เหตุการณ์ของเรือดำน้ำในอดีต

 U-1206


ปี 1945 ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางฝั่งนาซีได้สร้างเรือดำน้ำรุ่นใหม่ชื่อว่า U-1206 (อู-1206) ซึ่งเรือดำน้ำรุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับแรงดันน้ำภายนอกตัวเรือได้มากขึ้นคือ เรือสามารถดำน้ำได้ลึกขึ้น นอกจากนี้ ห้องน้ำในตัวเรือยังสามารถใช้ได้ในขณะดำน้ำลึกๆ ซึ่งเรือรุ่นก่อนๆไม่สามารถทำได้(ส้วมทนแรงดันไม่ไหว) เป็นระบบห้องน้ำที่ทำงานโดยใช้ระบบแรงดัน และแอร์ล็อกในการปล่อยของเสียออกไปจากเรือดำน้ำ ทำให้มีการใช้งานค่อนข้างซับซ้อนจนต้องมีการฝึกลูกเรื่อเพื่อให้ใช้งานระบบที่ว่าอย่างถูกต้อง

ในวันที่ 14 เมษายน ปี 1945 ขณะที่เรือ U-1206 ดำอยู่ในระดับความลึก 200 ฟุต (ประมาณเป็น 70 ม.) ห่างจากชายฝั่งอังกฤษไปประมาณ 8-10 ไมล์ กัปตัน Schlitt Karl Adolf เกิดปวดหนักจึงไปเข้าห้องน้ำ แต่เนื่องจากเรือดำน้ำรุ่นนี้เป็นรุ่นใหม่ การใช้ส้วมในระดับความลึกจำเป็นต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ส้วม ซึ่งในเรือดำน้ำรุ่นใหม่แต่ละลำจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญติดเรือไปด้วย 1 คน แต่กัปตันไม่ได้เรียนวิธีใช้ห้องน้ำความดันสูงนี้มาก่อน

ปรากฏว่ามีปัญหาทางเทคนิค กัปตัน Schlitt เลยเรียกผู้เชี่ยวชาญมาช่วย แต่สื่อสารกันไม่ดีจนวิศวกรเปิดวาล์วผิด ทำให้มีน้ำทะเลและสิ่งสกปรกทะลักเข้ามาในห้องน้ำผ่านทางส้วม ก่อนที่จะน้ำทะลจำนวนมหาศาลเริ่มไหลเข้าไปในตัวเรือ น้ำทะเลที่ทะลักเข้ามาได้ไหลไปท่วมยังแบตเตอรี่ของเรือที่อยู่ใต้ห้องน้ำทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้น และได้ก๊าซคลอรีนออกมา 

ก๊าซคลอรีนนี้มีผลต่อสุขภาพก็คือ มันสามารถทำลายเนื้อเยื่อร่างกายคนได้ หากสูดดมเข้าไปมันจะไปทำลายปอด  กัปตัน Schlitt จึงจำเป็นต้องสั่งให้เรือลอยลำเพื่อกำจัดก๊าซคลอรีนที่เป็นพิษออกไปโดยการเปิดทางเข้า-ออกเรือ แต่ตรงจุดที่เรือขึ้นสู่ผิวน้ำนั้นมีเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตร (อังกฤษ) บินอยู่ เรือดำน้ำ U-1206 จึงถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนัก

สุดท้ายกัปตัน Schlitt และลูกเรือที่เหลือจึงต้องสละเรือก่อนที่เรือจะจม  เหตุการณ์ครั้งนี้ มีลูกเรือนาซีจมน้ำตายไป 3 คน และลูกเรืออีก 46 คนที่เหลือถูกจับเป็นเชลย นับเป็นเรือรบลำเดียวในประวัติศาสตร์กองทัพเรือที่จะถึงวาระสุดท้ายด้วยห้องน้ำที่ชำรุด 
 
ในระหว่างการสำรวจท่อส่งน้ำมัน BP Forties Field ไปยัง Cruden Bay ในกลางทศวรรษ 1970 ซากของ U-1206 ถูกพบในทะเลที่ความลึกประมาณ
70 ม. (230 ฟุต) จากการสำรวจโดย RCAHMS 
ที่มา allthatsinteresting, warisboring
Cr.https://hi-in.facebook.com/warofhistory/photos/a.424714767593655/602470969818033/?type=3&theater / สงคราม ประวัติศาสตร์




