ผมถูกส่งไปรับตำแหน่งปลัดที่อำเภอเมืองจังหวัดแห่งหนึ่งอย่างเร่งด่วน เนื่องจากคนดำรงตำแหน่งคนเก่าโดนย้ายแบบฟ้าผ่า เบื้องบนต้องการให้ตำแหน่งที่ว่างถูกบรรจุโดยเร็วที่สุด
จ่าจังหวัด หัวหน้าสำนักงานปกครองยื่นหนังสือที่ระบุว่าผมต้องเดินทางไปถึงภายในสามวัน ดีที่ผมเป็นคนโสด ไม่มีพันธะหรือภาระอะไรที่ต้องกังวลมาก การเดินทางก็ใช้วิธีโดยสารเครื่องบิน จึงไปถึงตรงเวลาอย่างไม่ขลุกขลักมาก
คนขับรถมารับที่สนามบินเป็นตำรวจยศจ่าชื่อบุญรอด ผมเข้าไปรายงานตัวกับท่านนายอำเภอ ซึ่งท่านก็เมตตาให้ผมไปพักที่บ้านหลวง แล้วค่อยเริ่มทำงานวันรุ่งขึ้น
ผมเห็นบ้านหลวงแล้วตกใจ เป็นเรือนสองชั้นกว้างขวาง รวมถึงอาณาเขตสนามหญ้าหน้าบ้าน อย่างนี้ไม่เหมาะกับการอยู่คนเดียว เพราะการทำความสะอาดแต่ละทีเป็นงานช้าง ผู้ใหญ่เขาคงคิดว่าผมมีเมียมีลูกมาอยู่ด้วย
จ่าบุญรอดบอกว่าตอนหกโมงครึ่งเขาจะกลับเอาปิ่นโตมาให้ แต่ต่อไปผมอาจจะต้องไปผูกปิ่นโตกับแม่ค้าที่รับส่งปิ่นโตที่บ้านข้าราชการแถวๆนี้ ผมตอบตกลงไปเดี๋ยวนั้น เพราะไม่งั้นก็ไม่รู้จะไปหากินที่ไหน ที่ทางก็ไม่รู้จัก คำสั่งสายฟ้าแลบทำให้ไม่มีเวลามาสำรวจสถานที่ก่อน
จ่าบุญรอดรับปากเป็นธุระให้ ก่อนแกจะกลับเผอิญเห็นใครข้างหลังผม ทางบ้านหลังติดกันมีรั้วเตี้ยๆกั้น
ผมมองไปทางเดียวกัน เห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อกระโปรงขาว อายุอานามน่าจะราวๆยี่สิบ ใบหน้าพริ้มเพรา สวยเกินจะเปรียบเปรย แต่อนิจจา เธอนั่งบนเก้าอี้รถเข็น กำลังหมุนล้อพาตัวเองมาตรงกลางสนาม
จ่าบุญรอดร้องทัก ผู้หญิงคนนั้นเห็นก็ยกมือไหว้ จ่าแกก็เลยถามถึงสาระทุกข์สุกดิบ
เธอชื่ออิงวดี พ่อกับแม่ของเธอเป็นข้าราชการชั้นอาวุโสที่ผมเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน
ผมไม่มีโอกาสคุยกับเธอแม้แต่คำเดียว แต่จ่าบุญรอดได้แนะนำแทนว่า ผมเป็นปลัดคนใหม่ที่มารับตำแหน่ง
ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเอง แต่ผมมั่นใจเห็นแววขวยเขินปรากฎขึ้นในดวงตาเธอวูบหนึ่ง
มีเสียงเรียกเธอมาจากในบ้าน สักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา ลักษณะดูจะเป็นพี่เลี้ยงหรือคนดูแล ยื่นโทรศัพท์มือถือให้ แล้วบอกว่าหมอที่โรงพยาบาลโทรมาถามความคืบหน้า ก่อนจะกำหนดนัดเวลาไปทำกายภาพบำบัด
