อจ.จุฬาฯชี้ วิกฤตรธน. ไม่ยึดโยงประชาชน ขาดเชื่อใจ ต้องปฏิรูปด่วน
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4887647
อาจารย์นิติ จุฬาฯ ชี้รัฐธรรมนูญ 60 อยู่ในภาวะวิกฤตศรัทธา มีปัญหาทั้งเรื่องที่มา และการบังคับใช้ ไม่สามารถทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ต้องปฏิรูปด่วน
วันที่ 11 ก.ย. นาย
พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ถึงกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภา ว่า
ขณะนี้ค่อนข้างเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นและไปในแนวทางเดียวกัน ทั้งในภาคการเมือง (ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางแก้ รธนฯ ซึ่งเป็นส่วนผสมของทั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาล) และภาคประชาชน (ที่ออกมาเรียกร้องคัดค้านรัฐบาล) ว่า เห็นควรให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สำหรับผมแล้วหากพิจารณาผ่านกรอบของหลักวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ สามารถอธิบายได้อย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้
1. รัฐธรรมนูญ 60 มีปัญหาในแง่ที่มาในการจัดรัฐธรรมนูญ กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันถูกมองว่ามีที่มาที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย หาได้มีจุดยึดโยงกับประชาชนไม่ จึงไม่สามารถสร้าง หรือทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกของ "ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ" ในรัฐธรรมนูญในฐานะ "สัญญาประชาคม" (Social Contract) ได้
2. ภายหลังจากที่รัฐธรรมนูญ 60 มีผลบังคับใช้ ระบบการเมืองและระบบกฎหมายซึ่งเชื่อมโยงกับโครงสร้างทางสังคมอันเป็นผลผลิตโดยตรงมาจากรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถที่จะสร้าง "ความไว้เนื้อเชื่อใจสาธารณะ" (Public Trust) ให้แก่ภาคการเมืองและประชาชนได้ แต่กลับถูกตั้งคำถามอย่างมากและกว้างขวางถึงความมีประสิทธิภาพและความเสมอภาคของระบบการเมืองและระบบกฎหมายของกติกาสูงสุดของประเทศฉบับนี้
3. ด้วยผลจากข้อ 1.และ 2.ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญจึงอาจกล่าวได้ว่า รัฐธรรมนูญ 60 กำลังตกอยู่ในสภาวะ "วิกฤติความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ" (Crisis of Constitutional Legitimacy) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะนำไปสู่สภาวะ "วิกฤติระบอบรัฐธรรมนูญ" (Constitutional Crisis) ที่อาจส่งผลให้สถาบันการเมืองภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญ 60 ไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้ในท้ายที่สุด ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับรัฐธรรมนูญ 50
.
เมื่อรัฐธรรมนูญ 60 ไม่ได้รับการยอมรับนับถืออย่างมีนัยสำคัญตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในระบบการเมืองและระบบกฎหมาย และที่สำคัญคือ เป็นการสั่นคลอนและผุกร่อนต่อสถานะความเป็น "กฎหมายสูงสุดของประเทศ" อย่างปฏิเสธไม่ได้
.
