เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
แต่การตอบคำถามเด็กนักเรียนระดับมัธยม กลับทำไม่ได้ดี เหมือนไม่รู้เรื่องในแวดวงการศึกษา
เรื่องที่เด็กถาม เป็นเรื่องที่ถกเถียงในแวดวงการศึกษามานานหลายปีดีดัก ไม่ใใช่เรื่องใหม่
รัฐมนตรีว่าการ ซึ่งเป็นนักการเมือง เคยเป็นนักเคลื่อนไหวคาบนกหวีด น่าจะตอบคำถามได้อย่างไม่ลำบาก
แต่คุณณัฏฐพลกลับออกแนวตอบไม่ตรงประเด็น ตอบแบบคำถามไม่ตรงกับคำตอบ
เรื่องปรากฎการณ์หัวเกรียนเข้าไปในสถานศึกษา ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งหลายเรื่องหลายกรณีหลายสถานการณ์
คุณณัฏฐพลน่าจะตอบเด็กได้ดีกว่าการอ้างเรื่องยาเสพติดแบบหยามเด็ก เหมือนเด็กไม่รู้ความจริงว่าหัวเกรียนเข้าไปทำไม
เรื่องจิ๊บจ๊อยมากครับ ทรงผม ชุดนักเรียน หลักสูตร แนวปฏิบัติ กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ
เป็นเรื่องอธิบายให้เด็กรับฟัง เข้าใจได้ไม่ยากเลย คุณณัฏฐพลกลับหาเหตุผลอธิบายต่อเด็กได้ไม่ดี
สาเหตุ คงจากโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ และระบบการศึกษาของไทยแหละครับ
ที่มีดีเอ็นเอเป็นโครงสร้างทางอำนาจ มอมเมา มากว่าร่วมคิดร่วมเรียนร่วมรู้และพัฒนา
ชินกับการใช้อำนาจ เด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ สนิมเชิงอำนาจเกาะเขรอะ
เมื่อต้องใช้เหตุผลกับเด็ก จึงคิดไม่ทัน อธิบายไม่ได้ และพะวงเรื่องถูกมองว่าเกรงใจเด็กเกินไป กังวลบิ๊กข้าราชการในกระทรวงจะขัดใจ
การศึกษาไทยมีปัญหาหมักหมมมาหลายสิบปีครับ ผิดฝาผิดตัวมาตลอด
อย่างเรื่องการปฏิรูปการศึกษา ก็แค่ลอก ๆ ของฝรั่งมาทำเป็นนโยบายแบบมักง่าย อย่างเรื่อง child center นั่นแหละ
ก็มีแค่นโยบายหะรูหะรา แต่การปฏิบัติแทบเป็นศูนย์ สูญเปล่าทั้งเวลา และงบประมาณ
ยิ่งการอ้างปฏิรูปบังหน้าเพื่อผลทางการเมืองยิ่งสาหัส เอาใจครู ช่วยปลดหนี้ ช่วยนั่นช่วยนี่ อ้างครูจะได้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จึงไม่ได้ผลตลอดมา
การปฏิรูปราชการที่ได้ผล ต้องยุคทักษิณครับ ช่วงปี 2546-2548
ทักษิณปฏิรูประบบราชการได้อย่างเห็นผล และส่งผลต่อเนื่องมาอีกหลายปี (แต่ตอนนี้ วกกลับไปแบบสี่สิบปีก่อนอีกแล้ว)
ทักษิณใช้วิธีประสิทธิภาพคู่ค่าตอบแทนและความก้าวหน้าทางราชการ และเปิดทางให้ผู้รู้ตัวว่าด้อยประสิทธิภาพได้ถอยจากลา
มีการประเมินภายในองค์กรกันเอง วัดผลกันแบบปีละสองครั้ง ส่งเสริมคนเก่งด้วยระบบ fast track ป้องกันระบบอุปถัมภ์พวกพ้อง
ส่งผลให้ข้าราชการ และระบบราชการดีขึ้นทันตาเห็น (จนมีคำพูดจากมุมมืดว่า ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ต้องจัดการ)
ช่วงนั้น ข้าราชการมีเกียรติมีศักดิ์ศรีจริง ๆ เพราะทำงานแบบตอบสนองประชาชน รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ
ผมไปติดต่อราชการทีไร ประทับใจทีนั้น
.
