนังสือเลยสักเล่มหรือไม่ น่าจับตามองมากว่าวงการนี้จะไปในทิศทางใด
 

 
 
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน” 
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่