คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ข้อความเราอาจจะมีบางท่อนที่ไม่ได้สวยงาม แนะนำให้อ่านหลัง จขกท เลิกเฮิร์ตแล้ว และพร้อมจะกัดฟันสู้รอบใหม่นะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1) ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ขยันจะประสบความสำเร็จค่ะ แต่ตามที่ คห.บน บอก คือทุกความสำเร็จจะมีความขยันเป็นส่วนประกอบ
2) หยุดตั้งคำถามว่าทำไมฉันไม่ผ่าน ทำไมฉันไม่ได้ และหยุดโทษข้อสอบหรือหน่วยงานที่ออกข้อสอบ แต่ควรปรับ mind set ใหม่ แล้วถามตัวเองว่าวิชาไหนที่เราทำไม่ได้ ตรงไหนที่มันพลาด หาจุดบอดของตัวเองให้เจอแล้วปิดมันให้ได้ เพราะถ้าปิดไม่ได้มันก็จะวนซ้ำเดิมไปแบบนี้
3) คุณอยู่กับตัวเองมากไปหรือเปล่า เลยคิดว่าตัวเองพยายามมากๆ แล้ว ลองถอยออกมามองในมุมที่กว้างขึ้นดูค่ะ อาจจะเห็นว่าคนที่เขาผ่านนั้นเขาอาจจะพยายามมากกว่า อ่านเยอะกว่า ทำข้อสอบมากกว่า และติวจากหลายสำนักกว่า
4) คนที่สอบผ่านไม่เกี่ยวกับดีหรือไม่ดีตรงไหน อย่าได้หาคิดอะไรแบบนี้ เพราะปัจจัยที่สำคัญคือคุณอ่านถูกจุดไหม จำที่ควรจำหรือจำไปแต่น้ำแล้วละเลยเนื้อ ข้อสอบรอบนี้เน้นการวิเคราะห์เป็นหลัก ถ้าคุณอ่านหนังสือจนตกผลึกในหัว คุณจะเชื่อมโยงได้และจะทำข้อสอบได้ แต่ถ้าคุณอ่านแค่จำและเข้าใจ แต่ไปไม่ขึ้นขั้นวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า ก็ไม่แปลกถ้าจะมีจุดที่ตอบผิดตอบพลาด
5) เลิกคิดอะไรที่บั่นทอนตัวเอง แต่จงพยายามให้มากขึ้น แต่ถ้า จขกท คิดว่าพยายามมาพอแล้ว เราอยากให้ลองอ่านข้างล่างดูว่ามันมากอย่างที่ จขกท คิดจริงไหม เราไม่ได้จะซ้ำเติม แต่อยากให้ จขกท มีสติ และพิจารณาทุกอย่างด้วยเหตุผล เพราะคนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักตกหลุมพรางของตัวเอง เข้าข้างตัวเองว่าฉันอ่านเยอะ อ่านมาก พยายามมาก …นั่นเพราะเราไม่ได้เห็นว่าคนอื่นเขาอ่านแค่ไหน
—————
ด้านล่างนี้เป็นสิ่งที่ลูกพี่ลูกน้องเราทำช่วงเตรียมสอบ และสอบผ่านนะคะ น้องมาอยู่กับเราช่วงก่อนสอบเลยจะเห็นพฤติกรรมและการเตรียมตัวของน้องโดยตชอด ซึ่งน้องไม่ได้จบเอกที่คนผ่านเยอะๆ ค่ะ ไม่ได้เรียนเอกคณิต วิทย์ หรืออังกฤษ และไม่ได้เรียนสายครูมาโดยตรงด้วย น้องเริ่มอ่านหนังสือช่วงปลายปี 62 แล้วก็ทิ้งช่วงไปตอนล็อกดาวน์ จากนั้นเพิ่งกลับมาอ่านใหม่ช่วงเดือนมิถุนายน และในกรอบ มิ.ย. จนถึงวันสอบ น้องจะทำแบบด้านล่างนี้ เราลงไว้เผื่อว่าใครจะเอาไปปรับใช้กับตัวเองนะคะ และก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง
