Project อวกาศในอดีต

Project Highwater


(SA-3 บนฐานปล่อยภาพ NASA)
นาซ่าเคยเอาน้ำบนโลกของเราไปปล่อยในอวกาศมาแล้ว 2 ครั้ง เพื่อทดสอบผลกระทบของของเหลวต่อการส่งสัญญาณผ่านคลื่นวิทยุ และสภาพอากาศในบริเวณนั้น  ซึ่ง NASA ระบุว่า "การปล่อยน้ำจำนวนมหาศาลนี้ในสภาพแวดล้อมใกล้อวกาศถือเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ครั้งแรกที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมอวกาศที่เคยมีมา" 

โครงการนี้ได้รับชื่อว่า " Project Highwater " ตรงตัวตามเป้าหมายของภารกิจ โดยได้ทำการทดสอบกับภารกิจ SA-2 กับ SA-3 ซึ่งเป็นภารกิจแรก ๆ ของจรวด Saturn ที่ส่งคนไปลงดวงจันทร์ เริ่มจากภารกิจแรกคือ SA-2 ที่ปล่อยขึ้นไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน 1962 พร้อมกับน้ำกว่า 95,000 กิโลกรัมอยู่บนนั้น โดยมันถูกควบคุมให้ระเบิดออกที่ความสูง 150 กิโลเมตร

หลังจากระเบิดออกเพียงแค่ 5 วินาที ผู้สังเกตุการณ์จากบนพื้นดินเห็นการก่อตัวของเมฆที่คาดว่าจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายกิโลเมตร ความสูงจากพื้นทะเล 145 กิโลเมต รรวมทั้งเกิดการรบกวนต่อคลื่นวิทยุในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์อีกด้วย พวกเขาทดลองแบบเดียวกันกับในภารกิจ SA-3 วันที่ 16 พฤศจิกายน 1962 โดยในรอบนี้มันถูกปล่อยที่ความสูง 167 กิโลเมตร และก็ส่งผลกระทบในแบบเดียวกัน
ซึ่งการทดสอบนี้จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อทดสอบว่าถ้าหากจรวดเกิดระเบิดขึ้นระหว่างเดินทางขึ้นสู่อวกาศ ผลกระทบจากเชื้อเพลิงของมันจะทำอะไรกับชั้นบรรยากาศและการใช้ชีวิตของเราบ้าง

ที่มา https://spaceth.co/inversion-in-bagkok/




Space to Ground


Space to Ground ของ NASA เป็นการอัปเดตเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนสถานีอวกาศนานาชาติ เรื่องราวของนักบินอวกาศของ NASA ในการจะทำอะไรที่ไหนอย่างไร อย่างเช่น Scott Kelly นักบินอวกาศ (คนเดียวกับที่ปลูกดอกไม้ดอกแรกในอวกาศสำเร็จ) ทำการทดลองด้วยการใช้หยดน้ำแทนลูกปิงปอง โดยการเล่นครั้งนี้ก็เกิดขึ้นในสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ห้องปฏิบัติการลอยฟ้าที่โคจร อยู่เหนือขึ้นไปจากพื้นโลก 410 กิโลเมตร

สำหรับไม้ปิงปองที่ Kelly ใช้ไม่ใช่ไม้ธรรมดา แต่เป็นไม้ที่ถูกฉาบไว้ด้วยเทฟลอนซึ่งมีคุณสมบัติในการกันน้ำได้ ทำให้หยดน้ำที่ตกกระทบลงบนไม้ปิงปองนี้กระเด้งขึ้นลงไม่หยุด  สำหรับการทดลองตีปิงปองคนเดียวด้วยหยดน้ำ การทดลองปลูกดอกไม้ดอกแรกในอวกาศ และอีกหลายๆการทดลองในอวกาศ เป็นส่วนหนึ่งของชุดการทดลองที่ NASA เขาต้องการเผยแพร่การค้นพบใหม่ ๆ มาให้โลกได้รับรู้แบบทันท่วงที โดยมีชื่อว่า  " Space to ground "

