ถุงมือเรื่องสั้นเรื่องที่ 3ครับ ^^
เรื่องความรักของเพื่อนชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งมีท่าทีชอบพอกันมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ พอเรียนจบต่างคนต่างก็แยกกันไป ดำเนินตามเส้นทางชีวิตของใครของมัน โดยมิทันได้บอกความในใจต่อกัน แล้ววันหนึ่ง ทั้งคู่ ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง...
กลับมา เพื่อเติมเต็มความรัก...แต่จะสำเร็จ สมหวังหรือไม่ ???
ตามไปลุ้นกันสิครับแบบนี้ !!
บอก จขถม.ไว้ก่อนเลย ถ้าหักมุมตอนจบให้แห้ว ชั้นจะฆ่าแกรรร !!! 


เรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติมิได้เกิดขึ้นจริง ตัวละครและเหตุการณ์ก็เป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น
ชาญและบัวยิ้มให้กันด้วยความดีใจ ร่วมแปดปีแล้วที่ไม่เคยได้เจอกัน งานแต่งงานของเพื่อนร่วมชั้นเรียนมัธยมทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสกลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจทั้งสองเต้นแรงและปลื้มจนแทบลืมเพื่อน ๆ ในงานฉลองสมรสไป
"บัว เราชาญไง จำเราได้หรือเปล่าครับ" เขาทักหญิงสาวร่างสันทัดผมยาวสลวยในชุดราตรี และชื่นชมกับใบหน้าหวานชวนมองอย่างตื่นเต้นจนแทบเก็บซ่อนไว้ไม่ได้
“ชาญ เธอเปลี่ยนไปมากเลย แต่ยังไงเราก็จำเธอได้เสมอ" บัวหลุดปากทันทีตั้งแต่พบหน้ากัน
"ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ไหนครับ เราหมายถึงเป็นหมอโรงพยาบาลไหนอะ" ชาญถามอย่างเคอะเขินแล้วมองสบดวงตาสุกใสคู่นั้น เขารำลึกถึงวันเก่า ๆ ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ทั้งคู่เคยเป็นคู่จิ้นที่เพื่อน ๆ ชอบล้อ แต่เขาทิ้งโอกาสดี ๆ ไปเพราะความอายจึงไม่กล้าสารภาพรักกับหญิงสาว
"ตอนนี้เราเป็นหมออยู่ต่างจังหวัดแต่กลับมาเรียนต่อ แล้วเธอล่ะชาญ" บัวมองใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาเหมือนรูปปั้น ชาญสูงโปร่ง ผิวขาวผ่อง ลักยิ้มเล็ก ๆ ที่แก้มซ้ายฝังอยู่ในความทรงจำของบัวมาโดยตลอด
"เรากำลังเรียนอยู่ที่สหรัฐ ต่อเอกอยู่ครับ พอดีปิดเทอมกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ เดือนหน้าก็ต้องบินกลับแล้ว" ชาญพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ อย่างสุภาพ บัวสังเกตได้ว่าแก้มของเขานั้นแดงเรื่อขึ้นมา เธอเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย หัวใจเต้นตูมตามมือไม้สั่นใจหวิว ๆ แต่เครื่องสำอางปกปิดใบหน้าที่ร้อนผ่าวนั้นไว้
"ดีใจจัง เราไม่ได้เจอกันนานกี่ปีแล้วนะชาญ" ความคิดถึงที่แอบซ่อนไว้ผุดภาพในอดีตซึ้ง ๆ มากมาย เธอเองก็เคยแอบชอบเขาอย่างมากเช่นกัน แต่โอกาสที่จะบอกรักผ่านไปอย่างน่าเสียดายเมื่อต่างคนต่างแยกย้ายกันไปศึกษาในมหาวิทยาลัย