เธอขอตัวไปคุยโทรศัพท์ แล้วผู้หญิงที่เอามาส่งให้เธอก็เช็นเธอกลับเข้าบ้านไป ผมเองก็หันเดินหิ้วสัมภาระที่ติดตัวมากลับเข้าบ้านด้วยใจห่อเหี่ยว
จ่าบุญรอดหลังจากดูแลความเรียบร้อยของบ้านให้ผมแล้ว แกก็ลากลับไป พอหกโมงครึ่งยังไม่ตรงดีแกก็กลับมา หิ้วปิ่นโตบรรจุอาหารมามีเถาเต็มทุกชั้น
ผมนั่งกินข้าวกับจ่าบุญรอดบนพื้นแบบง่ายๆ ระหว่างนั้นผมก็เรียบเคียงถามเรื่องของผู้หญิงที่ชื่ออิงวดี จ่าแกบอกว่าเธอไม่ได้พิการมาแต่กำเนิด แต่เพิ่งมาเป็นปีกลายนี้เองจากอุบัติเหตุรถยนต์ เห็นเขาบอกพังยับเยินทั้งคัน เธอรอดชีวิตมาแต่ต้องเสียขาเดินไม่ได้ สาเหตุที่แกรู้เพราะแกเคยขับรถให้ปลัดคนเก่าที่ถูกย้ายออกไปมาก่อน ต้องมาบ้านนี้บ่อยๆเลยได้ยิน
หลังจากจ่าบุญรอดกลับไป ผมนั่งทำโน้นทำนี้จนสี่ทุ่มก็ยังนอนไม่หลับ อาจจะแปลกที่และด้วยคิดสงสารผู้หญิงที่ชื่ออิงวดี ทำไมหนอชีวิตเธอถึงอาภัพเช่นนี้
แสงจันทร์นวลกระจ่างทำให้นอกบ้านสว่างไสว ผมเดินไปที่หน้าต่างยืนดูอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อย หน้าต่างบานนี้มีมุมมองที่สามารถเห็นสนามหญ้าหน้าบ้านของอิงวดีอย่างทั่วถึงทุกตารางนิ้ว
ทันใดนั้นผมเห็นอิงวดีอยู่ที่สนามหน้าบ้าน และเธอไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว แต่มีผู้หญิงอีกคนอยู่ด้วย
ผู้หญิงคนนั้นโอบกอดลูบไล้อิงวดี เหมือนปลอบประโลม ลักษณะเป็นอาการของมารดาที่ปฎิบัติต่อบุตรี
ทันใดสตรีผู้นั้นก็หยุด เงยหน้าปราดขึ้นมามองตรงที่ผมยืนอยู่ ราวกับรู้ว่ามีใครแอบมองไปจากตรงนี้
คราวนี้ผมเห็นหน้าแต่ไม่ชัดนัก เพราะระยะที่ห่างกัน ดังนั้นผมจึงไม่เข้าใจว่าเธอเห็นผมได้อย่างไร ยิ่งผม่ไม่ได้เปิดไฟในห้องด้วย
ยังมีสิ่งน่าพิศวงยิ่งกว่า ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรกับอิงวดี หลังจากที่เธอฟังก็ได้เงยหน้ามองตามมายังหน้าต่างบานที่ผมยืนอยู่
เป็นไปได้อย่างไรกัน ห้องมืดที่ดับไฟ ระดับความสูงที่ต่างกัน จะว่าบังเอิญที่มองมาก็ไม่น่าใช่ เพราะทั้งคู่มองสูงขึ้นมาเหมือนกัน
เหนือกว่าสิ่งใดที่ว่าแปลกประหลาด คือผู้หญิงคนนั้นนุ่งสไบ สวมจูงกระเบน อย่างนี้ถ้าไม่ใช่หลุดมาจากกองถ่ายละคร ก็ยังตามกระแส”บุพเพสันนิวาส” อยู่