- เปิดคลิปในยูทูปฟังทุกครั้งที่ฟังได้ เช่น ตอนอยู่บนรถ ตอนทำกับข้าว ตอนล้างจาน ซักผ้า อาบน้ำ บางคลิปเปิดซ้ำไม่ต่ำกว่า 5 รอบ บางอันเราได้ยินจนแทบจะท่องตามได้ (นางคลิปคิดว่าเกิน 10 รอบ)
- เลือก ‘อ่าน’ แค่วิชาที่ต้องอาศัยการจำมากหน่อย เช่นวิชาเอก ภาษาไทย บางวิชาน้องไม่อ่านหรืออ่านแค่รอบเดียวเท่านั้น ซึ่งวิชาพวกนั้นน้องจะเน้นฟังคลิปและทำข้อสอบ (ตรงนี้คิดว่าขึ้นอยู่กับความถนัดและพื้นฐานเดิม)
- น้องไม่เก่งภาษาอังกฤษ แกรมม่าเละเทะ แต่หลังเกณฑ์ออกน้องก็หาทุกช่องทางที่จะสามารถพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองได้ หาเพจ/กรุ๊ปที่ติวเตอร์สอนดี เพจไหนดูแล้วไม่คลิกก็หาที่ใหม่ หัดทำข้อสอบ น้องใช้เวลาจริงๆ จังๆ กับมันประมาณ 3 สัปดาห์ก่อนสอบ
- ชีตคณิตศาสตร์น้องมีเป็นตั้ง หาตามในกลุ่มติว หัดทำโจทย์เกินกว่า 500 ข้อ มีสมุดจดสูตรและตัวอย่างที่น่าสนใจแยกต่างหาก สำหรับอ่านทวน (แก้ไข เราเพิ่งไปเปิดๆ ดู รู้สึกว่าน่าจะเกินพันข้อไปเยอะอยู่)
- หัดทำข้อสอบตามเพจ เข้ากรุ๊ปแบบเสียเงินไม่เยอะ เห็นลงทุนเยอะแต่กับวิชาเอก บางข้อที่เพจเฉลยแล้วรู้สึกแปลกๆ ก็จะหาคนถามจนได้คำตอบที่เคลียร์
- หลังเกณฑ์ออกก็อ่านและทำความเข้าใจเกณฑ์อยู่หลายรอบก่อนจะวางแผนการอ่านหนังสือในช่วงสองสามเดือนหลัง แต่เพื่อนน้องบางคนไม่อ่านหรือวิเคราะห์เกณฑ์เลย หลายคนบ่นกระทรวงบ้าง บ่นมหาลัยที่ออกข้อสอบบ้าง แต่เราซึ่งเป็นคนนอกหยิบกรอบมาอ่านแล้วเทียบกับข้อสอบจริงแล้วเราว่าเราเก็ทนะ ว่าทำไมมันออกแบบนี้
- ลงสอบสนามต่างๆ เท่าที่จะมีโอกาสเพื่อดูทิศทางการออกข้อสอบ ถ้าสนามไหนไม่ได้ลงก็จะดูแนวข้อสอบที่คนเข้าสอบเอาออกมาแชร์ ตั้งแต่จบมาน้องสอบไป 4 สนาม รวม สพฐ ซึ่งทุกครั้งที่ไปสอบ น้องจะเอาข้อสอบที่งงๆ มาถามเราตลอด บางครั้งเจอคำถามสัมภาษณ์ที่ไม่แน่ใจว่าควรจะตอบยังไงมาก็เอามาถามเช่นกัน