"เอ่อ! เจ็ดแปดปีแล้วนะครับ" ชาญยิ้มจ้องตา ต่างคนต่างสำรวจใบหน้าท่าทางของอีกฝ่าย ในชั่วขณะต่างรู้สึกได้ว่านี่เป็นห้วงเวลาอันแสนหวานชื่น หัวใจพองโตเหมือนว่าโลกทั้งใบมีกันเพียงสองคนเท่านั้น
"ชาญ เธอไม่ต้องพูดครับกับเราก็ได้ ดูมันห่างเหินนะ" บัวกระซิบเบา ๆ ด้วยความเขินอาย
"ครับ เอ้ย! ได้บัว" แล้วทั้งคู่ต่างหัวเราะออกมาด้วยความสุขใจ
"เธอเรียนอะไรต่อล่ะ เราจำได้ว่าเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์นี่"
"เราเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล จบมาก็เป็นอาจารย์ต่อ มหาลัยที่เราเรียนอยู่ฟลอริดา ได้ทุนรัฐบาลไปเรียน ปีหน้าเราก็จบแล้ว" ชาญตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีเสน่ห์ชวนหลงใหล
"เราก็มาต่อเฉพาะทางอยู่เหมือนกัน หมอดมยา ไม่ใช่หมอยาดมนะ" เธอใส่มุกขำ ๆ แววตาท่าทางร่าเริงเหมือนเมื่อยามเป็นเด็กมัธยม
"จบแล้วบัวต้องกลับไปอยู่ต่างจังหวัดเหมือนเดิมเหรอ" เขาเคยได้ยินข่าวคราวของบัวจากเพื่อน ๆ เธอต้องอดหลับอดนอนทำงานอย่างหนักเพราะสภาพขาดแคลนแพทย์
"ใช่ หลังจบเราต้องไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลอำเภอ" ชั่วขณะสีหน้าของเธอมีแววแสดงออกเหมือนว่าเหนื่อยกับงานหรือสถานที่ซึ่งต้องกลับไปทำงาน
"มีความสุขกับงานไหม เราว่าเธอได้ทำบุญเยอะนะ เรายังรู้สึกปลื้มแทนเลย" เขาสังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อยนั้น จึงพูดเฉไฉให้กำลังใจ
"ก็ดีนะ แต่เรารู้สึกว่ามันไกลแล้วงานก็หนักมาก ๆ ด้วย แถมไม่ค่อยมีโอกาสได้พบกับเพื่อน ๆ แต่เราจะพยายามต่อไป มันเป็นหน้าที่" เธอกล่าวในรอยยิ้มกลบเกลื่อนสีหน้าท้อนิด ๆ นั้นด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
"สู้ ๆ เราเป็นกำลังใจให้" ชาญเข้าใจดีถึงสภาพภาระงานของบัว เขามองเห็นภาพผู้หญิงตัวนิดเดียวที่ต้องแบกรับความคาดหวังของคนทั้งอำเภอ ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของชาวบ้านซึ่งฝากไว้ให้ดูแล มันเป็นการเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อต่อชีวิตของผู้คนที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ชาญรู้สึกเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างมาก
"ขอบคุณมากชาญ แล้วเราจะได้พบกันอีกไหม" บัวเปลี่ยนเรื่อง และเป็นฝ่ายเปิดโอกาสก่อน ครั้งนี้เธอไม่อยากพลาดอีก
ขณะชาญจะตอบมีมือเอื้อมมาโอบไหล่เขาไว้แล้วสัมผัสมือ
"เมิงไม่ติดต่อมาเลยนะไอ้ชาญ หายเงียบไปสามปี พวกกรูนี้เหงาเลย ไม่มีใครพาส่งกลับบ้านเวลาเมา จบยังวะเพื่อน" เพื่อนชายคนสนิททักชาญเสียงดัง
"หมอบัว ไอ้ชาญนี่มันเด็กเรียน แหม่งโสดสนิท ตอนเป็นอาจารย์มีมันคนเดียวที่คอยรับส่งเพื่อน เหล้าก็ไม่ดื่ม กลับบ้านดึกดื่นก็ไม่มีเมียคอยบ่น อิจฉาความโสดของมันเว้ย"
"เออ! ไอ้เอก เดี๋ยวกรูตามไป ขอทักทายเพื่อนเก่าก่อนสักแป๊บ"
"ฮ่า ๆ กรูจำได้แล้ว นี่มันอดีตคู่จิ้นนี่เว้ย เชิญตามสบายเลยเพื่อน แล้วคืนนี้อย่าลืมไปต่อด้วยกันนะ ห้ามเบี้ยวนะเมิง" ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เอกแซวเสียงดังแล้วเดินจากไป
