บันทึกของคนบ้า.........(กลับมาหาฉันนะที่รัก) ปกติ+

กระทู้สนทนา


.

              ลมหายใจแห่งความตายพัดกระซิบกระซาบข้างหู อ้างว้างและเยือกเย็น แต่ปลอบประโลม อยู่ในที สัมผัสแผ่วในความรู้สึกกับบรรยากาศอึมครึมและมืดมิด ในขณะความมืดแห่งสนธยากำลังย่างกราย

             ชีวิตจงบังเกิด!

             คุณคงไม่ได้ยิน ไม่รู้สึก ที่จริงมันเป็นเรื่องไม่น่ารับฟังเท่าไรหรอกครับ

             ผมเกือบจะแน่ใจแบบนั้น แต่บางที..ไม่ ความจริง อาจไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...แต่ความจริงบางอย่างมันชัดเจนเกินไป ก็ยากที่คนจะทำใจรับ...ความจริง หมายความว่า บางครั้ง...บางอารมณ์ มนุษย์...ใช่...ก็หมายถึงพวกเรา อาจไม่อยากรับความจริง เพราะมันชัดเจนเกินไป...หรือเพราะว่าจิตคนเราต้องการความหม่นมัว หลอกลวง เพื่อปิดกั้นตัวเอง จากอะไรบางสิ่ง...บางอย่าง..หรือไม่ก็ทั้งหมด เดาเอาว่ามนุษย์เรา ต้องการความไม่ชัดเจนแบบไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมันจะเป็นเกราะไร้สภาพชนิดหนึ่ง ซึ่งปิดกั้นเรา จากสังคม โลกภายนอก และจากตัวเราเอง....ความเป็นจริงมีจริงหรือไม่  หรือทุกอย่างเป็นเพียงความหลอกลวง
 
             “เขียนอะไรของมันฟะ” 

             จิตแพทย์บ่นให้ตัวเองฟัง วางบันทึกของคนไข้ลงบนโต๊ะ ซึ่งมีข้าวของวางอยู่อย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบ หัวหน้าของเขาชอบความเป็นระเบียบ แต่มันขัดแย้งกับความรู้สึกนึกคิดของเขาเป็นอย่างมาก...ความเป็นระเบียบ บางทีก็เป็นกับดัก

             นึกถึงบันทึกของคนบ้า ที่เพิ่งอ่านจบ หมอหนุ่มยอมรับว่าไม่รู้เรื่อง แต่รู้สึกเหมือนเป็นเวทมนต์ รบกวนจิตใจอย่างประหลาด  ใช่ ๆ ๆ....จิตแพทย์พยายามตอกย้ำกับตัวเอง...พวกมนุษย์ทำไมต้องติดกับดักของตัวเอง ไม่มีใครวางกับดัก...แต่คนเราชอบวางกับดักตัวเอง และคิดว่านั่นเป็นกับดักของคนอื่น แท้ที่จริงตัวเองกำลังก้าวลงไปบนหลุมพรางซึ่งตัวเองขุดหลอกเอาไว้...เพื่อให้ตัวเองมาติดกับดักที่เหนือเหตุผล  เหมือนแมลงเม่า อยู่ในความมืดนานจนเกินไป โหยหาแสงสว่าง จนลืมแยกแยะ
 
             ตูถ้าจะบ้า...ไม่ ๆ ๆ จิตแพทย์บอกกับตัวเอง  บางทีเราอ่านบันทึกของคนไข้โรคประสาทมากเกินไป จนจะติดโรคประสาทมาจากคนไข้แล้ว.....พอนึกได้แบบนี้เขาก็เริ่มต้นหัวเราะ...ทั้งที่พยายามบอกตัวเองแล้วว่า...เราเป็นจิตแพทย์ มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคนบ้า...หรือจะเอ่ยในนามทางวิชาการว่า เป็นคนป่วยทางจิต...ดังนั้นเรามิอาจบ้า

             “คุณว่าผมบ้าไหม"     คุณหมอหันไปถามความว่างเปล่า............ลมพัดมาทางหน้าต่า ..ห้องคุณหมอไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ ทำให้ช่วงบ่ายอากาศค่อนข้างร้อน....และร้อน.... หมอหนุ่มรีบสลัดความคิด เลอะเลือนเปื้อน..ให้ออกไปไกล พยายามสนใจบันทึกของคนไข้ที่อยู่ในมือ
 