- น้องอ่านภาษาไทยเฉพาะบางจุดที่ข้อสอบอาจจะออก เช่น ราชาศัพท์ คำสุภาพ สำนวน คำไวพจน์ ไม่ได้อ่านหมดแต่ก็ไม่ได้ทิ้งวิชานี้เพียงเพราะคิดว่ามันง่ายเสียทีเดียว ตรงไหนอ่อนก็หาข้อสอบมาทำวนๆ ไป
- ถ้าง่วง น้องจะไม่ฝืนอ่าน ช่วงไหนในบ้านเสียงดัง วุ่นวาย จะเปิดคลิปแล้วเสียบหูฟังเอา แต่ถ้ามีความเป็นส่วนตัว เริ่มสงบ เช่น 22.00-00.00 จะอ่านส่วนที่แยกไว้สำหรับอ่าน แต่ไม่เคยฝืนร่างกาย
- ข้อไหนที่น้องต้องการความเห็นหรือไม่มั่นใจในคำตอบจะต้องหาคนถามเพื่อความเคลียร์ทุกครั้ง
- หาเทคนิคการอ่าน การจำ การทำข้อสอบจากหลายที่ (ส่วนใหญ่ในยูทูป) ไม่ได้ฟังแค่จากที่เราแนะนำหรืออยู่แค่กับตัวเอง แชทถามเพื่อนหรือรุ่นพี่บ้าง แต่จะไม่ได้ถามแค่คนเดียว เพราะถ้าคุยกับเพื่อน 1-2 คน แล้วดันมีแนวคิดแบบเดียวกัน เวลาผิดจะผิดไปด้วยกัน ตรงนี้เราเลยแนะนำให้น้องเลือกถามคนที่น้องคิดว่าจะให้คำตอบสำหรับข้อนั้นๆ ได้ (เคยมีเลขอยู่ข้อนึง เพื่อนในกลุ่มน้องตอบเหมือนกันหมด และอธิบายวิธีคิดเสร็จสรรพ แต่น้องไม่แน่ใจเลยมาถามเรา เราคิดให้ และให้เพื่อนที่เป็นครูสอนเลขช่วยคิดอีกสองคน สรุปคือ ที่เพื่อนน้องอธิบายมันผิดหมด …นี่คือตัวอย่างของการที่ติวกับเพื่อนแล้วพากันผิด)
- ทุกครั้งที่ลองทำข้อสอบจะเช็กตัวเองตลอดว่าพลาดตรงไหน เพราะบางทีคิดว่าทำได้แต่ก็โดนข้อสอบหลอกเอา (สิ่งที่น่ากลัวที่สุดตอนทำข้อสอบ คือการที่เราตกหลุมพรางข้อสอบ และเลือกข้อที่ผิดด้วยความมั่นใจ)
-จดโน้ตย่อทุกหัวข้อที่สำคัญไว้ในสมุดเล่มเดียวแล้วพกไปทุกที่ สงสัยอะไร ลืมตรงไหนก็เปิดดูเลย
- ตอนสอบ วิชาแรกเราบอกให้น้องทำภาษาไทยก่อน ส่วนคณิตให้น้องแสกนคร่าวๆ แล้ววงข้อคิดน่าจะใช้เวลาทำไม่นานเอาไว้ ทำไทยเสร็จค่อยทำคณิต เพราะมันเป็นข้อสอบแนว speed test ที่จะดูว่าคนสอบจัดสรรเวลาเป็นไหม บางคนไม่วางแผน ลุยตั้งแต่หน้าแรกแล้วก็โดนคณิตดัก …ถามว่าน้องเราทำทันมั้ย ก็ไม่ทันนะ บางข้อก็สปีดมากไปจนพลาด แต่ก็เก็บไปได้ราวๆ แปดสิบข้อ พอใกล้หมดเวลาก็เดามั่วกับข้อที่เหลือ แต่เน้นดูตัวเลือกที่น่าจะเป็นแล้วกาให้ครบช่องก่อน ดีที่ยังพอมีเวลาเลยมาคิดข้อที่พอทำได้แล้วแก้คำตอบเอาทีหลัง
———————
ทริกแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน แต่เท่าที่เราถามน้อง เพื่อนน้องที่สอบผ่าน ส่วนใหญ่มักมีพื้นฐานด้านการคิดวิเคราะห์ในระดับปานกลาง ค่อนไปทางสูง อยู่แล้ว ดังนั้น ใครอ่อนเรื่องการวิเคราะห์แล้วสอบไม่ผ่านก็ไม่แปลก แต่การที่ไม่ผ่านแล้วรู้จุดด้อยและกลับไปพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถที่ครบถ้วนตามเกณฑ์ มันยังมีแนวโน้วว่าอนาคตอาจจะผ่านในสักวัน แต่ถ้าไม่ผ่านแล้วเอาแต่นั่งเฉยๆ และเรียกร้องให้เขาลดเกณฑ์มาหาตัวเองนั้น พยากรณ์ได้ว่าไม่น่าจะผ่าน จนกว่าจะปรับทัศนคติตัวเองใหม่
ปล.แก้คำผิด เพิ่มข้อมูล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1) ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ขยันจะประสบความสำเร็จค่ะ แต่ตามที่ คห.บน บอก คือทุกความสำเร็จจะมีความขยันเป็นส่วนประกอบ
2) หยุดตั้งคำถามว่าทำไมฉันไม่ผ่าน ทำไมฉันไม่ได้ และหยุดโทษข้อสอบหรือหน่วยงานที่ออกข้อสอบ แต่ควรปรับ mind set ใหม่ แล้วถามตัวเองว่าวิชาไหนที่เราทำไม่ได้ ตรงไหนที่มันพลาด หาจุดบอดของตัวเองให้เจอแล้วปิดมันให้ได้ เพราะถ้าปิดไม่ได้มันก็จะวนซ้ำเดิมไปแบบนี้
3) คุณอยู่กับตัวเองมากไปหรือเปล่า เลยคิดว่าตัวเองพยายามมากๆ แล้ว ลองถอยออกมามองในมุมที่กว้างขึ้นดูค่ะ อาจจะเห็นว่าคนที่เขาผ่านนั้นเขาอาจจะพยายามมากกว่า อ่านเยอะกว่า ทำข้อสอบมากกว่า และติวจากหลายสำนักกว่า
4) คนที่สอบผ่านไม่เกี่ยวกับดีหรือไม่ดีตรงไหน อย่าได้หาคิดอะไรแบบนี้ เพราะปัจจัยที่สำคัญคือคุณอ่านถูกจุดไหม จำที่ควรจำหรือจำไปแต่น้ำแล้วละเลยเนื้อ ข้อสอบรอบนี้เน้นการวิเคราะห์เป็นหลัก ถ้าคุณอ่านหนังสือจนตกผลึกในหัว คุณจะเชื่อมโยงได้และจะทำข้อสอบได้ แต่ถ้าคุณอ่านแค่จำและเข้าใจ แต่ไปไม่ขึ้นขั้นวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า ก็ไม่แปลกถ้าจะมีจุดที่ตอบผิดตอบพลาด
5) เลิกคิดอะไรที่บั่นทอนตัวเอง แต่จงพยายามให้มากขึ้น แต่ถ้า จขกท คิดว่าพยายามมาพอแล้ว เราอยากให้ลองอ่านข้างล่างดูว่ามันมากอย่างที่ จขกท คิดจริงไหม เราไม่ได้จะซ้ำเติม แต่อยากให้ จขกท มีสติ และพิจารณาทุกอย่างด้วยเหตุผล เพราะคนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักตกหลุมพรางของตัวเอง เข้าข้างตัวเองว่าฉันอ่านเยอะ อ่านมาก พยายามมาก …นั่นเพราะเราไม่ได้เห็นว่าคนอื่นเขาอ่านแค่ไหน
—————