ที่ผมแปลกใจอีกอย่าง ทำไมสลิ่มชอบกล่าวหาใส่ร้ายเด็ก
นักศึกษา ก็ถูกกล่าว นักเรียนก็ถูกกล่าวหา แบบไม่เคยแย้งด้วยเหตุผล ใช้วิธีกล่าวหาใส่ร้ายเอาง่าย ๆ
เด็กมีคำถามเรื่องการแต่งชุดนักเรียน เด็กถามว่า ชุดนักเรียนทำให้เรียนเก่งขึ้นหรือ
แทนที่จะอธิบายเด็กด้วยเหตุผล กลับย้อนเด็กว่า ชุดอื่นทำให้เรียนเก่งขึ้นหรือไง
ซึ่งไม่ใช่เหตุผล แต่คือการยอกย้อนเถียงเอาชนะเท่านั้น ไม่สามารถระงับความเห็นไม่ตรงกันได้เลย
ทำไมไม่มองเด็กให้ชัด มองเด็กให้เห็น ทำไมมองแค่ว่า นั่นคือเด็ก เท่านั้น
เด็กมีสังคมแบบหนึ่ง ฮอร์โมน ความเปลี่ยนแปลงระหว่างวัย เป็นวัยลองผิดลองถูกเพื่อเรียนรู้และเป็นประสบการณ์ต่อไป
เด็กแต่ละคนมีพื้นฐานแตกต่างกัน มีความฝันความหวังต่างกัน มีมุมมองมีความเข้าใจต่อสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าต่างกัน ฯลฯ
ผู้ใหญ่ควรมองเห็น เข้าใจได้ และอธิบายด้วยเหตุผลให้เด็กเข้าใจได้ แต่กลับไม่ทำ ทำไม่เป็น
มีแต่การใช้วิธีเชิงอำนาจ บางครั้งมีอารมณ์ผสมโรงซะอีก มีรูปแบบความคิดแค่ว่า เด็กทุกคนต้องเหมือนกัน บนข้ออ้างเรื่องระเบียบวินัย
มองเด็กไม่เห็น เห็นเด็กไม่ชัด แล้วจะเข้าใจเด็กได้ไง จะสร้างหลักสูตรเพื่อเด็กได้ไง จะพัฒนาเด็กได้ไง
ผู้ใหญ่ทั้งหมด ดีหมดไหม เลว ๆ ก็เยอะ ดีไม่ดีเลวมากกว่าดีซะอีก แต่กลับชี้นิ้วว่าเด็กไม่ดีกันเย้ว ๆ
.
อย่างไรก็ตาม จะด้วยเป็นไฟท์บังคับหรืออะไรก็แล้วแต่
ก็ต้องขอบคุณรัฐมนตรีณัฏฐพล ที่ให้เกียรติเด็ก จะอัดกันมั่ง ก็ถือซะว่าคือจุดเริ่มต้นของการสร้างความเข้าใจ
เพื่อหาข้อสรุปเดินไปสู่ทางออกร่วมกัน เพื่อทุกคนในแวดวงการศึกษา ซึ่งจะส่งผลต่อสังคมโดยรวมต่อไปในอนาคต
ไม่มีอะไรราบรื่นไร้อุปสรรคไปซะหมด คิดซะว่า เริ่มต้นด้วยปัญหา ดีกว่าเกิดปัญหาหลังจากการเริ่มต้น
นี่คือความงดงาม ไม่มีมิตรภาพใดงดงามไปกว่ามิตรภาพที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง
เพราะเป็นมิตรภาพที่ไม่จอมปลอม
เพียงแต่ ท่านรัฐมนตรีณัฏฐพลอย่าไปเชื่อข้าราชการมากนัก อย่ากลัวเกรงใครที่จะทำเพื่อเด็ก
เท่านั้นเองครับ
แปลกใจกับคุณณัฏฐพล ............................................ โดย ตระกองขวัญ
แต่การตอบคำถามเด็กนักเรียนระดับมัธยม กลับทำไม่ได้ดี เหมือนไม่รู้เรื่องในแวดวงการศึกษา
เรื่องที่เด็กถาม เป็นเรื่องที่ถกเถียงในแวดวงการศึกษามานานหลายปีดีดัก ไม่ใใช่เรื่องใหม่
รัฐมนตรีว่าการ ซึ่งเป็นนักการเมือง เคยเป็นนักเคลื่อนไหวคาบนกหวีด น่าจะตอบคำถามได้อย่างไม่ลำบาก
แต่คุณณัฏฐพลกลับออกแนวตอบไม่ตรงประเด็น ตอบแบบคำถามไม่ตรงกับคำตอบ
เรื่องปรากฎการณ์หัวเกรียนเข้าไปในสถานศึกษา ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งหลายเรื่องหลายกรณีหลายสถานการณ์
คุณณัฏฐพลน่าจะตอบเด็กได้ดีกว่าการอ้างเรื่องยาเสพติดแบบหยามเด็ก เหมือนเด็กไม่รู้ความจริงว่าหัวเกรียนเข้าไปทำไม
