JJNY : "วิกฤตที่แท้จริงของไทยคือระบบเศรษฐกิจ"/ผู้สูงอายุทั่วปท.โอดเดือดร้อนหนัก/ทั่วโลกติดโควิด28.6ล./ติดเชื้อใหม่xx

มูลนิธิเอเชียชี้ "วิกฤตที่แท้จริงของไทย คือ ระบบเศรษฐกิจ"
https://voicetv.co.th/read/wOuC2Ybyy
 

 
ตัวแทนองค์กรระหว่างประเทศชี้ ไทยควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ดี แต่มีเหตุการณ์น่ากังวลควบคู่กัน คือ การชุมนุมทางการเมืองและ ‘วิกฤตเศรษฐกิจ’ ซึ่งประเด็นปากท้องจะส่งผลกระทบต่อสังคมไทยยาวนานยิ่งกว่าโรคระบาดและความขัดแย้งทางการเมือง
 
โทมัส พาร์ก ผู้แทนมูลนิธิเอเชีย ประจำประเทศไทย เผยแพร่บทความ Thailand's real cricis is the economy ในเว็บไซต์นิกเคอิเอเชี่ยนรีวิว ประเมินสถานการณ์ประเทศไทย โดยระบุว่า เวลาที่รัฐบาลไทยจะใช้จัดการปัญหาเศรษฐกิจนั้นงวดลงทุกๆ ที เพราะสภาพเศรษฐกิจหดตัวทำให้คนตกงานเพิ่มขึ้น
 
นอกจากนี้ ข้อมูลจากการสำรวจสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในครัวเรือนไทยที่จัดทำโดยมูลนิธิเอเชียช่วงที่ผ่านมา พบว่า 2 ใน 3 ของประชากรวัยทำงานในไทย มีรายได้ลดลงเกือบ 50% หลังจากบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
 
บทความของพาร์กระบุว่า ผลงานการควบคุมโรคโควิด-19 ไม่ให้แพร่ระบาดในวงกวัางของรัฐบาลไทยได้รับคำชมอย่างมาก แต่ผลกระทบที่เกิดกับระบบเศรษฐกิจนั้นย่ำแย่เกินกว่าจะแก้ไขให้กลับมาดีดังเดิมได้ในเร็ววันได้
 
พาร์กระบุว่า การยกทีมลาออกของรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจเมื่อเดือน ส.ค. ทำให้เกิดภาพสะท้อนว่าไม่มีใครที่จะสามารถจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจหดตัวของไทยได้ และการที่ ‘ปรีดี ดาวฉาย’ ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหลังจากปฏิบัติหน้าที่ได้เพียง 26 วันก็ยิ่งตอกย้ำว่า สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจไทยเข้าขั้นวิกฤต
  
หากปล่อยให้วิกฤตเศรษฐกิจเรื้อรัง จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมในประเทศไทยเพิ่มขึ้น และจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ไดัรับผลกระทบทางเศรษฐกิจเข้าร่วมกลุ่มกับนักเรียนนักศึกษาที่ออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและสิทธิทางการเมืองจากรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนจะมีการพบโรคโควิด-19 ในประเทศไทย
 
แม้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะออกมาตรการแจกเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทแก่ผู้ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ความช่วยเหลือดังกล่าวก็สิ้นสุดลงไปเมื่อเดือน ก.ค. ทำให้คนที่ต้องสูญเสียรายได้หรือคนที่ตกงานเพราะมาตรการควบคุมโควิดราว 14 ล้านคน ไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก และผู้ประกอบการรายย่อยระบุว่าไม่สามารถเข้าถึงซอฟต์โลนของรัฐบาลได้
 
ล่าสุด รัฐบาลตัดสินใจออกมาตรการเงินช่วยเหลือระลอกใหม่แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบเดือนละ 3,000 บาท แต่ยังมีข้อจำกัดว่าผู้ได้รับเงินรายเดือนจะใช้เงินเฉลี่ยได้วันละ 100-200 บาทเท่านั้น
 
อย่างไรก็ตาม มาตรการช่วยเหลือถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถกระจายถึงกลุ่มประชากรได้อย่างทั่วถึง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงื่อนไขที่กำหนดให้ผู้รับเงินลงทะเบียนผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตและสมาร์ตโฟนที่ผูกโยงกับธนาคาร ซึ่งอาจจะทำให้คนที่ไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ตกหล่นไปจากโครงการช่วยเหลือของรัฐบาล ทั้งยังมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทำให้ขาดตัวกลางที่จะเป็นเจ้าภาพดำเนินการอย่างชัดเจน
 