 
             เขาหาว่าผมบ้า

             ใช่.....ผมหมายความตามนั้น  ความจริงผมอยากจะบอกว่าผม ไม่ได้บ้า มาตั้งแต่กำเนิด มันไม่ได้ถ่ายทอดทาง   DNA   ไม่ได้แฝงอยู่ในเซลล์สืบพันธุ์ของยีน X หรือ  Y  เรื่องพวกนี้มันไร้สาระกับผม เพราะผมไม่ได้สนใจอะไร นอกจากความเป็นตัวตนของผม  แล้วตัวตนของผมหมายถึงอะไร......มีคำนิยามมากมาย ก่อนผมจะถูกนำตัวมาขังไว้ในสถานที่แห่งนี้ (ที่จริงผมแยกไม่ออกด้วยซ้ำไปว่า อะไรคือการรักษา อะไรคือการยอมรับ.....ยอมรับอะไรล่ะ...คำตอบมันง่ายมาก สำหรับคนบ้า ๆ อย่างผม แต่อาจยากเย็นเข็ญใจกับพวกคุณ)
 
             ผมหมายถึงว่า..ผมทะลึ่งรู้ว่าคุณหมอ ตอนนี้กำลังทำหน้าอย่างไร อารมณ์เป็นแบบไหน กับการอ่านบันทึกของคนบ้า...คนบ้า...อย่างน้อย ผมก็ถูกมองแบบนั้น..คนบ้า..คนประสาท..คนหลุดโลก....ไม่มีอะไรดีสักนิดในสายตาของพวกคุณ  ทำไมผมจะใส่ใจกับคนอื่น หรือความคิดอื่น ความคิดอื่นเป็นของใครก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ดังก้องในความรู้สึกของผม คือ ผมจะไม่ยอมยึดเกาะกับความคิดหรือเรื่องไร้ตัวตนพวกนี้
 
              ทำไมคนเราต้องรักกัน..คุณหมอลองตอบผมเล่นๆ ดูก็ได้...ไม่ๆๆ ผมรู้ว่าคุณหมอไม่กล้าตอบ เพราะคุณหมอเองก็กำลังมองผมในฐานะของคนบ้า
 
             ผมยังบอกไม่หมด  คนบ้าก็มีหัวใจ...ผมจึงมีความรักไงครับคุณหมอ...ใคร ๆ ก็มีความรักได้ไม่ใช่หรือครับ  ผมสามารถรักใครก็ได้ในโลกนี้ …ผมรู้สึกว่าความรักของผมไม่มีขอบเขต ผมไม่เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับปรัชญาความรัก ผมเพียงรู้จักมัน...ก็เพียงพอแล้ว โดยไม่ต้องหาคำตอบจากมัน ไม่มีใครมาห้ามความรักของผมได้
 
             ผมรู้ว่าคุณหมอจะเถียงผม.. ไม่ใช่ในตอนนี้ คุณหมอยังไม่หลุดพ้น  จากอะไรน่ะหรือครับ

             ช่างเถอะ ผมพูดถึงเธอดีกว่า

             ที่รัก ผมเรียกเธอว่าที่รัก เพราะไม่ว่าเธอจะชื่ออะไรก็ตาม สิ่งที่เธอเป็นคือที่รักของผม  และเธอยังอยู่กับผมเสมอ แม้ว่าเธอจะตายไปแล้ว  คุณหมอเองก็คงไม่เข้าไม่เข้าใจ  ไม่เข้าใจว่าเธอตายไปแล้ว แต่เธอยังไม่ตาย  ไม่น่า......คุณหมอ....ผมรู้ว่าคุณหมอจะต้องทำหน้างุนงงสงสัย  คุณหมอเก็บสีหน้าไม่เนียนพอจะเก็บความรู้สึกของตนเอง  คุณหมอรู้...เหมือนที่ผมรู้ เรื่องพวกนี้ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร
 
            ความจริงผมก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเรียบง่าย แต่ทำไมคนของสถาบันต้องวิ่งพล่าน เกาะตามติดผม แบบหายใจรดต้นคอ ผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านำศพของคนรักของผม กลับมาบ้านเท่านั้น ผมรักเธอมากเกินไป...เกินกว่าจะห่างจากเธอ   เรานอนเคียงคู่กัน....ทุกวันทุกคืน....