ผมถอยหลังจากหน้าต่างอย่างอัตโนมัติ ล้มตัวลงนอน คิดวนเวียนถึงเรื่องนี้จนสมองอ่อนล้าหลับไปในที่สุด
จ่าบุญรอดมารับผมไปเริ่มงานวันแรก และมาส่งหลังเลิกงาน แกบอกว่าตอนหกโมงเย็นกว่าๆจะเอาปิ่นโตมาให้อีก
ผมเดินมาถึงสนาม เหลียวมองไปทางบ้านอิงวดีโดยบังเอิญ ก็พบเธอโปรยอะไรที่เหมือนเศษขนมปังลงบนพื้นหญ้า มีนกตัวเล็กตัวน้อยพากันจิกกินกันเพลิดเพลิน อ่างใส่น้ำไม่ลึกนักตั้งไว้ให้นกลงไปเล่นอย่างสนุกสนาน
ผมเริ่มต้นทักเธอก่อน ชวนเธอคุยถึงวิธีการเลี้ยงนกของฝรั่ง เขาจะเอาอาหารนกที่เป็นแท่งไปห้อยที่ต้นไม้หน้าบ้าน นกสามารถมีอิสระไปไหนต่อไหนก็ได้ แต่ถึงเวลากินพวกมันจะรู้ว่าอาหารอยู่ตรงนี้
เธอแสดงอาการสนใจทันที จากจุดเริ่มต้นนั้นการสนทนาของเราก็ดำเนินไปจนลืมเวล่ำเวลา จ่าบุญรอดเดินถือปิ่นโตทำหน้าเหล่อหลาเข้ามา
อิงวดีขอปลีกตัวไป ผมจำต้องยุติการสนทนาของเราอย่างเสียดาย
ระหว่างกินข้าวกับจ่าบุญรอดคราวนี้ ผมพยายามถามข้อมูลจากแกถึงรูปร่างลักษณะของแม่อิงวดี ว่าจะตรงกับคนเดียวกันที่ผมเห็นเมื่อคืนหรือไม่
แกบอกว่าคุณนายผู้แม่อายุน่าจะหกสิบแล้วปีนี้ ส่วนรูปร่างก็น้ำหนักขึ้นตามอายุนั่นแหละ
ทำเอาผมพูดไม่ออก หลังจากนั้นจึงบรรยายรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงเมื่อคืนซึ่งดูสะโอดสะองและยังสาวอยู่ โดยเน้นถึงเครื่องแต่งกายที่เธอสวมว่ามันเหมือนกับย้อนยุคไปสมัยละคร”บุพเพสันนิวาส”
จ่าบุญรอดทำท่าจะสำลักข้าว คำนั้นแกกระเดือกลงคออย่างยากเย็น แล้วแกก็รีบพุ้ยข้าวที่เหลือในจานให้หมด เก็บจานชามไปล้างเรียบร้อยแล้ว ลากลับบ้านทันที ท่าทางลุกลี้ลุกลนผิดปกติ
คืนนั้นผมรู้สึกหิวน้ำจึงตั้งใจจะลุกไปหยิบน้ำดื่ม อดมองผ่านหน้าต่างเดียวกันกับเมื่อคืนวานไม่ได้
คุณพระช่วย อิงวดีนั่งอยู่บนรถเข็นบนสนามหญ้า ผู้หญิงคนเดิมคนโอบกอดเธอไว้ ลูบผมนุ่มสลวยของเธออย่างอ่อนโยน แล้วเหตุการณ์ก็เหมือนคืนวาน สักพักหญิงคนนั้นแหงนหน้ามามองตรงบานหน้าต่างที่ผมมองพวกเธออยู่ อิงวดีมองตามขึ้นมาบ้าง
ถึงตอนนี้ผมสิ้นข้อสงสัยแล้ว ทั้งคู่มองมาทางผมจริงๆ แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ต่อให้สายตาไม่สั้นเลยวัดได้ศูนย์ก็ไม่มีทางเห็นได้ไกลขนาดนี้ นอกจากมีตาทิพย์
ผมผงะออกจากหน้าต่าง เดินมาล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดเรื่องนี้จนปวดหัว จนม่อยหลับไปในที่สุด