#ถึงเวลาปฏิรูปรัฐธรรมนูญ
https://www.facebook.com/pornson.liengboonlertchai/posts/10158953409660979
เพนกวิน ย้อนเจ็บ สื่อช่องหนึ่ง เอาข่าวปลอมมาถาม ปมขอเงินนักการเมือง วัน ขำลั่น
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4888295
หลัง ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาลหมายเลขดำ ลศ. 9/2563 ที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา กล่าวหา นาย
พริษฐ์ หรือ
เพนกวิน ชีวารักษ์ แกนนำมวลชนกลุ่ม ประชาชนปลดแอก ผู้ถูกกล่าวหาเรื่องละเมิดอำนาจศาล
ต่อมา ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหายังไม่ได้รับแผ่นบันทึกภาพและเสียงเหตุการณ์ตามคำกล่าวหา เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสในการแก้ข้อกล่าวหาและเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง จึงให้นำสำเนาแผ่นบันทึกภาพและเสียงมอบให้ผู้ถูกกล่าวหา
หากผู้ถูกกล่าวหามีข้อคัดค้าน หรือคำชี้แจงให้ยื่นเป็นคำแถลงเข้ามาในนัดหน้า และให้ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญาตรวจสอบว่า หลังจากวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ทำนองเดียวกับคำกล่าวหาเกิดขึ้นในบริเวณศาลอีกหรือไม่ แล้วรายงานให้ศาลทราบภายในนัดหน้า จึงให้เลื่อนไปไต่สวนละเมิดอำนาจศาล ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
หลังมีคำสั่งเลื่อนไต่สวนจากศาล
เพนกวิน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อ ก่อนที่เขาจะโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า
เหตุเกิดที่ศาลอาญา ขณะที่ผมกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวเกี่ยวกับคดีละเมิดอำนาจศาล จู่ ๆ มีนักข่าวเนชั่นมาถามนอกประเด็น
เนชั่น : น้องคิดยังไงกับข่าวที่ว่าน้องไปขอเงินนักการเมืองพรรคเพื่อไทยคะ
เพนกวิน : ไม่เป็นความจริงเลย น่าจะเป็นข่าวปลอมที่ปล่อยโดยสื่อมวลชนที่ไม่หวังดี ซึ่งเนชั่นก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น
*ปรายตาไปมองนักข่าว*
โดยโพสต์ดังกล่าว มี นาย
วัน อยู่บำรุง ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย เข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยพิมพ์ 555 หัวเราะกับเรื่องดังกล่าวด้วย
https://www.facebook.com/paritchi/posts/2716324025294324
ไอเอ็นจี ชี้โควิด-19 ทำเศรษฐกิจไทยซึมยาว บาทอ่อนเป็นอันดับ 2 ของสกุลเงินเอเชีย
https://www.khaosod.co.th/economics/news_4886052
ไอเอ็นจี ชี้โควิด-19 ทำเศรษฐกิจไทยซึมยาว บาทอ่อนเป็นอันดับ 2 ของสกุลเงินเอเชีย - BBCไทย
บทวิเคราะห์การเงินและเศรษฐกิจประเทศไทยของไอเอ็นจี กลุ่มธุรกิจการเงินและการธนาคารระดับโลกของเนเธอร์แลนด์ คาดเศรษฐกิจไทยจะถดถอยตลอดปีนี้และอาจจะต่อเนื่องถึงปีหน้า ส่วนค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี ส่วนหนึ่งเพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น
ไอเอ็นจีระบุว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จในการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดใหญ่ไปทั่วโลกของโควิด-19 ได้ โดยผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยติดลบ 12% ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ นับว่าแย่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในเอเชียในปี 1998 ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวและภาคการส่งออกยังคงซบเซา ไอเอ็นจีจึงคาดว่า อีกสองไตรมาสที่เหลือของปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะยังคงติดลบต่อไป โดยรวมทั้งปีจะติดลบอยู่ที่ 6.6% แย่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 1998
การเมือง ปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจ
บทวิเคราะห์ของไอเอ็นจีระบุว่า ตลาดและเศรษฐกิจของไทยมักจะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้น ช่วงกลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ทีมที่ดูแลเศรษฐกิจไทยซึ่งนำโดยนาย
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก 3 คน คือ รมว.พลังงาน รมว.คลัง รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมถึงรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศลาออก ทำให้ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี
ในช่วงต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่หลายคน รวมถึงนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ อดีตผู้บริหารเครือ ปตท. ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน นาย
ปรีดี ดาวฉาย อดีตนายธนาคาร ได้รับการแต่งตั้งเป็น รมว.คลัง แต่เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน รมว.คลังคนใหม่ก็ได้ประกาศลาออก ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในระบบเศรษฐกิจไทยขึ้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเผชิญกับการประท้วงต่อต้านของนักเรียนนักศึกษาที่เรียกร้องการปฏิรูปการเมือง รวมถึงบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในการเมือง ไอเอ็นจีคาดว่าจะมีการต่ออายุพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีกหลายรอบ ซึ่งเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่รัฐบาลใช้ในการควบคุมฝ่ายต่อต้าน โดยในช่วงแรกมีการใช้พระราชกำหนดนี้เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19
ไอเอ็นจีระบุว่าประวัติศาสตร์ช่วยให้ประเมินได้ว่าการเมืองไทยจะเลวร้ายได้มากแค่ไหน โดยครั้งนี้อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าในอดีต เพราะนอกจากความไม่พอใจต่อรัฐบาลแล้ว ยังมีคนที่ไม่พอใจเรื่องปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่นำโดยภาคการท่องเที่ยวน่าจะล่าช้าออกไปอีก
เงินบาทอ่อนค่าแล้ว 4.5%
ตลาดการเงินในประเทศเริ่มรับรู้ถึงสภาพการเมืองและเศรษฐกิจที่เลวร้ายนี้แล้ว นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. ตลาดหุ้นและค่าเงินบาทของไทยหยุดการปรับตัวขึ้นตามตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ในโลกที่กำลังฟื้นตัว ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศสูงขึ้น
นักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยทุกเดือนในปีนี้ และคาดว่าแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้จนถึงสิ้นปี ด้านค่าเงินบาทนับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 9 ก.ย. อ่อนค่าลงแล้ว 4.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ตามหลังเพียงค่าเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียที่อ่อนค่ามากที่สุด (ตัวเลขของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่าราว 6%) ขณะที่ความวุ่นวายทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้น อาจจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปอีก
นอกจากความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้นแล้ว การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ น่าจะทำให้ค่าเงินบาทเป็นหนึ่งในสกุลเงินเอเชียที่อ่อนค่าลงมากที่สุดในปีนี้
รอยเตอร์รายงานว่า ค่าเงินบาทเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 10 ก.ย. อยู่ที่ราว 31.29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ผู้ส่งออกไทยมองว่าแข็งเกินไป ทำให้สินค้าไทยในต่างแดนมีราคาสูงกว่าคู่แข่งประเทศอื่น และต้องการให้อยู่ที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ไอเอ็นจีคาดว่า สิ้นปีนี้ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับ สิ้นปี 2019 ที่ 30.22 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จะแข็งค่าขึ้นเป็น 31.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2021 และ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2022
เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย
ด้านเงินเฟ้อ ไอเอ็นจีระบุว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเศรษฐกิจไทยไปจนถึงสิ้นปีหน้า เนื่องจากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นและอุปสงค์ที่อ่อนแอทำให้เงินเฟ้อติดลบแล้ว 1% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 0.50% ซึ่งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังมีการปรับลดลง 0.75% ตั้งแต่ต้นปี และไม่น่าจะลดลงต่ำไปมากกว่านี้ ไอเอ็นจีคาดว่า การผ่อนคลายทางการเงินมากกว่าปกติยังไม่ใช่ทางเลือกในขณะนี้
ส่งออกและการท่องเที่ยวยังไม่กระเตื้อง