 O’Bannon


นี่เป็นเรื่องราวของเรือพิฆาต O’Bannon เรือพิฆาตรุ่น Fletcher ที่ออกรบในปี 1942 และติดตั้งอาวุธมากมาย ทั้งปืนต่อต้านอากาศยาน ตอร์ปิโด ระเบิดน้ำลึก และปืนติดดาดฟ้าเรือ
 
วันหนึ่งในระหว่างที่เรือ O’Bannon กลับมาจากภารกิจใกล้ๆหมู่เกาะโซโลมอน ก็พบกับเรือดำน้ำ RO-34 ของญี่ปุ่นซึ่งเรือดำน้ำญี่ปุ่นไม่ได้รู้สึกถึงการมาของ O’Bannon ที่ลอยลำเหนือน้ำเฉยๆ  ตอนแรกเรือ O’Bannon คิดจะพุ่งชนเรือดำน้ำโดยตรง แต่ก็กลัวว่าการพุ่งชนอาจจะทำให้เรือจมไปทั้งคู่ 
ทั้งทาง O’Bannon ก็ไม่มีอาวุธอะไรที่สามารถยิงเรือดำน้ำได้ในระยะใกล้ขนาดนั้น ในที่สุดฝั่งญี่ปุ่นก็เห็นและหันปืนติดดาดฟ้าเรือของ RO-34 มาทาง O’Bannon 

ทางกองเรือสหรัฐฯ ก็หาทางทำทุกอย่างเพื่อถ่วงเวลาให้เรือเล่นออกห่างพอที่จะให้อาวุธจู่โจมศัตรูได้  ซึ่งหนึ่งในการพยายามนั้นพวกเขาได้โยน “มันฝรั่ง” จำนวนหนึ่งที่อยู่บนเรือใส่ฝั่งญี่ปุ่น  ด้วยความที่ฟ้ายังมืดอยู่ทหารฝั่งญี่ปุ่นก็เข้าใจผิดว่ามันฝรั่งที่ทหารสหรัฐฯ โยนมานั้นเป็นระเบิดมือ  พวกเขาจึงลนลานปามันฝรั่งกลับมาที่เรือ O’Bannon โดยไม่ได้ไปสนใจการยืงปืนใส่เรือรบสหรัฐฯ เลย


(เรือรุ่น Kaichū ในภาพเป็น RO-33)


ทำให้เรือ O’Bannon สามารถหนีออกจากสถานการณ์คับขันได้ และถึงแม้ว่า RO-34 จะดำลงไปใต้น้ำได้สำเร็จ แต่เรือ O’Bannon ก็สามารถทิ้งระเบิดน้ำลึกลงใส่ RO-34 พร้อมจมเรือลำดังกล่าวลง สังหารทหารทั้ง 66 คนบนเรือดำน้ำ และคว้าเอาชัยชนะไว้ได้ในที่สุด  เหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกเรียกว่า
“Maine Potato Episode” ซึ่งเป็นมุกตลก สื่อถึงมันฝรั่งที่มาจากรัฐเมน ในสหรัฐอเมริกา
ส่วนลูกเรือเองก็ได้รับการขนานนามกันว่าเป็นวีรบุรุษ จากความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจที่รวดเร็ว จนได้รับรางวัลจากเหล่าสมาคมคนปลูกมันฝรั่งอีกด้วย
ที่มา history
Cr. https://www.catdumb.tv/maine-potato-episode/ เรียบเรียง #เหมียวศรัทธา




 B-59 


นี่คือเรื่องราวของนายทหารหนุ่มชาวรัสเซีย Vasili Alexandrovich Arkhipov ผู้เป็น “ฮีโร่” ที่ครั้งหนึ่งช่วยโลกไม่ให้อยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะมีสงครามโลกครั้งที่ 3
เรื่องราวเกิดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ปี 1962 ในตอนนั้นถือว่าเป็นช่วงที่วิกฤติและล่อแหลมที่สุดของสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาและโซเวียต
เมื่อเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐลำนึงถูกยิงตกในประเทศคิวบา และอีกเครื่องสูญหายไปในน่านฟ้าโซเวียต ทั้งสองประเทศตึงเครียดจนใกล้จะเปิดสงครามกัน

ในวันนั้นเรือดำน้ำ B-59 ที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ของฝ่ายโซเวียต ซึ่งมีกัปตัน Valentin Savitsky เป็นผู้บัญชาการถูกเรือพิฆาตของสหรัฐ USS Beale กำลังเข้าโจมตี  เป้าหมายการโจมตีนั้นไม่ได้ต้องการทำลายล้างให้สิ้นซาก แต่เพียงต้องการให้เรือดำน้ำดังกล่าวโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำเท่านั้น