"ถึงไหนแล้วนะบัว เอ่อ! เรายังอยู่เมืองไทยอีกราวเดือนกว่า ที่จริงเราน่าจะได้ทานอาหารด้วยกันสักมื้อนะ เดี๋ยวเราให้เบอร์โทรเธอ" ชาญให้เธอโทรเข้ามือถือของเขา บัวกดเลขหมายไปแอบยิ้มไป มันเป็นความสุขที่ไม่อาจอธิบายได้ ความรู้สึกดี ๆ เช่นนี้จางหายไปจากจิตในนานหลายปีแล้ว
"แล้วเราจะโทรหาเธอนะบัว ขออนุญาตเลี้ยงข้าวสักมื้อครับ ทำตัวให้ว่างด้วยนะครับ คุณหมอบัว" ชาญพูดขณะบันทึกเลขหมายโดยไม่วายสุภาพเช่นเคย ความน่ารักมีเสน่ห์สีหน้าจริงใจของเขาทำให้ทุกสิ่งดูราบรื่นเป็นธรรมชาติ
"ก็ได้!" เธอรับปากอย่างงง ๆ นี่ไม่ใช่วิสัยปกติของเธอที่ถือตัว เงียบขรึม เข้าถึงยาก คืนนี้เธอเปลี่ยนไปมาก รับปากอะไรง่าย ๆ แต่นี่เป็นโอกาสที่จะได้พบเขาผู้ที่เธอคำนึงถึงตลอดมาอีกสักครั้ง เธอไม่ยอมทิ้งโอกาสให้หลุดมือไปแน่
"ขอตัวไปพบเพื่อน ๆ ก่อนนะชาญ เดี๋ยวว่างเราจะโทรหาเธอ" ความกล้าและลืมตัวทำให้ปากน้อย ๆ นั้นพูดสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจออกไปอย่างไม่เขินอาย ความรู้สึกสนิทสนมกลับคืนมาอย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อหลายปีก่อน
อีกไม่กี่วัน ทั้งคู่ร่วมทานอาหารมื้อเย็นที่โรงแรมหรู ชาญสั่งอาหารฝรั่งเศสเป็นคอร์สให้บัวลองชิม ทั้งสองเริ่มรื้อฟื้นความหลังกันอย่างสนุกสนาน ต่างมีสีหน้าอิ่มเอมไปกับความสุขในห้วงอดีต เรื่องเล่าพรั่งพรูออกมาเหมือนอย่างกับว่าไม่รู้จบสิ้น เสียงหัวเราะขำ ๆ ดังเป็นระยะของคู่หนุ่มสาวทำเอาบริกรหญิงแอบอิจฉา ในใจคิดว่าคงเป็นหนุ่มหล่อสาวสวยมีฐานะคุยกันหวานแหววเหมือนคู่รักเพิ่งแต่งงานกัน
“นี่เราจะมีโอกาสมาคุยกันอย่างนี้อีกไหมบัว” ชาญแสดงสีหน้าละห้อยเมื่อถึงเวลากลับ
“บัวว่างวันเสาร์นี้ วันอาทิตย์ต้องไปอยู่เวรนอกเวลาที่โรงพยาบาลเอกชน”
“งั้นผมขอจองตัววันเสาร์นี้เลยนะ ไปเที่ยวด้วยกันสักวัน จะให้เกียรติเพื่อนสักครั้งได้ไหมครับ”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องครับต้องผม อืม! ก็ได้นะ” เธอยิ้มน้อย ๆ ทำปากเชิด ๆ แต่ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง บอกไม่ถูกว่าหวังอะไรจากเขา หรือว่าหวังโอกาสให้ใกล้ชิดกว่านี้เพื่อเติมเต็มหัวใจ
“ขอบคุณ เราจะไปรับหน้าโรงพยาบาลเช้าวันเสาร์นะ ไปทะเลกัน ทะเลที่บัวชอบไง ไปเช้าเย็นกลับ แล้วคุณหมออย่าลืมยาทาผิวกันแดดด้วยนะ” ชาญหยอกเล่นอย่างเคย เขาเป็นคนที่มีอารมณ์ขันเสมอ ความน่ารักของทั้งคู่ผูกมัดซึ่งกันและกันแล้วสร้างความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ชาญขับรถพาบัวจากเมืองกรุงไปชายฝั่งตะวันออกตั้งแต่เช้า ระหว่างทางทั้งคู่คุยกันถึงอนาคตของแต่ละฝ่าย ชาญจะกลับมาเป็นอาจารย์ในกรุง ในขณะที่อีกครึ่งปีเศษบัวต้องไปใช้ทุนเป็นแพทย์เฉพาะทางในต่างจังหวัดทางภาคอีสาน งานช่วยชีวิตในชนบทไกลถึงชายแดนประเทศเป็นงานที่หนักมาก ชาญปลอบใจบัวด้วยความเข้าใจเพราะเขาก็ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในต่างแดนเช่นกัน ทั้งคู่ต่างเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น ความเหงาทำให้ชาญเล่าเรื่องราวสารพัดที่พบพานมาในหลายปีนี้ในขณะที่บัวยังสงวนท่าทีอยู่บ้าง