ตลาดการส่งออกที่สำคัญของไทยทั้งสหรัฐฯ, ยุโรป, ญี่ปุ่น และอาเซียน (รวมกันคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกของไทย) ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในประเทศหลายอย่างเช่น ปัญหาภัยแล้งทั่วประเทศ ที่อาจทำให้ผลผลิตด้านการเกษตรและการส่งออกลดลง โดยขณะนี้การส่งออกข้าวของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้รับลดเป้าหมายการส่งออกข้าวลง 13% ในปีนี้เหลือ 6.5 ล้านตัน ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ไทยอาจจะเสียตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวมากเป็นอันดับสองของโลก

ส่วนการท่องเที่ยวซึ่งมีมูลค่าราว 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจไทย โดยนักท่องเที่ยวจากจีนเพียงแห่งเดียวสร้างรายได้การท่องเที่ยวให้ไทยราว 1 ใน 4 ของทั้งหมด การท่องเที่ยวของไทยหยุดชะงักมาตั้งแต่เดือน เม.ย. โดยไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเลยนับจากนั้น เศรษฐกิจจีนก็กำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงต้นปี โดยอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่นักท่องเที่ยวชาวจีนจะเริ่มรู้สึกสบายใจในการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ในช่วงที่ยังมีมาตรการคุมเข้มที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 อยู่
JJNY : อจ.จุฬาฯชี้วิกฤตรธน.ต้องปฏิรูปด่วน/เพนกวินย้อนสื่อเอาข่าวปลอมมาถาม/ING ชี้ศก.ไทยซึมยาว/ฝันร้ายโรงแรมภูเก็ตรอทะลัก
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4887647
วันที่ 11 ก.ย. นายพรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ถึงกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภา ว่า
ขณะนี้ค่อนข้างเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นและไปในแนวทางเดียวกัน ทั้งในภาคการเมือง (ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางแก้ รธนฯ ซึ่งเป็นส่วนผสมของทั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาล) และภาคประชาชน (ที่ออกมาเรียกร้องคัดค้านรัฐบาล) ว่า เห็นควรให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สำหรับผมแล้วหากพิจารณาผ่านกรอบของหลักวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ สามารถอธิบายได้อย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้
1. รัฐธรรมนูญ 60 มีปัญหาในแง่ที่มาในการจัดรัฐธรรมนูญ กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันถูกมองว่ามีที่มาที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย หาได้มีจุดยึดโยงกับประชาชนไม่ จึงไม่สามารถสร้าง หรือทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกของ "ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ" ในรัฐธรรมนูญในฐานะ "สัญญาประชาคม" (Social Contract) ได้
2. ภายหลังจากที่รัฐธรรมนูญ 60 มีผลบังคับใช้ ระบบการเมืองและระบบกฎหมายซึ่งเชื่อมโยงกับโครงสร้างทางสังคมอันเป็นผลผลิตโดยตรงมาจากรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถที่จะสร้าง "ความไว้เนื้อเชื่อใจสาธารณะ" (Public Trust) ให้แก่ภาคการเมืองและประชาชนได้ แต่กลับถูกตั้งคำถามอย่างมากและกว้างขวางถึงความมีประสิทธิภาพและความเสมอภาคของระบบการเมืองและระบบกฎหมายของกติกาสูงสุดของประเทศฉบับนี้
3. ด้วยผลจากข้อ 1.และ 2.ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญจึงอาจกล่าวได้ว่า รัฐธรรมนูญ 60 กำลังตกอยู่ในสภาวะ "วิกฤติความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ" (Crisis of Constitutional Legitimacy) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะนำไปสู่สภาวะ "วิกฤติระบอบรัฐธรรมนูญ" (Constitutional Crisis) ที่อาจส่งผลให้สถาบันการเมืองภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญ 60 ไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้ในท้ายที่สุด ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับรัฐธรรมนูญ 50
.
เมื่อรัฐธรรมนูญ 60 ไม่ได้รับการยอมรับนับถืออย่างมีนัยสำคัญตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในระบบการเมืองและระบบกฎหมาย และที่สำคัญคือ เป็นการสั่นคลอนและผุกร่อนต่อสถานะความเป็น "กฎหมายสูงสุดของประเทศ" อย่างปฏิเสธไม่ได้
.
