โดนทวงหนี้จากบัตรเครดิต เอาชื่อและรูปไปถามเพื่อนบ้านที่ไม่ถูกกัน เหมือนเราไปฆ่าคนตาย

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ 
                     
เราอยากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง จากการทวงหนี้ ของบัตรเครดิตหนึ่ง ที่ขายหนี้ให้อีกบริษัทหนึ่งไปแล้ว
เมื่อหลายปีก่อน เราเคยเจอเหตุการณ์ การทวงหนี้แบบมาก่อนครั้งหนึ่ง โดยที่จะมีเจ้าหน้าที่ ใส่ชุดสีกากี มาที่บ้าน และบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่มาจากกรมบังคับคดี เหตุการณ์นั้น ตั้งแต่เราอยู่ทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งถูกยึดไปแล้ว เมื่อหลายปีก่อน คิดว่า น่าจะเป็นบริษัทนี้ ที่ฟ้องยึดทรัพย์ไป แต่ธนาคาร ที่เรากู้บ้าน คงขายในราคาประมูล แล้วไม่สามารถใช้หนี้ได้ การประมูล ส่วนมาก ราคาจะถูกกว่า ขายปกติ
ครั้งนั้น เจ้าหน้าที่มาพูดกับเราว่า จะเข้าไปยึดของในบ้าน ถ้าไม่ใช้หนี้ให้ พนักงาน ซึ่งวันนั้น อดีตสามี ไปยืม้งินมาจ่ายไป หมื่นกว่าบาท หลังจากนั้น เราก็พยายามหาอ่านการใช้หนี้ หรือการทวงหนี้ บัตรเครดิต บางที ทุกเรื่อง จะทำให้เรามีประสบการณ์ และในปีนั้น กฎหมายในการทวงหนี้ ยังไม่ออกมา เหมือนปัจจุบัน บางที พนักงาน คงคิดว่า ชาวบ้าน คงไม่รู้เรื่องกฎหมาย คงแบบโง่ๆ จะพูดหรือขู่ ยังไงก็ได้
จนมาเมือวาน เราไม่คิดว่า จะเป็นเจ้าหน้าที่ ของบริษัมเดิม เพราะยอดหนี้ 53,750 บาท ตอนฟ้องยึดบ้าน ก็ยอดหนี้ เราเลยคิดว่า น่าจะเป็นที่เดียวกัน พอเดินไป ก็เห็นเจ้าหน้าที่ เป็นผู้ชาย 2 คน เจ้าหน้าที่ผู้หญิง ใส่ชุดกากี 1 คน ที่บอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ มาจากกรมบังคับคดี แต่ไม่มีใครแสดงบัตร เขามาถามชื่อเรา เราเลยบอกว่า เราไม่ใช่ชื่อนี้ คนชื่อนี้ ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดแล้ว ปกติ เราไม่ค่อยโกหก แต่เราอยากรู้ว่า เขาจะทำยังไง  
หน้าบ้าน เป้นร้านค้า ที่ไม่ถูกกับเรา เจ้าหน้าที่ ไปนั่งกินน้ำร้านนั้น จนมีเจ้าหน้าที่ เดินมาบอกเราว่า เอารูปถ่ายเราไปให้ร้านค้าดู และถามชื่อเรา กับร้านค้า ว่า เราชื่อนั้น ที่เขามาหา ทำให้ เราคิดว่า เฮ้ย....? คุณทำแบบนี้ เลยหรือ เราเป็นฆาตกรหรือไง ถึงขนาดเอารูปเราและชื่อเราไปถาม ที่ร้านค้า....
และเจ้าหน้าที่ชุดกากี เขาบอกว่า เขากำลังไปเขียนหนังสือที่ร้านค้า เพื่อมาอ่านให้เราฟัง และมีข้อหนึ่ง บอกว่าจะมายึดทรัพย์ เราเลยถามว่า จะยึดทรัพย์อะไร บ้านหลังนี้ไม่ใช่ บ้านเขา เขาไม่มีทรัพย์ให้คุณยึดแล้ว และเราก็บอกว่า เขาก็อยากใช้หนี้ให้ แต่ชีวิตคนเรา ก็มักมีเรื่องราวหนักที่เกิดขึ้น จนไปไม่ไหว เหมือนกัน
และเขาจะให้เราเซ็น ในใบที่เขาแจ้ง เราบอกเลยว่าไม่เซ็น และเขาก็ยื่นเอกสาร ที่เคยขึ้นศาลมาให้ เลยคิดว่า อ้อ บริษัทเดิม ที่เคยทำจริงๆ ....ทำแบบนี้...เลยหรือ....