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานอ้างอิงบทสัมภาษณ์ 'สุพันธุ์ มงคลสุธี' ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า การออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองของเหล่านักเรียนนักศึกษาในช่วงที่ผ่านมา เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้เศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวง่ายๆ เพราะภาพรวมการเมืองในไทยยังไม่มีเสถียรภาพ
 
นอกจากนี้ การหวังพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ไม่สามารถทำได้ในปีนี้ เพราะไทยและอีกหลายประเทศยังคุมเข้มการเดินทางเข้าประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดระลอกใหม่
 
รอยเตอร์สรายงานอ้างอิงการประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยในปีนี้ จะอยู่ที่ 6.7 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งถือว่าลดลงอย่างมากจากสถิติ 39.8 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ส่งผลให้คนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและกิจการโรงแรมที่พักได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างหนัก และต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลเช่นกัน
 
ขณะนี้มีเพียง 12% ของกิจการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวหลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ป้องกันโควิด แต่กิจการที่เหลืออีกราว 60% ยังไม่มีทีท่าจะฟื้นตัว และผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากตัดสินใจปิดกิจการ เพราประเมินแล้วคิดว่าเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวง่ายๆ และการปิดกิจการจะช่วยปลดภาระหนี้สินได้ง่ายกว่า
 

 
ผู้สูงอายุทั่วปท.โอดเดือดร้อนหนัก เบี้ยยังชีพคนชราไม่เข้าบัญชี วอนรัฐเร่งโอน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2344908
 
ผู้สูงอายุทั่วปท.โอดเดือดร้อนหนัก เบี้ยยังชีพคนชราไม่เข้าบัญชี วอนรัฐเร่งโอน
 
วันที่ 12 กันยายน ผู้สูงวัยและคนพิการที่ปกติจะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยยังชีพผู้พิการเดือนละ 600-1,000 บาททุกวันที่ 10 ของเดือน แต่ปรากฏว่าวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ไม่มีเงินเข้าบัญชี ทำให้ผู้สูงอายุกว่า 8 ล้านคนและผู้พิการเกือบ 2 ล้านคนต้องผิดหวังและเดือดร้อนไปตามๆ กัน เพราะไม่มีเงินใช้จ่าย ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้
 
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 กันยายน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ชี้แจงถึงเหตุการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุและเบี้ยผู้พิการงวดเดือนกันยายนล่าช้า ว่า เนื่องจากเดือนกันยายนเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ ทาง สถ.จึงต้องตรวจสอบข้อมูลและตัวเลขต่างๆ ให้ถูกต้องอีกครั้ง ทั้งยอดการย้ายถิ่นและยอดผู้เสียชีวิต เพื่อปิดบัญชี เพราะเคยมีกรณีผู้พิการย้ายที่อยู่ ที่สำคัญก่อนหน้านี้กว่างบประมาณจะผ่านสภาก็เลยไปไตรมาส 2 แล้ว เลยทำให้การจ่ายเงินงวดนี้ล่าช้าออกไป
 
“แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างให้ครบถ้วนและตรงกัน ระบบงบประมาณจะลงตัว จะเร่งรัดจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 22 กันยายนนี้ แต่จะพยายามให้เงินถึงมือผู้สูงอายุและผู้พิการได้ภายในสัปดาห์หน้า เมื่อถึงวันที่ 1 ตุลาคม งบประมาณปี 2564 ผ่านสภาฯ เรียบร้อย การจ่ายเงินครั้งต่อไปจะไม่ล่าช้าอีก ยืนยันว่ารัฐบาลมีเงิน ไม่ถังแตกแน่นอน” นายประยูร
 
ขณะที่ผู้สูงอายุหลายคนไม่รู้ว่ามีการเลื่อนจ่ายเบี้ยยังชีพ จึงไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม ธนาคารกรุงไทย จึงต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อไม่มีเงินโอนเข้าบัญชี
 
ที่ จ.นครราชสีมา ตามตู้กดเงินของธนาคารกรุงไทย ในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา มีผู้สูงอายุเดินทางมากดเงินกันอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องผิดหวังเนื่องจากเงินยังไม่เข้าบัญชี
 
นางสุพรรณ เนตรนคร อายุ 63 ปี ชาว อ.เมืองนครราชสีมา กล่าวว่า เงินผู้สูงอายุจะเข้าบัญชีทุกวันที่ 10 กันยายน เมื่อวานมากดดูไม่มีเงินเข้า วันนี้มาลองกดดูอีกรอบเงินยังไม่เข้าเหมือนเดิม ตอนนี้ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก หวังว่าจะได้เบี้ยผู้สูงอายุไปใช้จ่ายในครอบครัว ซื้ออาหาร และของใช้ประจำวัน ซึ่งไม่ได้วางแผนว่าถ้าไม่มีเงินส่วนนี้แล้วจะทำอย่างไรต่อไป ขอให้รัฐบาลเร่งจ่ายเงินด้วย ตอนนี้ ได้รับความเดือดร้อนจริง ๆ
 