สตรีในยามรัตติกาล (จบในกระทู้) จากผู้เขียนเจ้าแม่จระเข้
จ่าจังหวัด หัวหน้าสำนักงานปกครองยื่นหนังสือที่ระบุว่าผมต้องเดินทางไปถึงภายในสามวัน ดีที่ผมเป็นคนโสด ไม่มีพันธะหรือภาระอะไรที่ต้องกังวลมาก การเดินทางก็ใช้วิธีโดยสารเครื่องบิน จึงไปถึงตรงเวลาอย่างไม่ขลุกขลักมาก
คนขับรถมารับที่สนามบินเป็นตำรวจยศจ่าชื่อบุญรอด ผมเข้าไปรายงานตัวกับท่านนายอำเภอ ซึ่งท่านก็เมตตาให้ผมไปพักที่บ้านหลวง แล้วค่อยเริ่มทำงานวันรุ่งขึ้น
ผมเห็นบ้านหลวงแล้วตกใจ เป็นเรือนสองชั้นกว้างขวาง รวมถึงอาณาเขตสนามหญ้าหน้าบ้าน อย่างนี้ไม่เหมาะกับการอยู่คนเดียว เพราะการทำความสะอาดแต่ละทีเป็นงานช้าง ผู้ใหญ่เขาคงคิดว่าผมมีเมียมีลูกมาอยู่ด้วย
จ่าบุญรอดบอกว่าตอนหกโมงครึ่งเขาจะกลับเอาปิ่นโตมาให้ แต่ต่อไปผมอาจจะต้องไปผูกปิ่นโตกับแม่ค้าที่รับส่งปิ่นโตที่บ้านข้าราชการแถวๆนี้ ผมตอบตกลงไปเดี๋ยวนั้น เพราะไม่งั้นก็ไม่รู้จะไปหากินที่ไหน ที่ทางก็ไม่รู้จัก คำสั่งสายฟ้าแลบทำให้ไม่มีเวลามาสำรวจสถานที่ก่อน
จ่าบุญรอดรับปากเป็นธุระให้ ก่อนแกจะกลับเผอิญเห็นใครข้างหลังผม ทางบ้านหลังติดกันมีรั้วเตี้ยๆกั้น
ผมมองไปทางเดียวกัน เห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อกระโปรงขาว อายุอานามน่าจะราวๆยี่สิบ ใบหน้าพริ้มเพรา สวยเกินจะเปรียบเปรย แต่อนิจจา เธอนั่งบนเก้าอี้รถเข็น กำลังหมุนล้อพาตัวเองมาตรงกลางสนาม
จ่าบุญรอดร้องทัก ผู้หญิงคนนั้นเห็นก็ยกมือไหว้ จ่าแกก็เลยถามถึงสาระทุกข์สุกดิบ
เธอชื่ออิงวดี พ่อกับแม่ของเธอเป็นข้าราชการชั้นอาวุโสที่ผมเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน
ผมไม่มีโอกาสคุยกับเธอแม้แต่คำเดียว แต่จ่าบุญรอดได้แนะนำแทนว่า ผมเป็นปลัดคนใหม่ที่มารับตำแหน่ง
ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเอง แต่ผมมั่นใจเห็นแววขวยเขินปรากฎขึ้นในดวงตาเธอวูบหนึ่ง
มีเสียงเรียกเธอมาจากในบ้าน สักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา ลักษณะดูจะเป็นพี่เลี้ยงหรือคนดูแล ยื่นโทรศัพท์มือถือให้ แล้วบอกว่าหมอที่โรงพยาบาลโทรมาถามความคืบหน้า ก่อนจะกำหนดนัดเวลาไปทำกายภาพบำบัด