ยังมีอีกหนึ่งการทดลองจากเพจอย่างเป็นทางการของนาซา ในเว็บไซต์เฟซบุ๊กที่เผยแพร่คลิปวิดีโอ แสดงสภาพมวลน้ำที่ลอยอยู่ในสถานีอวกาศนานาชาติผ่านกล้องระดับความคมชัดสูงโดย Scott Kelly นักบินอวกาศจากสหรัฐอเมริกาคนเดิม ฉีดสีและใส่ยาเม็ดที่มีฟองเข้าไปในน้ำ ภาพที่ถ่ายผ่านกล้องความคมชัดสูงกว่ากล้องระดับ HD แบบปกติ 4 เท่าแสดงให้เห็นรายละเอียดของน้ำในสภาวะไร้น้ำหนักได้อย่างน่าสนใจ

โดยนาซา ระบุว่า กล้องที่มีความคมชัดสูงกว่าปกติแสดงให้เห็นรายละเอียดที่มากกว่าเมื่อต้องการใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับการวิจัยในสถานีอวกาศนาซาแนะนำให้ผู้ชมปรับระดับคุณภาพวิดีโอไปที่2160p4k
ที่มา มติชนออนไลน์
Cr.https://minimore.com/f/astronaut-plays-ping-pong-546 / By Chotiros Lookkaew Naksut





PROJECT THOR


(ระบบอาวุธพลังงานจลน์ที่นำเสนอโดย Jerry Pournelle ในชื่อ PROJECT THOR หรือ “rods from god” ประกอบด้วยแท่งโลหะทังสเตนและดาวเทียมบังคับทิศทางโคจรอยู่ในชั้นบรรยากาศระดับต่ำในทุกๆ 100 นาทีต่อรอบโคจร)


ในปี 1949 Dr. Jerry Pournelle เสนอแนวคิดการสร้างระบบอาวุธ "กระสุนพลังงานจลน์ (Kinetic bullet)" โดยนิยามมันว่า "เป็นกระสุนทังสเตนที่มีครีบขนาดเล็กและระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมทิศทางจากอวกาศ" ต่อกองทัพสหรัฐในยุคสงครามเย็น โดยกระสุนพลังงานจลน์ของ Pournelle อาศัยแค่แรงโน้มถ่วงของโลก (gravity) และการสะสมพลังงานจลน์ (kinetic energy) จากความเร็วและมวลของหัวรบเองในการเร่งความเร็วจากชั้นบรรยากาศลงมากระทบผิวโลกก่อให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง  

โดยอาวุธชนิดนี้จะประกอบด้วยแท่งทังสเตนที่ยาวเกือบ 20 ฟุตและมีเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งฟุต ประกอบเป็นขึ้นเป็นอาวุธติดกับดาวเทียมที่โคจรอยู่หลายพันกิโลเมตรเหนือพื้นโลก ซึ่งจะโคจรรอบโลกทุกๆ 100 นาทีเพื่อกำหนดเป้าหมายในการยิงได้ทุกพื้นที่ในโลก เมื่อปล่อยจากดาวเทียมแท่งโลหะทังสเตนนี้จะถูกเร่งความเร็วผ่านชั้นบรรยากาศด้วยความเร่งในระดับเหนือความเร็วเสียง และตามทฤษฎีมันสามารถทำความเร็วได้มากถึง 36,000 ฟุต/วินาที
แต่โครงการของเขาจะไม่ได้รับความสนใจมากนักในช่วงเวลานั้น เนื่องจากต้นทุนในการพัฒนามหาศาล 

แม้ Project Thor ไม่เคยถูกสร้างเป็นอาวุธจริงเนื่องจากต้นทุนสูง  แต่แนวคิดของอาวุธที่ใช้พลังงานจลน์ไม่เคยหายไป ที่จริงแล้วมันอาจจะกลับมาสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้งเมื่อเทคโนโลยีเอิ้ออำนวย โดยในปี 2013 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้พัฒนาหัวรบกระสนพลังงานจลน์ที่เร็วถึง 3,500 ฟุต/วินาที และกองทัพเรือสหรัฐฯ ก็มีการทดสอบกระสุนชนิด "long-range electromagnetic rail gun" ที่ความเร็วมากกว่า 5,000 ไมล์ต่อชั่วโมง และชาติมหาอำนาจอย่างจีนและรัสเซียเองก็กำลังทดสอบอาวุธชนิดนี้อยู่เช่นกัน