การท่องเที่ยวเริ่มจากการไปสักการะหลวงพ่อพระพุทธโสธรที่แปดริ้ว จากนั้นแวะไปบางแสนเพื่อเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล ชาญสามารถอธิบายได้เป็นฉาก ๆ ถึงระบบนิเวศน์ทางทะเล สัตว์ทะเล พันธุ์ปลาหายาก และปะการังในท้องทะเลไทยซึ่งเขาสนใจมากเป็นพิเศษเพราะกำลังทำวิจัยในด้านนี้อยู่ จนราวเที่ยงกว่าจึงพาบัวไปอ่างศิลาแล้วชิมอาหารทะเลสด ๆ ที่แหลมแท่น ตกบ่ายพากันไปชมปราสาทไม้ที่พัทยาแล้วเตลิดไปสักการะพระพุทธรูปเขาชีจรรย์ และวิหารเซียน จบลงที่การเดินเล่นชมความงดงามของพรรณไม้ในสวนนงนุชยามเย็น
“เหนื่อยไหมบัว เราพามาตระเวนจนทั่วแบบนี้” ชาญถามอย่างอ่อนโยนใต้ร่มไม้ท่ามกลางกลิ่นสดชื่นของลมทะเล
“สบายมาก ดีจังที่เธอขับรถได้นุ่มนวล ปกติเราเมารถง่าย แต่ทริปนี้ไม่มีอาการ ต้องขอบคุณพนักงานขับผู้น่ารัก” เธอหัวเราะเบาๆ
“ความจริงเรายังไม่จุใจเลย อยากหนีเที่ยวกับเธอจนกว่าจะหมดเวลา
เราคิดถึงเธอตลอดมา” ชาญลืมตัวพลั้งปากไปอย่างไม่ทันยั้งคิด
“ก็ได้ ถือว่าเราตกลงกันนะ วันไหนว่างขอเลี้ยงมื้อเย็นเธอบ้าง ถ้าวันหยุดไหนเราไม่ติดเวรจะโทรนัด
คิดถึงเธอเหมือนกัน” บัวก็หลุดปากออกมาเช่นกัน บรรยากาศและความใกล้ชิดกระตุ้นให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งในใจที่เก็บซ่อนไว้ยาวนาน ระเบิดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ตลอดทั้งเดือนความสัมพันธ์รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ในวัยทำงานเช่นนี้การเริ่มต้นจากเพื่อนแล้วมาจบลงตรงกลายเป็นคู่รักนั้น ทุกอย่างช่างดูง่ายดายยิ่ง
มื้อเย็นวันหนึ่งในร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีห้องเป็นส่วนตัว ชาญเลือกเป็นสถานที่สารภาพกับบัว
“บัว เราอยากจะบอกอะไรเธอ แต่ไม่รู้ว่าเธอจะโอเคไหมนะ”
“ว่ามาดิ มีอะไรเหรอ” บัวยิ้มอย่างเปิดเผยและเปิดใจรับฟัง
“เราว่า เราเป็นแฟนกันเถอะนะ” ชาญอึกอักก่อนโพล่งออกไป
บัวมีสีหน้าเคร่งขรึมนิด ๆ แลดูเหมือนเป็นกังวล แต่สำหรับชาญแล้วห้วงเวลาแห่งการรอคอยคำตอบนี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน
“อืม! ก็ได้ เราจะรับไว้พิจารณา” บัวยิ้มออกมาได้ ในขณะที่ชาญปลื้มจนเผลอกุมมือน้อย ๆ ของเธอไว้ มือข้างนั้นไม่ปฏิเสธความอบอุ่นจากอีกฝ่ายเช่นกัน
“เรามีเซอร์ไพรส์ให้บัวด้วยนะ” ชาญยิ้มพร้อมหยิบกล่องขนาดย่อมสีน้ำทะเลออกมาจากกระเป๋า
“ถือว่ามันเป็นของแทนใจเรา อีกไม่กี่วันเราก็จะกลับไปเรียนต่อแล้ว คงพบหน้ากันได้แค่ทางไลน์ รับไว้นะบัว”