ด้านล่างนี้เป็นสิ่งที่ลูกพี่ลูกน้องเราทำช่วงเตรียมสอบ และสอบผ่านนะคะ น้องมาอยู่กับเราช่วงก่อนสอบเลยจะเห็นพฤติกรรมและการเตรียมตัวของน้องโดยตชอด ซึ่งน้องไม่ได้จบเอกที่คนผ่านเยอะๆ ค่ะ ไม่ได้เรียนเอกคณิต วิทย์ หรืออังกฤษ และไม่ได้เรียนสายครูมาโดยตรงด้วย น้องเริ่มอ่านหนังสือช่วงปลายปี 62 แล้วก็ทิ้งช่วงไปตอนล็อกดาวน์ จากนั้นเพิ่งกลับมาอ่านใหม่ช่วงเดือนมิถุนายน และในกรอบ มิ.ย. จนถึงวันสอบ น้องจะทำแบบด้านล่างนี้ เราลงไว้เผื่อว่าใครจะเอาไปปรับใช้กับตัวเองนะคะ และก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง
- เปิดคลิปในยูทูปฟังทุกครั้งที่ฟังได้ เช่น ตอนอยู่บนรถ ตอนทำกับข้าว ตอนล้างจาน ซักผ้า อาบน้ำ บางคลิปเปิดซ้ำไม่ต่ำกว่า 5 รอบ บางอันเราได้ยินจนแทบจะท่องตามได้ (นางคลิปคิดว่าเกิน 10 รอบ)
- เลือก ‘อ่าน’ แค่วิชาที่ต้องอาศัยการจำมากหน่อย เช่นวิชาเอก ภาษาไทย บางวิชาน้องไม่อ่านหรืออ่านแค่รอบเดียวเท่านั้น ซึ่งวิชาพวกนั้นน้องจะเน้นฟังคลิปและทำข้อสอบ (ตรงนี้คิดว่าขึ้นอยู่กับความถนัดและพื้นฐานเดิม)
- น้องไม่เก่งภาษาอังกฤษ แกรมม่าเละเทะ แต่หลังเกณฑ์ออกน้องก็หาทุกช่องทางที่จะสามารถพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองได้ หาเพจ/กรุ๊ปที่ติวเตอร์สอนดี เพจไหนดูแล้วไม่คลิกก็หาที่ใหม่ หัดทำข้อสอบ น้องใช้เวลาจริงๆ จังๆ กับมันประมาณ 3 สัปดาห์ก่อนสอบ
- ชีตคณิตศาสตร์น้องมีเป็นตั้ง หาตามในกลุ่มติว หัดทำโจทย์เกินกว่า 500 ข้อ มีสมุดจดสูตรและตัวอย่างที่น่าสนใจแยกต่างหาก สำหรับอ่านทวน (แก้ไข เราเพิ่งไปเปิดๆ ดู รู้สึกว่าน่าจะเกินพันข้อไปเยอะอยู่)
- หัดทำข้อสอบตามเพจ เข้ากรุ๊ปแบบเสียเงินไม่เยอะ เห็นลงทุนเยอะแต่กับวิชาเอก บางข้อที่เพจเฉลยแล้วรู้สึกแปลกๆ ก็จะหาคนถามจนได้คำตอบที่เคลียร์
- หลังเกณฑ์ออกก็อ่านและทำความเข้าใจเกณฑ์อยู่หลายรอบก่อนจะวางแผนการอ่านหนังสือในช่วงสองสามเดือนหลัง แต่เพื่อนน้องบางคนไม่อ่านหรือวิเคราะห์เกณฑ์เลย หลายคนบ่นกระทรวงบ้าง บ่นมหาลัยที่ออกข้อสอบบ้าง แต่เราซึ่งเป็นคนนอกหยิบกรอบมาอ่านแล้วเทียบกับข้อสอบจริงแล้วเราว่าเราเก็ทนะ ว่าทำไมมันออกแบบนี้
- ลงสอบสนามต่างๆ เท่าที่จะมีโอกาสเพื่อดูทิศทางการออกข้อสอบ ถ้าสนามไหนไม่ได้ลงก็จะดูแนวข้อสอบที่คนเข้าสอบเอาออกมาแชร์ ตั้งแต่จบมาน้องสอบไป 4 สนาม รวม สพฐ ซึ่งทุกครั้งที่ไปสอบ น้องจะเอาข้อสอบที่งงๆ มาถามเราตลอด บางครั้งเจอคำถามสัมภาษณ์ที่ไม่แน่ใจว่าควรจะตอบยังไงมาก็เอามาถามเช่นกัน