Reboot Project


ดาวเทียมสำรวจ International Sun Earth Explorer 3 หรือ ISEE 3 ถูกส่งออกไปนอกโลกเมื่อปีคริสตศักราช 1978 เพื่อศึกษาสภาวะอากาศนอกโลก
ทำหน้าที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับสสารต่างๆ ที่มาจากดวงอาทิตย์  เช่น ลมสุริยะที่สามารถสร้างความเสียหายแก่ดาวเทียมดวงต่างๆ รบกวนการทำงานของคลื่นสัญญาณวิทยุ ตลอดจนมีผลทำให้ระบบจัดส่งกระแสไฟฟ้าบนโลกทำงานล้มเหลวได้ ดาวเทียมสำรวจดวงนี้ได้เกษียณอายุการใช้งานในปี 1997 
แต่ Keith Cowing อดีตวิศวกรแห่งนาซ่าเป็นหนึ่งในหัวหน้าโครงการ Reboot Project พยายามหาทางควบคุมดาวเทียมสำรวจ ISEE 3 ให้สามารถใช้งานใหม่ ซึ่งนาซ่าอนุมัติโครงการนี้และให้เงินสนับสนุนก้อนหนึ่งจากการระดมทุนจากประชาชน  Cowing ระบุว่า ISEE 3 ยังทำงานได้อยู่เพราะยังส่งสัญญาณคลื่นวิทยุออกมา ยังมีพลังงานอยู่แสดงว่าแผงโซล่ายังทำงานและมันยังมีเครื่อง transmitter ถึงสองเครื่องเป็นตัวสื่อสารกลับมายังโลก

แต่ดาวเทียมสำรวจ ISEE 3 ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ติดบนยาน โครงการ Reboot Project จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากวิศวกรที่สร้างดาวเทียมสำรวจตัวนี้เพื่อหาทางสร้างระบบควบคุมตัวใหม่ขึ้นมาแทนของเก่า โดย Cowing และทีมงานได้ผลิตตัว transmitter ขึ้นมาใหม่และติดตั้ง transmitter ตัวนี้ไว้บน radio telescope ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ Arecibo Observatory ในPuerto Rico เพื่อสื่อสารกับ ISEE 3

เขาและทีมงานได้ทำการส่งสัญญาณไปยังตัวยานสำรวจ ISEE 3 เพื่อสั่งงานให้ส่งสัญญาณกลับมาและยานสำรวจได้ตอบสนองตามคำสั่ง ซึ่งถือเป็นความสำเร็จ ต่อมาทีมงานได้ส่งคำสั่งเพิ่มเติมไปยังตัวยานให้ทำงานอีกหลายอย่าง  แต่ความพยายามในการสั่งให้ระบบขับเคลื่อนของตัวดาวเทียมสำรวจให้ติดเครื่องอีกครั้งเพื่อขับเคลื่อนตัวยานกลับเข้าไปสู่วงโคจรใหม่รอบโลกยังไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากมีปริมาณแก๊สเหลือไม่พอที่จะติดเครื่องยนต์ระบบขับเคลื่อนได้

อย่างไรก็ตาม ทีมงาน Reboot Project ยังพอใจมากที่อุปกรณ์อย่างอื่นบนตัวยานยังทำงานได้ มันเคยบินเข้าไปใกล้ดวงจันทร์มาแล้วในระยะห่าง 13,000-14,000 กิโลเมตร แม้ว่าทีมงาน Reboot Project จะไม่สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางโคจรของดาวเทียมตัวนี้ได้อย่างที่ต้องการ แต่ยานสำรวจ ISEE 3 ก็มีประโยชน์เพราะยังส่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กลับมายังโลก

ดาวเทียมสำรวจ ISEE 3 พิสูจน์ให้เห็นว่าการออกแบบที่เรียบง่ายสามารถใช้งานได้ดี แม้ว่าแก๊สจะหมดและแบตเตอรี่จะตาย ตัวยานยังทำงานได้เพราะแผงโซล่ายังทำงานแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าได้อยู่ Cowing ระบุว่าข้อมูลที่ได้จาก ISEE 3 เป็นข้อมูลออนไลน์ฟรีแก่คนที่สนใจ
โดยดาวเทียมสำรวจนอกโลกดวงนี้จะโคจรมาใกล้กับโลกอีกครั้งในปีคริสตศักราช 2029
Cr.ภาพ spaceflightinsider.com/

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่