“มันคืออะไรเหรอคะ” บัวถามด้วยสายตาซาบซึ้ง
“ลองเปิดเองซิครับ แล้วตอบเราว่าชอบไหม”
บัวเปิดกล่องออกดูแล้วพบว่าในนั้นคือกำไลข้อมือรูปดอกปักษาสวรรค์ ทำด้วยทองคำแท้สวยหรูงดงามมีราคาไม่น้อย
“ดอกปักษาสวรรค์ครับ มันมีความหมายดีมาก คือให้ความรื่นรมย์ยินดี นำพาสิ่งดี ๆ เรื่องน่ายินดีมาให้กับผู้ครอบครอง รับไว้นะบัวถือว่าแทนใจชาญ” บัดนี้ชาญรู้สึกได้ว่าส่วนที่ขาดหายไปของหัวใจได้ถูกเติมเต็มแล้ว
(มีต่อครับ ลุ้นๆๆ) ^^
👧🏽💗👦🏽 THE GLOVES 2020 ถุงมือเรื่องสั้น#39 Week#12, 14-18 ก.ย. "เติมเต็มรัก" - ถุงมือ เพื่อนเก่า 👦🏽💗👧🏽
"บัว เราชาญไง จำเราได้หรือเปล่าครับ" เขาทักหญิงสาวร่างสันทัดผมยาวสลวยในชุดราตรี และชื่นชมกับใบหน้าหวานชวนมองอย่างตื่นเต้นจนแทบเก็บซ่อนไว้ไม่ได้
“ชาญ เธอเปลี่ยนไปมากเลย แต่ยังไงเราก็จำเธอได้เสมอ" บัวหลุดปากทันทีตั้งแต่พบหน้ากัน
"ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ไหนครับ เราหมายถึงเป็นหมอโรงพยาบาลไหนอะ" ชาญถามอย่างเคอะเขินแล้วมองสบดวงตาสุกใสคู่นั้น เขารำลึกถึงวันเก่า ๆ ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ทั้งคู่เคยเป็นคู่จิ้นที่เพื่อน ๆ ชอบล้อ แต่เขาทิ้งโอกาสดี ๆ ไปเพราะความอายจึงไม่กล้าสารภาพรักกับหญิงสาว
"ตอนนี้เราเป็นหมออยู่ต่างจังหวัดแต่กลับมาเรียนต่อ แล้วเธอล่ะชาญ" บัวมองใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาเหมือนรูปปั้น ชาญสูงโปร่ง ผิวขาวผ่อง ลักยิ้มเล็ก ๆ ที่แก้มซ้ายฝังอยู่ในความทรงจำของบัวมาโดยตลอด
"เรากำลังเรียนอยู่ที่สหรัฐ ต่อเอกอยู่ครับ พอดีปิดเทอมกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ เดือนหน้าก็ต้องบินกลับแล้ว" ชาญพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ อย่างสุภาพ บัวสังเกตได้ว่าแก้มของเขานั้นแดงเรื่อขึ้นมา เธอเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย หัวใจเต้นตูมตามมือไม้สั่นใจหวิว ๆ แต่เครื่องสำอางปกปิดใบหน้าที่ร้อนผ่าวนั้นไว้
"ดีใจจัง เราไม่ได้เจอกันนานกี่ปีแล้วนะชาญ" ความคิดถึงที่แอบซ่อนไว้ผุดภาพในอดีตซึ้ง ๆ มากมาย เธอเองก็เคยแอบชอบเขาอย่างมากเช่นกัน แต่โอกาสที่จะบอกรักผ่านไปอย่างน่าเสียดายเมื่อต่างคนต่างแยกย้ายกันไปศึกษาในมหาวิทยาลัย
"เอ่อ! เจ็ดแปดปีแล้วนะครับ" ชาญยิ้มจ้องตา ต่างคนต่างสำรวจใบหน้าท่าทางของอีกฝ่าย ในชั่วขณะต่างรู้สึกได้ว่านี่เป็นห้วงเวลาอันแสนหวานชื่น หัวใจพองโตเหมือนว่าโลกทั้งใบมีกันเพียงสองคนเท่านั้น
"ชาญ เธอไม่ต้องพูดครับกับเราก็ได้ ดูมันห่างเหินนะ" บัวกระซิบเบา ๆ ด้วยความเขินอาย
"ครับ เอ้ย! ได้บัว" แล้วทั้งคู่ต่างหัวเราะออกมาด้วยความสุขใจ
"เธอเรียนอะไรต่อล่ะ เราจำได้ว่าเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์นี่"
"เราเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล จบมาก็เป็นอาจารย์ต่อ มหาลัยที่เราเรียนอยู่ฟลอริดา ได้ทุนรัฐบาลไปเรียน ปีหน้าเราก็จบแล้ว" ชาญตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีเสน่ห์ชวนหลงใหล
"เราก็มาต่อเฉพาะทางอยู่เหมือนกัน หมอดมยา ไม่ใช่หมอยาดมนะ" เธอใส่มุกขำ ๆ แววตาท่าทางร่าเริงเหมือนเมื่อยามเป็นเด็กมัธยม
"จบแล้วบัวต้องกลับไปอยู่ต่างจังหวัดเหมือนเดิมเหรอ" เขาเคยได้ยินข่าวคราวของบัวจากเพื่อน ๆ เธอต้องอดหลับอดนอนทำงานอย่างหนักเพราะสภาพขาดแคลนแพทย์
"ใช่ หลังจบเราต้องไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลอำเภอ" ชั่วขณะสีหน้าของเธอมีแววแสดงออกเหมือนว่าเหนื่อยกับงานหรือสถานที่ซึ่งต้องกลับไปทำงาน
"มีความสุขกับงานไหม เราว่าเธอได้ทำบุญเยอะนะ เรายังรู้สึกปลื้มแทนเลย" เขาสังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อยนั้น จึงพูดเฉไฉให้กำลังใจ
"ก็ดีนะ แต่เรารู้สึกว่ามันไกลแล้วงานก็หนักมาก ๆ ด้วย แถมไม่ค่อยมีโอกาสได้พบกับเพื่อน ๆ แต่เราจะพยายามต่อไป มันเป็นหน้าที่" เธอกล่าวในรอยยิ้มกลบเกลื่อนสีหน้าท้อนิด ๆ นั้นด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
"สู้ ๆ เราเป็นกำลังใจให้" ชาญเข้าใจดีถึงสภาพภาระงานของบัว เขามองเห็นภาพผู้หญิงตัวนิดเดียวที่ต้องแบกรับความคาดหวังของคนทั้งอำเภอ ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของชาวบ้านซึ่งฝากไว้ให้ดูแล มันเป็นการเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อต่อชีวิตของผู้คนที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ชาญรู้สึกเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างมาก
"ขอบคุณมากชาญ แล้วเราจะได้พบกันอีกไหม" บัวเปลี่ยนเรื่อง และเป็นฝ่ายเปิดโอกาสก่อน ครั้งนี้เธอไม่อยากพลาดอีก
ขณะชาญจะตอบมีมือเอื้อมมาโอบไหล่เขาไว้แล้วสัมผัสมือ
"เมิงไม่ติดต่อมาเลยนะไอ้ชาญ หายเงียบไปสามปี พวกกรูนี้เหงาเลย ไม่มีใครพาส่งกลับบ้านเวลาเมา จบยังวะเพื่อน" เพื่อนชายคนสนิททักชาญเสียงดัง
"หมอบัว ไอ้ชาญนี่มันเด็กเรียน แหม่งโสดสนิท ตอนเป็นอาจารย์มีมันคนเดียวที่คอยรับส่งเพื่อน เหล้าก็ไม่ดื่ม กลับบ้านดึกดื่นก็ไม่มีเมียคอยบ่น อิจฉาความโสดของมันเว้ย"
"เออ! ไอ้เอก เดี๋ยวกรูตามไป ขอทักทายเพื่อนเก่าก่อนสักแป๊บ"
"ฮ่า ๆ กรูจำได้แล้ว นี่มันอดีตคู่จิ้นนี่เว้ย เชิญตามสบายเลยเพื่อน แล้วคืนนี้อย่าลืมไปต่อด้วยกันนะ ห้ามเบี้ยวนะเมิง" ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เอกแซวเสียงดังแล้วเดินจากไป
"ถึงไหนแล้วนะบัว เอ่อ! เรายังอยู่เมืองไทยอีกราวเดือนกว่า ที่จริงเราน่าจะได้ทานอาหารด้วยกันสักมื้อนะ เดี๋ยวเราให้เบอร์โทรเธอ" ชาญให้เธอโทรเข้ามือถือของเขา บัวกดเลขหมายไปแอบยิ้มไป มันเป็นความสุขที่ไม่อาจอธิบายได้ ความรู้สึกดี ๆ เช่นนี้จางหายไปจากจิตในนานหลายปีแล้ว