            รู้ไหม...เธอเริ่มต้นลืมตา และพูดคุยกับผม...!!!!   ในสายตาของคุณหมอ...หมายถึงผมบ้าไปแล้ว  บ้าที่เก็บร่างของคนรัก มาไว้ในบ้าน...มานอนบนเตียง....นั่นเป็นสิ่งที่คุณหมอเข้าใจและรู้สึก และพยายามอธิบายตามหลักทางการแพทย์หรือจิตวิทยาต่างๆ นานา สิ่งที่เราเข้าใจ คือคนตายต้องไม่หายใจ และเน่าเปื่อยไปตามสภาพ   แต่ผมได้ยินเสียงลมหายใจของเธอ   รู้ไหมครับ คุณหมอ...เธอยิ้มกับผม   ผมสัมผัสเรือนกายอบอุ่น....ไม่เหมือนร่างไร้วิญญาณเลยสักนิด
 
            ต่อให้คุณหมอ...หรือใครต่อใคร บอกว่าร่างนั้น ไร้วิญญาณ..และกำลังเน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา....นั่นเป็นสิ่งที่คุณหมอรับรู้...เชื่อ..และเข้าใจ  แต่สำหรับผมแล้ว เธออยู่ข้าง ๆ ผมทุกวันทุกคืน ไม่ได้เน่าเปื่อย  แต่ที่คนอื่น ๆ เห็นเธอเสื่อมสลายเพราะติดกับดักของตัวเอง  ผู้คนคิดแบบนั้น จึงเห็นแบบนั้น ยังไงละครับ มันเป็นการติดกับดักกลุ่ม เสียงส่วนใหญ่ไม่ใช่เสียงถูกต้องเสมอไป
 
             คุณหมอและคนอื่นๆ คงมองเห็นผมกำลังนอนกอดซากศพเน่าเปื่อย....

             กับผมแล้ว  มันไม่ใช่ ทำไมผมจะปฏิเสธความรัก...ปฏิเสธเธอ เพราะมีความตายมากางกั้น...เท่านั้นหรือ ที่สำคัญเธอยังไม่ตาย
 
             ทำไมเป็นไปได้ ความจริงคืออะไรผมไม่รู้ ไม่อยากจะรู้ และไม่จำเป็นต้องรู้ ถ้าผมถามว่าความจริงคืออะไร ผมก็จะเสียเวลาเพียงเพื่อหาคำตอบว่า ความไม่จริงคืออะไร  มันไร้ความหมายสำหรับผมครับคุณหมอ   เพราะผมเองยังบอกไม่ได้ว่า ความทรงจำ ความฝัน และความจริง มันมามีเงื่อนไขต่อกันอย่างไร บ้าดีไหมครับ..
 
             กับผมแล้ว ไม่ใช่....คุณหมอมองว่าผมนอนกอดก่ายซากศพ ผมกลับมองว่าผมกำลังอยู่กับคนที่ผมแสนรัก และกับอ้อมแขนของเธอ  และเสียงกระซิบรักแผ่วละมุนหวาน ผมก็มีความจริงของผม คุณหมอก็มีความจริงของคุณหมอ  แล้วความจริงอะไรคือความจริง แต่คำตอบไม่สำคัญหรอกครับ เพราะความจริงของผมคือสิ่งที่ผมรับรู้มองเห็นสัมผัสได้  ต่อให้มันไม่จริงมันก็คือความจริงของผม ไม่ใช่ความจริงของคุณหมอ

             อย่าเพิ่งบ้าไปเสียก่อนจะอ่านบันทึกจบนะครับ ยังมีอะไรสนุก ๆ รออยู่  ผมมีความสุขตามแบบฉบับของผม แล้วคุณหมอ จะมารักษาผมทำไม
รักษาเพียงบอกว่าความจริง ผมกำลังอยู่กับซากศพเน่าเปื่อยบนเตียงซึ่งเคยเป็นแหล่งรังรักอันแสนหวาน เท่านั้นหรือ….ทำไมไม่ปล่อยให้ผมอยู่กับโลกของผมต่อไป
 
             อะไรจริงอะไรเท็จ มันไม่สำคัญอีกแล้ว  ผมรู้แค่ว่าผมรักเธอ .......ยังจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้ครับ
 
 
 
 
             ++++
 
             จิตแพทย์ปิดบันทึกลงด้วยความขนพองสยองเกล้าอย่างบอกไม่ถูก
 
             ไอ้หมอนี่....มันบ้า.....บ้าเกินพิกัด...ทะลุขีดจำกัด.. บ้าสุดขอบฟ้า ...ลอร์ด ออฟ เดอะ บ้า ... บ้าเกาะติด...บ้าสยองโลก...บ้าติดวิญญาณ สารพัดบ้า! ถึงขั้นไปขุดหลุมฝังศพ ลากร่างของสาวคนรักมาคนร่วมเตียง แบบนี้คนปกติไม่มีทางทำเด็ดขาด  มันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ริมฝีปากเน่าเปื่อยจะเป็นรอยจุมพิตแสนหวานได้อย่างไร  ลมหายใจอันไร้วิญญาณจะมีจริงหรืออย่างไรกัน...ความรักทำให้คนเราบ้าทะลุขีดจำกัดได้ขนาดนี้  