จนเราเดินไปหาที่ร้านค้า ไปถามเขาว่า เมื่อกี้ ที่เขามาถามคุณ ถึงชื่อเรา คุณบอกเขาหรือว่า เราชื่ออะไร เขาเลยบอกว่า ก็เจ้าหน้าที่ถาม และเอารูปให้ดู เลยบอกว่า เราชื่อนั้น ร้านค้า นั้น อยู่กัน 2 คน อีกคนหนึ่งเลยบอกว่า บ้านนี้ ไม่ชอบโกหก ชอบพูดตรงๆ แล้วบอกอีกคนว่า เฮ้ย ..มึ..โทรไปหาเจ้าหน้าที่ซิ..มีอะไรมาถามเดี๋ยวกุ..บอกให้หมด
เราเลยบอกว่า ถ้าเขามาถาม ก็ไม่จำเป็นต้องบอกชื่อมั๊ย คนเราทุกคน ก็มีเรื่องราว อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิต...ทั้งนั้น ขนาดเรายังไม่รู้เลยว่า คุณชื่อจริง ชื่ออะไร และเราก็คงไม่ยุ่ง
เขาตอบกลับมาว่า อ้อ บ้านนี้ ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก บ้านนี้เป็นคนดี ไม่ทำเรื่องสร้างหนี้หรอก....เหมือนสะใจเรา ...เรามากๆ ที่มีคนมาทวงหนี้ แบบนี้ 
ถ้า พวกคุณ เจอคนแบบนี้ คุณจะทำยังไง......ค่ะ พนักงาน ทวงหนี้ จะรู้ม๊ยว่า เราถูก เยาะเย้ยถากถาง จากการะทำของพวกคุณ เงิน 5 หมื่นกว่า คุณทำให้ชีวิต คนๆหนึ่ง ถูกสะใจแบบนี้เลยหรือ .....เราฆ่าคนตายหรือค่ะ....
และบอกได้เลย หมายศาลที่มายื่นให้ คือ วันที่ 15 ตุลาคม 2553
ยังจิกเรา ให้จมดินไปเลยหรือ ความเป็นมนุษย์ เป็นแบบนี้หรือ.....
พูดตรงๆ นะคะ ในสมัยนั้น เราต้องทำงานคนเดียว ดูแลลูก 2 คน ค่าใช้จ่าย ทุกอย่างคือคนเดียว เราก็อยากใช้หนี้ทั้งหมดจริงๆ และ เมื่อหลายปีก่อน เราป่วย แบบทรมาน จนเคยคิดช่วงนั้น ว่า ถ้าตายไปได้ ก้คงดี จะได้หลุดพ้น ความทุกข์ แต่ก็ได้แต่คิด
และในช่วงนี้ อยู่ๆ ตาข้างซ้ายเรา อยู่ๆ ก็มองไม่เห็น ฝ้าไปเลย ไปหา หมอ ที่รพ.ครั้งแรก เจ้าหน้าที่ ส่งตัวเราไปห้องตรวจทั่วไป คุณหมอ รักษาระยะของโควิท ส่องไฟฉาย และบอกว่า ตาเป็นต้อ เอายาไปหยอด เพราะผ่าไป ก็ขึ้นมาอีก.....คุณคิดว่า ขณะที่ตามองไม่เห็น หมอทำแค่นี้หรือ จนเรา โทรไป 1330 ถามว่า เรามองไม่เห็นหมอทำแค่นี้หรือค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่า ให้เรากลับไปที่เดิม ถ้าหมอไม่ส่ง เข้าห้องตรวจตา ให้โทรหาเจ้าหน้าที่
สรุปคือ เราต้องไปหาหมออีกหนึ่ง โดยการเสียเงิน ไม่ได้ใช้สิทธิ์ 30 บาทรักษา เพราะตามันมองไม่เห็น ไปข้างหนึ่ง
ทั้ง 2 เหตุการณ์นี้ ทำให้เรา อยากกลับที่ต่างจังหวัด อยากไปตายอยู่บ้านนอก ถ้าตาย ก็มีคนฝัง และ อย่าถึงลูก เพราะเรามีลูกชาย ซึ่ง เราเป็นแม่ ที่จะไม่อยากถาม ให้ลูกมาดูแล เพราะมันจะเศร้าใจซะมากกว่าค่ะ  มันคือ ความทุกข์ ที่เศร้าและทุกข์ใจ.....
เมือเดือนก่อน เราก็กลับไปต่างจังหวัด เพื่อดูที่ทาง ที่จะกลับไปใช้ชีวิต ต่างจังหวัด ไปไว้ที่จากไป ตั้งแต่ เรา 10 ขวบ ว่า เรากำลังจะกลับไปอยู่บ้าน อยากกลับไปฝังร่างตัวเองที่บ้าน ไม่อยากอยู่กรุงเทพ เพราะ วันที่เราเจ็บป่วย ลุกๆ เราก็ค่อยถาม ตามองไม่เห็น เต็มร้อย ก็ต้องขับรถไปหาหมอเอง.....