#ถึงเวลาปฏิรูปรัฐธรรมนูญ
https://www.facebook.com/pornson.liengboonlertchai/posts/10158953409660979
เพนกวิน ย้อนเจ็บ สื่อช่องหนึ่ง เอาข่าวปลอมมาถาม ปมขอเงินนักการเมือง วัน ขำลั่น
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4888295
หลัง ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาลหมายเลขดำ ลศ. 9/2563 ที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา กล่าวหา นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชีวารักษ์ แกนนำมวลชนกลุ่ม ประชาชนปลดแอก ผู้ถูกกล่าวหาเรื่องละเมิดอำนาจศาล
ต่อมา ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหายังไม่ได้รับแผ่นบันทึกภาพและเสียงเหตุการณ์ตามคำกล่าวหา เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสในการแก้ข้อกล่าวหาและเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง จึงให้นำสำเนาแผ่นบันทึกภาพและเสียงมอบให้ผู้ถูกกล่าวหา
หากผู้ถูกกล่าวหามีข้อคัดค้าน หรือคำชี้แจงให้ยื่นเป็นคำแถลงเข้ามาในนัดหน้า และให้ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญาตรวจสอบว่า หลังจากวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ทำนองเดียวกับคำกล่าวหาเกิดขึ้นในบริเวณศาลอีกหรือไม่ แล้วรายงานให้ศาลทราบภายในนัดหน้า จึงให้เลื่อนไปไต่สวนละเมิดอำนาจศาล ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
หลังมีคำสั่งเลื่อนไต่สวนจากศาล เพนกวิน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อ ก่อนที่เขาจะโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า
เหตุเกิดที่ศาลอาญา ขณะที่ผมกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวเกี่ยวกับคดีละเมิดอำนาจศาล จู่ ๆ มีนักข่าวเนชั่นมาถามนอกประเด็น
เนชั่น : น้องคิดยังไงกับข่าวที่ว่าน้องไปขอเงินนักการเมืองพรรคเพื่อไทยคะ
เพนกวิน : ไม่เป็นความจริงเลย น่าจะเป็นข่าวปลอมที่ปล่อยโดยสื่อมวลชนที่ไม่หวังดี ซึ่งเนชั่นก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น
*ปรายตาไปมองนักข่าว*
โดยโพสต์ดังกล่าว มี นายวัน อยู่บำรุง ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย เข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยพิมพ์ 555 หัวเราะกับเรื่องดังกล่าวด้วย
ไอเอ็นจี ชี้โควิด-19 ทำเศรษฐกิจไทยซึมยาว บาทอ่อนเป็นอันดับ 2 ของสกุลเงินเอเชีย
https://www.khaosod.co.th/economics/news_4886052
ไอเอ็นจี ชี้โควิด-19 ทำเศรษฐกิจไทยซึมยาว บาทอ่อนเป็นอันดับ 2 ของสกุลเงินเอเชีย - BBCไทย
บทวิเคราะห์การเงินและเศรษฐกิจประเทศไทยของไอเอ็นจี กลุ่มธุรกิจการเงินและการธนาคารระดับโลกของเนเธอร์แลนด์ คาดเศรษฐกิจไทยจะถดถอยตลอดปีนี้และอาจจะต่อเนื่องถึงปีหน้า ส่วนค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี ส่วนหนึ่งเพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น
ไอเอ็นจีระบุว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จในการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดใหญ่ไปทั่วโลกของโควิด-19 ได้ โดยผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยติดลบ 12% ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ นับว่าแย่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในเอเชียในปี 1998 ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวและภาคการส่งออกยังคงซบเซา ไอเอ็นจีจึงคาดว่า อีกสองไตรมาสที่เหลือของปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะยังคงติดลบต่อไป โดยรวมทั้งปีจะติดลบอยู่ที่ 6.6% แย่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 1998
การเมือง ปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจ
บทวิเคราะห์ของไอเอ็นจีระบุว่า ตลาดและเศรษฐกิจของไทยมักจะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้น ช่วงกลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ทีมที่ดูแลเศรษฐกิจไทยซึ่งนำโดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก 3 คน คือ รมว.พลังงาน รมว.คลัง รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมถึงรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศลาออก ทำให้ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี
ในช่วงต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่หลายคน รวมถึงนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ อดีตผู้บริหารเครือ ปตท. ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน นายปรีดี ดาวฉาย อดีตนายธนาคาร ได้รับการแต่งตั้งเป็น รมว.คลัง แต่เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน รมว.คลังคนใหม่ก็ได้ประกาศลาออก ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในระบบเศรษฐกิจไทยขึ้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเผชิญกับการประท้วงต่อต้านของนักเรียนนักศึกษาที่เรียกร้องการปฏิรูปการเมือง รวมถึงบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในการเมือง ไอเอ็นจีคาดว่าจะมีการต่ออายุพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีกหลายรอบ ซึ่งเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่รัฐบาลใช้ในการควบคุมฝ่ายต่อต้าน โดยในช่วงแรกมีการใช้พระราชกำหนดนี้เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19
ไอเอ็นจีระบุว่าประวัติศาสตร์ช่วยให้ประเมินได้ว่าการเมืองไทยจะเลวร้ายได้มากแค่ไหน โดยครั้งนี้อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าในอดีต เพราะนอกจากความไม่พอใจต่อรัฐบาลแล้ว ยังมีคนที่ไม่พอใจเรื่องปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่นำโดยภาคการท่องเที่ยวน่าจะล่าช้าออกไปอีก
เงินบาทอ่อนค่าแล้ว 4.5%
ตลาดการเงินในประเทศเริ่มรับรู้ถึงสภาพการเมืองและเศรษฐกิจที่เลวร้ายนี้แล้ว นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. ตลาดหุ้นและค่าเงินบาทของไทยหยุดการปรับตัวขึ้นตามตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ในโลกที่กำลังฟื้นตัว ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศสูงขึ้น
นักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยทุกเดือนในปีนี้ และคาดว่าแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้จนถึงสิ้นปี ด้านค่าเงินบาทนับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 9 ก.ย. อ่อนค่าลงแล้ว 4.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ตามหลังเพียงค่าเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียที่อ่อนค่ามากที่สุด (ตัวเลขของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่าราว 6%) ขณะที่ความวุ่นวายทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้น อาจจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปอีก
นอกจากความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้นแล้ว การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ น่าจะทำให้ค่าเงินบาทเป็นหนึ่งในสกุลเงินเอเชียที่อ่อนค่าลงมากที่สุดในปีนี้
รอยเตอร์รายงานว่า ค่าเงินบาทเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 10 ก.ย. อยู่ที่ราว 31.29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ผู้ส่งออกไทยมองว่าแข็งเกินไป ทำให้สินค้าไทยในต่างแดนมีราคาสูงกว่าคู่แข่งประเทศอื่น และต้องการให้อยู่ที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ไอเอ็นจีคาดว่า สิ้นปีนี้ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับ สิ้นปี 2019 ที่ 30.22 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จะแข็งค่าขึ้นเป็น 31.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2021 และ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2022
เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย
ด้านเงินเฟ้อ ไอเอ็นจีระบุว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเศรษฐกิจไทยไปจนถึงสิ้นปีหน้า เนื่องจากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นและอุปสงค์ที่อ่อนแอทำให้เงินเฟ้อติดลบแล้ว 1% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 0.50% ซึ่งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังมีการปรับลดลง 0.75% ตั้งแต่ต้นปี และไม่น่าจะลดลงต่ำไปมากกว่านี้ ไอเอ็นจีคาดว่า การผ่อนคลายทางการเงินมากกว่าปกติยังไม่ใช่ทางเลือกในขณะนี้
ส่งออกและการท่องเที่ยวยังไม่กระเตื้อง
ตลาดการส่งออกที่สำคัญของไทยทั้งสหรัฐฯ, ยุโรป, ญี่ปุ่น และอาเซียน (รวมกันคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกของไทย) ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในประเทศหลายอย่างเช่น ปัญหาภัยแล้งทั่วประเทศ ที่อาจทำให้ผลผลิตด้านการเกษตรและการส่งออกลดลง โดยขณะนี้การส่งออกข้าวของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้รับลดเป้าหมายการส่งออกข้าวลง 13% ในปีนี้เหลือ 6.5 ล้านตัน ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ไทยอาจจะเสียตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวมากเป็นอันดับสองของโลก