- น้องอ่านภาษาไทยเฉพาะบางจุดที่ข้อสอบอาจจะออก เช่น ราชาศัพท์ คำสุภาพ สำนวน คำไวพจน์ ไม่ได้อ่านหมดแต่ก็ไม่ได้ทิ้งวิชานี้เพียงเพราะคิดว่ามันง่ายเสียทีเดียว ตรงไหนอ่อนก็หาข้อสอบมาทำวนๆ ไป
- ถ้าง่วง น้องจะไม่ฝืนอ่าน ช่วงไหนในบ้านเสียงดัง วุ่นวาย จะเปิดคลิปแล้วเสียบหูฟังเอา แต่ถ้ามีความเป็นส่วนตัว เริ่มสงบ เช่น 22.00-00.00 จะอ่านส่วนที่แยกไว้สำหรับอ่าน แต่ไม่เคยฝืนร่างกาย
- ข้อไหนที่น้องต้องการความเห็นหรือไม่มั่นใจในคำตอบจะต้องหาคนถามเพื่อความเคลียร์ทุกครั้ง
- หาเทคนิคการอ่าน การจำ การทำข้อสอบจากหลายที่ (ส่วนใหญ่ในยูทูป) ไม่ได้ฟังแค่จากที่เราแนะนำหรืออยู่แค่กับตัวเอง แชทถามเพื่อนหรือรุ่นพี่บ้าง แต่จะไม่ได้ถามแค่คนเดียว เพราะถ้าคุยกับเพื่อน 1-2 คน แล้วดันมีแนวคิดแบบเดียวกัน เวลาผิดจะผิดไปด้วยกัน ตรงนี้เราเลยแนะนำให้น้องเลือกถามคนที่น้องคิดว่าจะให้คำตอบสำหรับข้อนั้นๆ ได้ (เคยมีเลขอยู่ข้อนึง เพื่อนในกลุ่มน้องตอบเหมือนกันหมด และอธิบายวิธีคิดเสร็จสรรพ แต่น้องไม่แน่ใจเลยมาถามเรา เราคิดให้ และให้เพื่อนที่เป็นครูสอนเลขช่วยคิดอีกสองคน สรุปคือ ที่เพื่อนน้องอธิบายมันผิดหมด …นี่คือตัวอย่างของการที่ติวกับเพื่อนแล้วพากันผิด)
- ทุกครั้งที่ลองทำข้อสอบจะเช็กตัวเองตลอดว่าพลาดตรงไหน เพราะบางทีคิดว่าทำได้แต่ก็โดนข้อสอบหลอกเอา (สิ่งที่น่ากลัวที่สุดตอนทำข้อสอบ คือการที่เราตกหลุมพรางข้อสอบ และเลือกข้อที่ผิดด้วยความมั่นใจ)
-จดโน้ตย่อทุกหัวข้อที่สำคัญไว้ในสมุดเล่มเดียวแล้วพกไปทุกที่ สงสัยอะไร ลืมตรงไหนก็เปิดดูเลย
- ตอนสอบ วิชาแรกเราบอกให้น้องทำภาษาไทยก่อน ส่วนคณิตให้น้องแสกนคร่าวๆ แล้ววงข้อคิดน่าจะใช้เวลาทำไม่นานเอาไว้ ทำไทยเสร็จค่อยทำคณิต เพราะมันเป็นข้อสอบแนว speed test ที่จะดูว่าคนสอบจัดสรรเวลาเป็นไหม บางคนไม่วางแผน ลุยตั้งแต่หน้าแรกแล้วก็โดนคณิตดัก …ถามว่าน้องเราทำทันมั้ย ก็ไม่ทันนะ บางข้อก็สปีดมากไปจนพลาด แต่ก็เก็บไปได้ราวๆ แปดสิบข้อ พอใกล้หมดเวลาก็เดามั่วกับข้อที่เหลือ แต่เน้นดูตัวเลือกที่น่าจะเป็นแล้วกาให้ครบช่องก่อน ดีที่ยังพอมีเวลาเลยมาคิดข้อที่พอทำได้แล้วแก้คำตอบเอาทีหลัง