เราไม่อยากให้ ลูกๆเรา ติดกรรม กับเรา.....และมาเจอเรื่องแบบนี้อีก .....บางที มันก็จุก...ค่ะ ดี ที่มีพี่ชาย และเพื่อนๆ ดีๆ ที่ยังคอยให้กำลังใจ....จะกลับไปบ้าน ก็ต้องมีเงินที่จะไปปลูกบ้าน....ก็ยังไม่รู้ว่า จะเอาเงินที่ไหน ก็คงยืมเงินน้องชาย....
เราคิดว่า เราพยายามที่สุดแล้ว อดทนกับทุกๆเรื่อง....แล้วจริงๆ....
อีกเรื่องหนึ่งค่ะ เมื่อวาน เราเข้าไปอ่านข้อมูล การทวงหนี้.....เราคิดว่า อาจเป็นประโยชน์ กับ อีกหลายๆคนค่ะ
สำหรับผู้ที่ใช้ บัตรเครดิต การเป็นหนี้บัตรเครดิตเป็นอะไรที่ไม่น่าที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยแม้แต่น้อย เพราะจะต้องถูกทวงถามหนี้อยู่บ่อย ๆ และบางครั้ง ผู้ทวงถามหนี้บัตรเครดิต ยังนำข้อมูลการเป็นหนี้ของเราไปเล่าให้คนอื่นฟังให้เราได้รับความอับอาย เพื่อกดดันให้เราหาเงินมาชำระหนี้อีกตังหาก
เพื่อไม่ให้มีการข่มขู่จนเป็นเหตุให้มีการสูญเสียอย่างที่ปรากฏเป็นข่าวกันอยู่บ่อย ๆ ทางภาครัฐฯ จึงได้ออกกฎหมายพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 เพื่อคุ้มครองลูกหนี้บัตรเครดิตจากการถูกทวงถามหนี้อย่างไม่เป็นธรรม MoneyGuru.co.th จึงได้นำข้อมูลเกี่ยวกับข้อห้ามในการทวงหนี้มาให้ผู้ใช้บัตรเครดิตได้อ่านกัน เผื่อว่าเวลาที่เป็นหนี้บัตรเครดิตเข้าจริง ๆ จะได้ปกป้องสิทธิตัวเองได้อย่างถูกต้องครับ
1. ห้ามติดต่อกับคนอื่นซึ่งไม่ใช่ลูกหนี้บัตรเครดิต หรือคนที่ลูกหนี้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้
ข้อนี้สำคัญมาก เพราะก่อนที่จะมีกฎหมายฉบับนี้ เจ้าหนี้มักจะติดต่อไปยังเพื่อนรวมงาน หรือนายจ้างของลูกหนี้บัตรเครดิต และบอกเล่าเกี่ยวกับความเป็นหนี้ของลูกหนี้บัตรเครดิตให้ฟัง เพื่อให้ลูกหนี้บัตรเครดิตได้รับความอับอาย กฎหมายฉบับใหม่นี้ อนุญาตให้ติดต่อกับบุคคลอื่นได้ ก็ต่อเมื่อเพื่อถามที่อยู่และสถานที่ติดต่อลูกหนี้ และห้ามบอกถึงความเป็นหนี้ของลูกหนี้ ยกเว้นแต่ว่า บุคคลอื่นที่ติดต่อเป็นบุพการี คู่สมรส หรือบุตร และบุคคลดังกล่าวได้สอบถามถึงสาเหตุที่ต้องการติดต่อลูกหนี้ จึงจะสามารถบอกกล่าวถึงความเป็นหนี้ของลูกหนี้ได้ครับ
2. ห้ามติดต่อลูกหนี้บัตรเครดิตไปยังสถานที่อื่น ต้องติดต่อตามสถานที่ที่ลูกหนี้ได้ระบุไว้
ในกรณีที่ติดต่อทางไปรษณีย์ จะต้องติดต่อไปตามที่อยู่ที่ลูกหนี้ระบุไว้เพื่อการทวงถามหนี้เท่านั้น แต่ถ้าลูกหนี้บัตรเครดิตไม่ได้แจ้งไว้ และเจ้าหนี้ได้พยายามติดต่อตามสมควรแล้ว กฎหมายก็อนุญาตให้ติดต่อไปยังสถานที่ทำงาน หรือถิ่นที่อยู่ หรือภูมิลำเนาของลูกหนี้ได้ครับ
3. ห้ามติดต่อนอกเวลา
การติดต่อลูกหนี้บัตรเครดิตทางโทรศัพท์ ในวันจันทร์ – ศุกร์ จะต้องติดต่อภายในเวลา 8:00น. – 20:00น. และในวันหยุดราชการ ต้องติดต่อภายในเวลา 8:00น. – 18:00น. เท่านั้น หรือเวลาอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนดครับ
4. ห้ามทวงหนี้โดยไม่ได้รับมอบอำนาจ