"แล้วเราจะโทรหาเธอนะบัว ขออนุญาตเลี้ยงข้าวสักมื้อครับ ทำตัวให้ว่างด้วยนะครับ คุณหมอบัว" ชาญพูดขณะบันทึกเลขหมายโดยไม่วายสุภาพเช่นเคย ความน่ารักมีเสน่ห์สีหน้าจริงใจของเขาทำให้ทุกสิ่งดูราบรื่นเป็นธรรมชาติ
"ก็ได้!" เธอรับปากอย่างงง ๆ นี่ไม่ใช่วิสัยปกติของเธอที่ถือตัว เงียบขรึม เข้าถึงยาก คืนนี้เธอเปลี่ยนไปมาก รับปากอะไรง่าย ๆ แต่นี่เป็นโอกาสที่จะได้พบเขาผู้ที่เธอคำนึงถึงตลอดมาอีกสักครั้ง เธอไม่ยอมทิ้งโอกาสให้หลุดมือไปแน่
"ขอตัวไปพบเพื่อน ๆ ก่อนนะชาญ เดี๋ยวว่างเราจะโทรหาเธอ" ความกล้าและลืมตัวทำให้ปากน้อย ๆ นั้นพูดสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจออกไปอย่างไม่เขินอาย ความรู้สึกสนิทสนมกลับคืนมาอย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อหลายปีก่อน
อีกไม่กี่วัน ทั้งคู่ร่วมทานอาหารมื้อเย็นที่โรงแรมหรู ชาญสั่งอาหารฝรั่งเศสเป็นคอร์สให้บัวลองชิม ทั้งสองเริ่มรื้อฟื้นความหลังกันอย่างสนุกสนาน ต่างมีสีหน้าอิ่มเอมไปกับความสุขในห้วงอดีต เรื่องเล่าพรั่งพรูออกมาเหมือนอย่างกับว่าไม่รู้จบสิ้น เสียงหัวเราะขำ ๆ ดังเป็นระยะของคู่หนุ่มสาวทำเอาบริกรหญิงแอบอิจฉา ในใจคิดว่าคงเป็นหนุ่มหล่อสาวสวยมีฐานะคุยกันหวานแหววเหมือนคู่รักเพิ่งแต่งงานกัน
“นี่เราจะมีโอกาสมาคุยกันอย่างนี้อีกไหมบัว” ชาญแสดงสีหน้าละห้อยเมื่อถึงเวลากลับ
“บัวว่างวันเสาร์นี้ วันอาทิตย์ต้องไปอยู่เวรนอกเวลาที่โรงพยาบาลเอกชน”
“งั้นผมขอจองตัววันเสาร์นี้เลยนะ ไปเที่ยวด้วยกันสักวัน จะให้เกียรติเพื่อนสักครั้งได้ไหมครับ”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องครับต้องผม อืม! ก็ได้นะ” เธอยิ้มน้อย ๆ ทำปากเชิด ๆ แต่ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง บอกไม่ถูกว่าหวังอะไรจากเขา หรือว่าหวังโอกาสให้ใกล้ชิดกว่านี้เพื่อเติมเต็มหัวใจ
“ขอบคุณ เราจะไปรับหน้าโรงพยาบาลเช้าวันเสาร์นะ ไปทะเลกัน ทะเลที่บัวชอบไง ไปเช้าเย็นกลับ แล้วคุณหมออย่าลืมยาทาผิวกันแดดด้วยนะ” ชาญหยอกเล่นอย่างเคย เขาเป็นคนที่มีอารมณ์ขันเสมอ ความน่ารักของทั้งคู่ผูกมัดซึ่งกันและกันแล้วสร้างความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ชาญขับรถพาบัวจากเมืองกรุงไปชายฝั่งตะวันออกตั้งแต่เช้า ระหว่างทางทั้งคู่คุยกันถึงอนาคตของแต่ละฝ่าย ชาญจะกลับมาเป็นอาจารย์ในกรุง ในขณะที่อีกครึ่งปีเศษบัวต้องไปใช้ทุนเป็นแพทย์เฉพาะทางในต่างจังหวัดทางภาคอีสาน งานช่วยชีวิตในชนบทไกลถึงชายแดนประเทศเป็นงานที่หนักมาก ชาญปลอบใจบัวด้วยความเข้าใจเพราะเขาก็ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในต่างแดนเช่นกัน ทั้งคู่ต่างเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น ความเหงาทำให้ชาญเล่าเรื่องราวสารพัดที่พบพานมาในหลายปีนี้ในขณะที่บัวยังสงวนท่าทีอยู่บ้าง