———————
ทริกแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน แต่เท่าที่เราถามน้อง เพื่อนน้องที่สอบผ่าน ส่วนใหญ่มักมีพื้นฐานด้านการคิดวิเคราะห์ในระดับปานกลาง ค่อนไปทางสูง อยู่แล้ว ดังนั้น ใครอ่อนเรื่องการวิเคราะห์แล้วสอบไม่ผ่านก็ไม่แปลก แต่การที่ไม่ผ่านแล้วรู้จุดด้อยและกลับไปพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถที่ครบถ้วนตามเกณฑ์ มันยังมีแนวโน้วว่าอนาคตอาจจะผ่านในสักวัน แต่ถ้าไม่ผ่านแล้วเอาแต่นั่งเฉยๆ และเรียกร้องให้เขาลดเกณฑ์มาหาตัวเองนั้น พยากรณ์ได้ว่าไม่น่าจะผ่าน จนกว่าจะปรับทัศนคติตัวเองใหม่
ปล.แก้คำผิด เพิ่มข้อมูล
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
ไม่ขึ้นบั ครูผู้ช่วย
ที่เราตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะอยากได้ความคิดเห็นจากทุกคนด้วยค่ะ
------------------
เรื่องก็คือ... เราเพิ่งเรียนจบค่ะ ก็อยากสอบครูตามประสาสายที่เรียนมาและพ่อแม่รับราชการ
เรามีความตั้งใจที่แน่วแน่มากค่ะ อ่านหนังสือไม่ต่ำกว่า10เล่ม
ดูคลิปติวเอย ฝึกหัดเองเอย วนแบบนี้ไม่ต่ำกว่า3เดือนตั้งแต่เราจบค่ะ
ถ้าใครว่าเราอ่านน้อย ขาดความพยายาม เราขอบอกนะคะว่าเราโกรธมาก
เพราะเราขยันสุดในชีวิตแล้วค่ะ จากคณิตที่เราเกลียดมาก เราก็พอทำมันได้ สามารถเข้าใจได้
ตามพื้นฐานแล้ว เราเป็นเด็กเรียนดี เกียรตินิยมค่ะ เราไม่ใช่คนขยันมากตอนเรียนแต่ความรู้ ความสามารถเราก็ไม่ได้เป็นรองใคร
------------------
แต่ผลสอบออกมาเราแทบทรุดค่ะ
เพราะอะไรน่ะเหรอคะ
เราพยายามขนาดนี้ เราอดทน พอเราเริ่มทำงานเราก็ตื่นมาอ่านตี3ค่ะ
ตอนสอบถ้าถามว่าเราทำได้ไหม เราก็กล้าพูดว่าพอได้ค่ะ ยิ่งถ้าเป็นพาร์ทกฎหมายต่างๆเราจะมั่นใจมาก้พราะเราอ่านมาดีมากๆค่ะ
จุดที่ทำให้เราเสียใจมากก็คือ เราต้องขยันขนาดไหน พยายามขนาดไหนคะ เราถึงจะสอบได้
มีเพื่อนเราบางคนเขามาสอบขำขัน ไม่ค่อยได้อ่าน (ที่เขาบอกมานะคะ) เขายังสอบติดแบบทำให้เรารู้สึกว่า ทีเราที่พยายามแทบตาย
คนอย่างเรามัน ดีไม่พอตรงไหนคะ
มีใครไหมคะ ที่เคยมีความพยายาม แล้วความพยายามกลายเป็น0 แบบเราบ้าง
ถ้าใครมีอยากให้ช่วยแชร์และบอกวิธีรักษาความรู้สึกนี้หน่อยค่ะ มันหนักหนามากเลย
เกินที่เราจะทนได้ในแต่ละวัน