นายสัญชัย ภักดี อายุ 49 ปี ชาว อ.เมืองนครราชสีมา กล่าวว่า มากดเงินเบี้ยผู้สูงอายุให้พ่อที่อายุ 84 ปีและเป็นผู้ป่วยติดเตียง จะนำเงินไปซื้อผ้าอ้อมและของใช้จำเป็นให้พ่อ แต่เงินยังไม่เข้าบัญชี คงต้องขอหยิบยืมเงินจากเพื่อนบ้านมาใช้ชั่วคราวก่อน อยากให้รัฐบาลเร่งโอนเงินให้ด้วย
 
นางวัณณา สว่างกิจ อายุ 66 ปี ชาว อ.เมืองนครราชสีมา กล่าวว่า ปกติจะได้เงินเบี้ยผู้สูงอายุ 600 บาท และเงินผู้พิการอีก 800 บาท รวม 1,400 บาท นำไปใช้จ่ายซื้ออาหาร และของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่เงินยังไม่เข้าสักบาท รู้สึกเครียดมาก ไม่รู้จะหาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างไร จึงโทรศัพท์ไปขอลูกสาวให้โอนเงินมาให้ 1,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนไปชั่วคราวก่อน ขอวิงวอนรัฐบาลให้โอนเงินมาให้เร็ว ๆ ตอนนี้ข้าวสารจะกรอกหม้อก็ไม่มีแล้ว ไม่มีเงินซื้อของกินของใช้ ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
 
ที่ จ.ชัยนาท นายทัน และนางชื่น แก้วเงิน สองสามีภรรยา ชาวบ้าน ต.เขาท่าพระ อ.เมืองชัยนาท ทั้งคู่อายุกว่า 80 ปี ที่ได้รับเบี้ยยังชีพชราภาพเดือนละ 800 บาทต่อคน และเบี้ยยังชีพผู้พิการของนายทันอีก 800 บาท รวมเดือนละ 2,400 บาท เพื่อนำไปซื้อข้าวสาร กับข้าวและยา ใช้กันเดือนชนเดือน
 
นายทันกล่าวว่า หลังทราบข่าวว่าเลื่อนจ่ายเบี้ยยังชีพออกไป รู้สึกมืดแปดด้าน ไม่รู้จะไปหยิบยืมใคร เพราะแก่แล้ว ไม่มีญาติ ไม่มีร้านค้าให้เชื่อเซ็นของมากินใช้ก่อน เพราะไม่มีหลักประกัน อีกทั้งนางชื่นเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเดือนละ 400-500 บาท ขอให้รัฐแก้ปัญหาให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะทั้งคู่ลำบาก
 
ที่จ.นครสวรรค์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาห้างแฟรี่แลนด์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีผู้สูงอายุหลายคนเดินทางมาตรวจสอบบัญชีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแต่ต้องผิดหวัง เพราะไม่ทราบว่ามีการเลื่อนจ่ายเงิน
 
นายสมศักดิ์ กกกลิ่น อายุ 65 ปี กล่าวว่า มีอาชีพทั่วไป และได้เงินเบี้ยผู้สูงอายุ ทุกวันที่ 10 ของเดือนๆ ละ 600 บาท นำไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร อยู่ได้เป็นเดือน อีกทั้งยังมีเงินเหลือจากการทำงานรับจ้างมาสมทบไปจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ หากวันที่ 22 กันยายนยังไม่มีเงินเข้าอีก ต้องลำบากแน่นอน
 
นายสมหวัง จันทร์รัตน์ อายุ 65 ปี กล่าวว่า ถ้าไม่มีเงินเบี้ยผู้สูงอายุ ตนต้องอยู่อย่างลำบาก เมื่อเงินยังไม่เข้าบัญชี ตนต้องไปหยิบยืมเพื่อนหรือคนรู้จักมาใช้ก่อน เพราะวันนี้แทบไม่มีเงินติดตัว
 
นางสมจิต เอี่ยมสุข อายุ 68 ปี กล่าวว่า ปกติจะมีเบี้ยยังชีผู้สูงอายุเข้าบัญชี จึงให้ลูกสาวพามากดเงินให้ แต่ปรากฏว่ายังไม่มีเงินเข้า รู้สึกผิดหวัง เพราะจะนำเงินไปใช้จ่าย ตอนนี้ไม่มีเงินติดตัว เพราะไม่มีอาชีพอะไรคงต้องอาศัยให้ลูกเลี้ยงดูไปก่อน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่