เรื่องจิ๊บจ๊อยมากครับ ทรงผม ชุดนักเรียน หลักสูตร แนวปฏิบัติ กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ
เป็นเรื่องอธิบายให้เด็กรับฟัง เข้าใจได้ไม่ยากเลย คุณณัฏฐพลกลับหาเหตุผลอธิบายต่อเด็กได้ไม่ดี
สาเหตุ คงจากโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ และระบบการศึกษาของไทยแหละครับ
ที่มีดีเอ็นเอเป็นโครงสร้างทางอำนาจ มอมเมา มากว่าร่วมคิดร่วมเรียนร่วมรู้และพัฒนา
ชินกับการใช้อำนาจ เด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ สนิมเชิงอำนาจเกาะเขรอะ
เมื่อต้องใช้เหตุผลกับเด็ก จึงคิดไม่ทัน อธิบายไม่ได้ และพะวงเรื่องถูกมองว่าเกรงใจเด็กเกินไป กังวลบิ๊กข้าราชการในกระทรวงจะขัดใจ
การศึกษาไทยมีปัญหาหมักหมมมาหลายสิบปีครับ ผิดฝาผิดตัวมาตลอด
อย่างเรื่องการปฏิรูปการศึกษา ก็แค่ลอก ๆ ของฝรั่งมาทำเป็นนโยบายแบบมักง่าย อย่างเรื่อง child center นั่นแหละ
ก็มีแค่นโยบายหะรูหะรา แต่การปฏิบัติแทบเป็นศูนย์ สูญเปล่าทั้งเวลา และงบประมาณ
ยิ่งการอ้างปฏิรูปบังหน้าเพื่อผลทางการเมืองยิ่งสาหัส เอาใจครู ช่วยปลดหนี้ ช่วยนั่นช่วยนี่ อ้างครูจะได้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จึงไม่ได้ผลตลอดมา
การปฏิรูปราชการที่ได้ผล ต้องยุคทักษิณครับ ช่วงปี 2546-2548
ทักษิณปฏิรูประบบราชการได้อย่างเห็นผล และส่งผลต่อเนื่องมาอีกหลายปี (แต่ตอนนี้ วกกลับไปแบบสี่สิบปีก่อนอีกแล้ว)
ทักษิณใช้วิธีประสิทธิภาพคู่ค่าตอบแทนและความก้าวหน้าทางราชการ และเปิดทางให้ผู้รู้ตัวว่าด้อยประสิทธิภาพได้ถอยจากลา
มีการประเมินภายในองค์กรกันเอง วัดผลกันแบบปีละสองครั้ง ส่งเสริมคนเก่งด้วยระบบ fast track ป้องกันระบบอุปถัมภ์พวกพ้อง
ส่งผลให้ข้าราชการ และระบบราชการดีขึ้นทันตาเห็น (จนมีคำพูดจากมุมมืดว่า ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ต้องจัดการ)
ช่วงนั้น ข้าราชการมีเกียรติมีศักดิ์ศรีจริง ๆ เพราะทำงานแบบตอบสนองประชาชน รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ
ผมไปติดต่อราชการทีไร ประทับใจทีนั้น
เด็กมีสังคมแบบหนึ่ง ฮอร์โมน ความเปลี่ยนแปลงระหว่างวัย เป็นวัยลองผิดลองถูกเพื่อเรียนรู้และเป็นประสบการณ์ต่อไป
เด็กแต่ละคนมีพื้นฐานแตกต่างกัน มีความฝันความหวังต่างกัน มีมุมมองมีความเข้าใจต่อสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าต่างกัน ฯลฯ
ผู้ใหญ่ควรมองเห็น เข้าใจได้ และอธิบายด้วยเหตุผลให้เด็กเข้าใจได้ แต่กลับไม่ทำ ทำไม่เป็น
มีแต่การใช้วิธีเชิงอำนาจ บางครั้งมีอารมณ์ผสมโรงซะอีก มีรูปแบบความคิดแค่ว่า เด็กทุกคนต้องเหมือนกัน บนข้ออ้างเรื่องระเบียบวินัย
มองเด็กไม่เห็น เห็นเด็กไม่ชัด แล้วจะเข้าใจเด็กได้ไง จะสร้างหลักสูตรเพื่อเด็กได้ไง จะพัฒนาเด็กได้ไง
ผู้ใหญ่ทั้งหมด ดีหมดไหม เลว ๆ ก็เยอะ ดีไม่ดีเลวมากกว่าดีซะอีก แต่กลับชี้นิ้วว่าเด็กไม่ดีกันเย้ว ๆ