เธอขอตัวไปคุยโทรศัพท์ แล้วผู้หญิงที่เอามาส่งให้เธอก็เช็นเธอกลับเข้าบ้านไป ผมเองก็หันเดินหิ้วสัมภาระที่ติดตัวมากลับเข้าบ้านด้วยใจห่อเหี่ยว
จ่าบุญรอดหลังจากดูแลความเรียบร้อยของบ้านให้ผมแล้ว แกก็ลากลับไป พอหกโมงครึ่งยังไม่ตรงดีแกก็กลับมา หิ้วปิ่นโตบรรจุอาหารมามีเถาเต็มทุกชั้น
ผมนั่งกินข้าวกับจ่าบุญรอดบนพื้นแบบง่ายๆ ระหว่างนั้นผมก็เรียบเคียงถามเรื่องของผู้หญิงที่ชื่ออิงวดี จ่าแกบอกว่าเธอไม่ได้พิการมาแต่กำเนิด แต่เพิ่งมาเป็นปีกลายนี้เองจากอุบัติเหตุรถยนต์ เห็นเขาบอกพังยับเยินทั้งคัน เธอรอดชีวิตมาแต่ต้องเสียขาเดินไม่ได้ สาเหตุที่แกรู้เพราะแกเคยขับรถให้ปลัดคนเก่าที่ถูกย้ายออกไปมาก่อน ต้องมาบ้านนี้บ่อยๆเลยได้ยิน
หลังจากจ่าบุญรอดกลับไป ผมนั่งทำโน้นทำนี้จนสี่ทุ่มก็ยังนอนไม่หลับ อาจจะแปลกที่และด้วยคิดสงสารผู้หญิงที่ชื่ออิงวดี ทำไมหนอชีวิตเธอถึงอาภัพเช่นนี้
แสงจันทร์นวลกระจ่างทำให้นอกบ้านสว่างไสว ผมเดินไปที่หน้าต่างยืนดูอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อย หน้าต่างบานนี้มีมุมมองที่สามารถเห็นสนามหญ้าหน้าบ้านของอิงวดีอย่างทั่วถึงทุกตารางนิ้ว
ทันใดนั้นผมเห็นอิงวดีอยู่ที่สนามหน้าบ้าน และเธอไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว แต่มีผู้หญิงอีกคนอยู่ด้วย
ผู้หญิงคนนั้นโอบกอดลูบไล้อิงวดี เหมือนปลอบประโลม ลักษณะเป็นอาการของมารดาที่ปฎิบัติต่อบุตรี
ทันใดสตรีผู้นั้นก็หยุด เงยหน้าปราดขึ้นมามองตรงที่ผมยืนอยู่ ราวกับรู้ว่ามีใครแอบมองไปจากตรงนี้
คราวนี้ผมเห็นหน้าแต่ไม่ชัดนัก เพราะระยะที่ห่างกัน ดังนั้นผมจึงไม่เข้าใจว่าเธอเห็นผมได้อย่างไร ยิ่งผม่ไม่ได้เปิดไฟในห้องด้วย
ยังมีสิ่งน่าพิศวงยิ่งกว่า ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรกับอิงวดี หลังจากที่เธอฟังก็ได้เงยหน้ามองตามมายังหน้าต่างบานที่ผมยืนอยู่
เป็นไปได้อย่างไรกัน ห้องมืดที่ดับไฟ ระดับความสูงที่ต่างกัน จะว่าบังเอิญที่มองมาก็ไม่น่าใช่ เพราะทั้งคู่มองสูงขึ้นมาเหมือนกัน
เหนือกว่าสิ่งใดที่ว่าแปลกประหลาด คือผู้หญิงคนนั้นนุ่งสไบ สวมจูงกระเบน อย่างนี้ถ้าไม่ใช่หลุดมาจากกองถ่ายละคร ก็ยังตามกระแส”บุพเพสันนิวาส” อยู่
ผมถอยหลังจากหน้าต่างอย่างอัตโนมัติ ล้มตัวลงนอน คิดวนเวียนถึงเรื่องนี้จนสมองอ่อนล้าหลับไปในที่สุด