ในกรณีที่ผู้ทวงถามหนี้ไม่ใช่เจ้าหนี้ จะต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจของเจ้าหนี้ให้แก่ลูกหนี้บัตรเครดิตดูด้วย เมื่อมีการทวงถามหนี้ และเมื่อลูกหนี้บัตรเครดิตชำระหนี้ ให้ออกหลักฐานการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ได้ด้วย และหากลูกหนี้บัตรเครดิตชำระหนี้ไปโดยสุจริตให้แก่ผู้ทวงถามหนี้แล้ว ให้ถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบแก่เจ้าหนี้ ไม่ว่าผู้ทวงถามหนี้จะได้รับมอบอำนาจมาจริงหรือไม่
5. ห้ามกระทำการทวงถามหนี้โดยใช้วิธีการไม่สุจริต
วิธีการที่ไม่สุจริตได้แก่ การข่มขู่ การใช้ความรุนแรง การทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียง ทรัพย์สินของลูกหนี้หรือผู้อื่น หรือ เปิดเผยความเป็นหนี้ของลูกหนี้ต่อผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือใช้วาจาดูหมิ่นลูกหนี้หรือผู้อื่น หรือติดต่อลูกหนี้โดยไปรษณียบัตร เอกสารเปิดผนึก โทรสารที่เปิดเผยว่าเป็นการทวงถามหนี้อย่างชัดเจน หรือใช้ข้อความหรือสัญลักษณ์บนซองจดหมายในการติดต่อลูกหนี้ที่ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการทวงถามหนี้
6. ห้ามใช้ข้อความอันเป็นเท็จ
ห้ามใช้ข้อความ สัญลักษณ์ เครื่องแบบ ที่ทำให้ลูกหนี้เข้าใจได้ว่าเป็นการกระทำของศาล เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ หรือการแสดง ใช้ข้อความที่ทำให้ลูกหนี้เข้าใจได้ว่าเป็นการทวงถามหนี้โดยทนายความหรือสำนักงานทนายความ หรือแสดง ใช้ข้อความที่ทำให้ลูกหนี้เชื่อว่าจะถูกดำเนินคดี หรือถูกยึด อายัดทรัพย์หรือเงินเดือน หรือติดต่อหรือแสดงตนที่ทำให้ลูกหนี้เชื่อได้ว่าผู้ทวงถามหนี้จะนำข้อมูลของลูกหนี้ส่งให้บริษัทข้อมูลเครดิต
ข้อห้ามทั้ง 6 ข้อ เป็นข้อห้ามหลัก ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับการทวงถามหนี้ ซึ่งหากคุณผู้อ่านประสบกับพฤติกรรมการทวงถามหนี้บัตรเครดิตเหล่านี้ สามารถแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีได้เลยครับ โทษตามกฎหมายใหม่นี้ มีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับครับ โดยโทษจำคุกต่ำสุดจะอยู่ที่ 3 เดือน สูงสุดอยู่ที่ 5 ปี และโทษปรับต่ำสุดอยู่ที่ 30,000 บาท สูงสุดอยู่ที่ 500,000 บาทครับ และหากคุณผู้อ่านสนใจข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับบัตรเครดิตก็สามารถติดตามต่อได้ที่ MoneyGuru.co.th ครับ
และเมื่อวาน เราก็ได้โทรถาม มูลนิธิ เพื่อผู้บริโภค ด้วยค่ะ หลังจากที่เราอ่านกฎหมาย นี้แล้ว เขาแนะนำให้เราไปแจ้งความ และส่งเรื่องราว ไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย และ ส่งไปที่บริษัท ด้วยค่ะ
เราคิดว่า ยังมีอีกหลายๆคน ในโลก ที่ได้พยายาม อยากใช้หนี้ แต่ความคิด กับ ความเป็นจริง มักไม่เหมือนกัน และ ยิ่งพอเราอายุมากขึ้น มาเจอกับ โรคภัยอีก จิตใจ ที่เกิดขึ้นกับทุกเรื่อง ทำให้การใช้ชีวิต อย่างปกติ มันหายไป .....ท้อแท้....เศร้าใจ ...กับทุกปัญหา....ถ้าเข้มแข็งไม่พอ...คงไปต่อไม่ไหว.....
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
อ่านให้แล้วกัน

และ


หนหน้าจะทำหนี้เพิ่ม ก็อดทนอดกลั้น ลดความอยาก ดูดีๆ มันจำเป็นไหม  
แล้วก็คิดถึงว่าตอนโดนทวงมันเป็นยังไง อดความอยากได้ก็อดเสีย

พูดเองนี่ก็เพิ่งทำหนี้มา ผ่อนอีกหลายเดือน กลัวเหมือนกัน 555
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่