             แต่ว่ายังจะมีอะไรมีความหมายอีกล่ะ...ความเกลียดหรือความชัง ก็เป็นเพียงอารมณ์ตรงกันข้าม ยามหัวใจและจิตใจโหยหาความรัก...ความรักซึ่งบางทีอยู่กับผู้คนมากมายรายรอบ ก็ไม่เคยประสบพบพาน

            ทันใดนั้นเอง เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แฟ้มภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ของคนบ้าที่เขียนบันทึก มันอยู่ในลิ้นชักของเขานี่เอง ถูกส่งมาพร้อมกับประวัติคนไข้ แต่เขาไม่เคยคิดจะหยิบมาดู จนกระทั่งตอนนี้  คุณหมอเปิดลิ้นชัก หยิบแฟ้ม ขึ้นมาดู แน่ใจว่าเป็นของคนไข้ดังกล่าว ชื่อและหมายเลขตรงกัน เขาเปิดดูอย่างไม่แน่ใจกับความคิดของตนเอง แล้วก็ต้องตาเบิกโพลง

             ภาพคนไข้หนุ่มนอนกอดร่างของสาวสวย ที่ระบุว่าเป็นซากศพที่ตายไปแล้ว แต่ภาพที่ปรากฏยืนยันชัดเจนว่าหญิงสาวคนนั้นยังคงมีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนทั่วไป

             อะไรกันนี่....คุณหมอคำรามครืนในใจ มือสั่นระริก ความสับสน ความไม่เข้าใจ วิ่งสวนทางกันไปมาในหัวสมอง ใครบ้ากันแน่ ใครตาฝาดหรือหลอนกันแน่ ลองพลิกดูภาพอื่นก็เหมือนกัน คนไข้หนุ่มกำลังอยู่กับคนรักที่เป็นปกติ ด้วยสีหน้าท่าทางคนมีความสุข ความจริงปรากฏต่อหน้า

             คุณหมอทิ้งแฟ้มภาพ ซบหน้าลงกับฝ่ามือเนิ่นนาน
 
 
             คุณหมอสะดุ้งเมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  มันดังกังวานยาวนาน   เขาเอื้อมมือไปรับสาย   สัมผัสถึงสายลมแห่งความตายเยือกเย็น หลังจากนั้น วางสาย และออกเดินทาง
 

             ที่รัก...เสียงแว่วมาจากปลายสาย บางทีอาจมาจากหลุมฝังศพอันอ้างว้างหนาวเหน็บ

             “คุณอยู่ไหน....”  คุณหมอถามเร่งร้อนแบบแทบมาทันหายใจ... คนรักที่ตายจากไปแล้วหลายปีร่างฝังในสุสาน ติดต่อกลับมาอีกครั้ง  ความรักและความหลัง ยังจะสามารถลืมเลือน หัวใจคนเราบางครั้งบอบบางเหลือเกิน แค่ลมหายใจแผ่วเบาก็จะแหลกสลาย

             “คุณอยู่หลุมไหนที่รัก”  คุณหมอกล่าวน้ำตาคลอ แต่หัวใจพองโต ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมและกุญแจรถ ก้าวออกจากห้องทำงาน  เขารักเธอ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องอธิบายหรือหาเหตุผลอื่น  ผิดถูกหรือไม่...ไร้ความหมาย
 
             มุ่งหน้าไปยังสุสานอันเป็นที่อยู่ของนางอันเป็นที่รัก พร้อมด้วยหัวใจระอุคุกรุ่นไปด้วยลมหายใจแห่งความรักและความคิดถึง ไม่ว่าเธอจะตายมาแล้วกี่วันกี่เดือนก็ตาม  ความตายก็ไม่มาพลัดพรากจากลา  หลุมฝังศพเรียงรายในสุสาน ดูสวยงามเหลือเกิน ใช่แล้ว... เธอรอวันเวลากลับมาจากความตาย

             แล้วคุณหมอก็สัมผัสลมหายใจแห่งความรัก  เสียงกระซิบรักมาตามสายลม นำทางเดินมุ่งหน้าไป ความบ้า ความตาย และความไม่ตาย อย่างสมหวัง มือของเธออบอุ่นมีชีวิต

              ในขณะที่เขาดึงเธอขึ้นมาจากหลุมฝังศพ หลุดพ้นจากความอ้างว้างเยือกเย็น
 
 
             __________
 
 
           The end

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่