จ่าบุญรอดมารับผมไปเริ่มงานวันแรก และมาส่งหลังเลิกงาน แกบอกว่าตอนหกโมงเย็นกว่าๆจะเอาปิ่นโตมาให้อีก
ผมเดินมาถึงสนาม เหลียวมองไปทางบ้านอิงวดีโดยบังเอิญ ก็พบเธอโปรยอะไรที่เหมือนเศษขนมปังลงบนพื้นหญ้า มีนกตัวเล็กตัวน้อยพากันจิกกินกันเพลิดเพลิน อ่างใส่น้ำไม่ลึกนักตั้งไว้ให้นกลงไปเล่นอย่างสนุกสนาน
ผมเริ่มต้นทักเธอก่อน ชวนเธอคุยถึงวิธีการเลี้ยงนกของฝรั่ง เขาจะเอาอาหารนกที่เป็นแท่งไปห้อยที่ต้นไม้หน้าบ้าน นกสามารถมีอิสระไปไหนต่อไหนก็ได้ แต่ถึงเวลากินพวกมันจะรู้ว่าอาหารอยู่ตรงนี้
เธอแสดงอาการสนใจทันที จากจุดเริ่มต้นนั้นการสนทนาของเราก็ดำเนินไปจนลืมเวล่ำเวลา จ่าบุญรอดเดินถือปิ่นโตทำหน้าเหล่อหลาเข้ามา
อิงวดีขอปลีกตัวไป ผมจำต้องยุติการสนทนาของเราอย่างเสียดาย
ระหว่างกินข้าวกับจ่าบุญรอดคราวนี้ ผมพยายามถามข้อมูลจากแกถึงรูปร่างลักษณะของแม่อิงวดี ว่าจะตรงกับคนเดียวกันที่ผมเห็นเมื่อคืนหรือไม่
แกบอกว่าคุณนายผู้แม่อายุน่าจะหกสิบแล้วปีนี้ ส่วนรูปร่างก็น้ำหนักขึ้นตามอายุนั่นแหละ
ทำเอาผมพูดไม่ออก หลังจากนั้นจึงบรรยายรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงเมื่อคืนซึ่งดูสะโอดสะองและยังสาวอยู่ โดยเน้นถึงเครื่องแต่งกายที่เธอสวมว่ามันเหมือนกับย้อนยุคไปสมัยละคร”บุพเพสันนิวาส”
จ่าบุญรอดทำท่าจะสำลักข้าว คำนั้นแกกระเดือกลงคออย่างยากเย็น แล้วแกก็รีบพุ้ยข้าวที่เหลือในจานให้หมด เก็บจานชามไปล้างเรียบร้อยแล้ว ลากลับบ้านทันที ท่าทางลุกลี้ลุกลนผิดปกติ
คืนนั้นผมรู้สึกหิวน้ำจึงตั้งใจจะลุกไปหยิบน้ำดื่ม อดมองผ่านหน้าต่างเดียวกันกับเมื่อคืนวานไม่ได้
คุณพระช่วย อิงวดีนั่งอยู่บนรถเข็นบนสนามหญ้า ผู้หญิงคนเดิมคนโอบกอดเธอไว้ ลูบผมนุ่มสลวยของเธออย่างอ่อนโยน แล้วเหตุการณ์ก็เหมือนคืนวาน สักพักหญิงคนนั้นแหงนหน้ามามองตรงบานหน้าต่างที่ผมมองพวกเธออยู่ อิงวดีมองตามขึ้นมาบ้าง
ถึงตอนนี้ผมสิ้นข้อสงสัยแล้ว ทั้งคู่มองมาทางผมจริงๆ แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ต่อให้สายตาไม่สั้นเลยวัดได้ศูนย์ก็ไม่มีทางเห็นได้ไกลขนาดนี้ นอกจากมีตาทิพย์
ผมผงะออกจากหน้าต่าง เดินมาล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดเรื่องนี้จนปวดหัว จนม่อยหลับไปในที่สุด