การท่องเที่ยวเริ่มจากการไปสักการะหลวงพ่อพระพุทธโสธรที่แปดริ้ว จากนั้นแวะไปบางแสนเพื่อเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล ชาญสามารถอธิบายได้เป็นฉาก ๆ ถึงระบบนิเวศน์ทางทะเล สัตว์ทะเล พันธุ์ปลาหายาก และปะการังในท้องทะเลไทยซึ่งเขาสนใจมากเป็นพิเศษเพราะกำลังทำวิจัยในด้านนี้อยู่ จนราวเที่ยงกว่าจึงพาบัวไปอ่างศิลาแล้วชิมอาหารทะเลสด ๆ ที่แหลมแท่น ตกบ่ายพากันไปชมปราสาทไม้ที่พัทยาแล้วเตลิดไปสักการะพระพุทธรูปเขาชีจรรย์ และวิหารเซียน จบลงที่การเดินเล่นชมความงดงามของพรรณไม้ในสวนนงนุชยามเย็น
“เหนื่อยไหมบัว เราพามาตระเวนจนทั่วแบบนี้” ชาญถามอย่างอ่อนโยนใต้ร่มไม้ท่ามกลางกลิ่นสดชื่นของลมทะเล
“สบายมาก ดีจังที่เธอขับรถได้นุ่มนวล ปกติเราเมารถง่าย แต่ทริปนี้ไม่มีอาการ ต้องขอบคุณพนักงานขับผู้น่ารัก” เธอหัวเราะเบาๆ
“ความจริงเรายังไม่จุใจเลย อยากหนีเที่ยวกับเธอจนกว่าจะหมดเวลา เราคิดถึงเธอตลอดมา” ชาญลืมตัวพลั้งปากไปอย่างไม่ทันยั้งคิด
“ก็ได้ ถือว่าเราตกลงกันนะ วันไหนว่างขอเลี้ยงมื้อเย็นเธอบ้าง ถ้าวันหยุดไหนเราไม่ติดเวรจะโทรนัด คิดถึงเธอเหมือนกัน” บัวก็หลุดปากออกมาเช่นกัน บรรยากาศและความใกล้ชิดกระตุ้นให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งในใจที่เก็บซ่อนไว้ยาวนาน ระเบิดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ตลอดทั้งเดือนความสัมพันธ์รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ในวัยทำงานเช่นนี้การเริ่มต้นจากเพื่อนแล้วมาจบลงตรงกลายเป็นคู่รักนั้น ทุกอย่างช่างดูง่ายดายยิ่ง
มื้อเย็นวันหนึ่งในร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีห้องเป็นส่วนตัว ชาญเลือกเป็นสถานที่สารภาพกับบัว
“บัว เราอยากจะบอกอะไรเธอ แต่ไม่รู้ว่าเธอจะโอเคไหมนะ”
“ว่ามาดิ มีอะไรเหรอ” บัวยิ้มอย่างเปิดเผยและเปิดใจรับฟัง
“เราว่า เราเป็นแฟนกันเถอะนะ” ชาญอึกอักก่อนโพล่งออกไป
บัวมีสีหน้าเคร่งขรึมนิด ๆ แลดูเหมือนเป็นกังวล แต่สำหรับชาญแล้วห้วงเวลาแห่งการรอคอยคำตอบนี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน
“อืม! ก็ได้ เราจะรับไว้พิจารณา” บัวยิ้มออกมาได้ ในขณะที่ชาญปลื้มจนเผลอกุมมือน้อย ๆ ของเธอไว้ มือข้างนั้นไม่ปฏิเสธความอบอุ่นจากอีกฝ่ายเช่นกัน
“เรามีเซอร์ไพรส์ให้บัวด้วยนะ” ชาญยิ้มพร้อมหยิบกล่องขนาดย่อมสีน้ำทะเลออกมาจากกระเป๋า
“ถือว่ามันเป็นของแทนใจเรา อีกไม่กี่วันเราก็จะกลับไปเรียนต่อแล้ว คงพบหน้ากันได้แค่ทางไลน์ รับไว้นะบัว”
“มันคืออะไรเหรอคะ” บัวถามด้วยสายตาซาบซึ้ง
“ลองเปิดเองซิครับ แล้วตอบเราว่าชอบไหม”
บัวเปิดกล่องออกดูแล้วพบว่าในนั้นคือกำไลข้อมือรูปดอกปักษาสวรรค์ ทำด้วยทองคำแท้สวยหรูงดงามมีราคาไม่น้อย
“ดอกปักษาสวรรค์ครับ มันมีความหมายดีมาก คือให้ความรื่นรมย์ยินดี นำพาสิ่งดี ๆ เรื่องน่ายินดีมาให้กับผู้ครอบครอง รับไว้นะบัวถือว่าแทนใจชาญ” บัดนี้ชาญรู้สึกได้ว่าส่วนที่ขาดหายไปของหัวใจได้ถูกเติมเต็มแล้ว
(มีต่อครับ ลุ้นๆๆ) ^^