ฝ่าย B-59 ซึ่งอยู่ในสภาวะตึงเครียดไม่รู้จะทำอย่างไร และถ้าไม่ทำอะไรเลยพวกเขาอาจถูกจมเรือและจบชีวิตของพวกเขาทั้งหมด
แต่หากพวกเขายิงหัวรบตอบโต้กลับไป สงครามโลกครั้งที่ 3 จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร กองเรือพิฆาตของสหรัฐอเมริกาอีกหลายลำ ก็เริ่มเข้ามาล้อมกรอบเรือ B-59 

ทันใดนั้นเองกัปตัน Savitsky ตัดสินใจสั่งให้ลูกเรือเตรียมหัวรบนิวเคลียร์ดังกล่าว ซึ่งตามระเบียบแล้วการจะยิงหัวรบนิวเคลียร์ ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายทหาร 3 นายบนห้องควบคุม  นับเป็นช่วงเวลาอันตึงเครียดอย่างมาก เพราะถ้ามีใครคนใดออกความเห็นคัดค้าน ย่อมจะไม่มีการยิงโต้ตอบ
โชคดีที่นายทหาร Vasili Alexandrovich Arkhipov คัดค้านการยิงหัวรบอย่างเต็มที่ เขายืนกรานว่าอย่างไรก็ต้องนำเรือขึ้นไปตรวจสอบความจริงก่อน และขอร้องให้กัปตันนำเรือขึ้นเหนือผิวน้ำ เพื่อเป็นการยอมจำนน

เรื่องราวของ Vasili Alexandrovich Arkhipov ที่ช่วยโลกไว้นั้นไม่เป็นที่เปิดเผยแต่สาธารณะชนเท่าใดนัก เขาเกิดในครอบครัวชาวนาใกล้กรุงมอสโก ได้รับการศึกษาโรงเรียนทหารเรือและมีส่วนร่วมในสงครามโซเวียตกับญี่ปุ่นในปี 1945 ต่อมาในปี 1961 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองบังคับการในเรือดำน้ำขีปนาวุธนำวิถี K-19 และได้รับอุบัติเหตุจากรังสีในเหตุการณ์ดังกล่าว 
 

(เรือพิฆาต USS Beale ของสหรัฐอเมริกา)
 
ต่อมาภายหลังนายทหาร Vasili Alexandrovich Arkhipov ก็ได้รับคำชื่นชมอย่างสูงจากทุกฝ่าย ในฐานะวีรบุรุษผู้หยุดสงครามโลก เขาจากไปอย่างสงบในปี 1998 ด้วยวัย 72 ปีในประเทศรัสเซียบ้านเกิด และได้รับขนามนามว่า " the man who saved the world" 
เรื่องราวของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์เรื่อง Crimson Tide (1995) และ K-19:The Widowmaker (2002) ของฮอลลี่วู้ดที่แฮริสัน ฟอร์ด แสดงนำ
เรื่อง Crimson Tide (1995) แนะนำโดยคุณThitikovn Yuboicho
Cr.https://www.facebook.com/warofhistory/photos/vasili-alexandrovich-arkhipovCr.https://www.catdumb.tv/vasili-alexandrovich-arkhipov-หากโลก�/618533911545072/ โดย แอดมินรถไฟ
Cr.https://www.catdumb.tv/vasili-alexandrovich-arkhipov/By ทั่นประธานเหมียว -




 USS Tang


นี่คือเรื่องราวสุดแปลกของตอร์ปิโดที่รู้จักกันในชื่อ “Circular run” หรือ “การวิ่งเป็นวงกลม”  ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะเกิดขึ้นหลายๆ ประเทศได้พัฒนาตอร์ปิโดจากที่เคยยิงเป็นเส้นตรงให้สามารถโค้งไปหาเป้าหมายได้แม้เรือดำน้ำจะไม่ได้หันไปหาศัตรูโดยตรง

การทำงานของตอร์ปิโดในรูปแบบนี้ถูกกำหนดในทางกลไกในขณะที่ตอร์ปิโดยังอยู่ในท่อ และเมื่อถูกยิงออกจากท่อปล่อยมันจะพุ่งตรงๆ ในระยะที่เรียกว่า “Reach” ก่อนที่จะค่อยๆ เลี้ยวทำมุมและพุ่งเข้าหาเป้าหมายอีกที  ปัญหาคือในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยความผิดพลาดบางประการ ขั้นตอนการเลี้ยวของตอร์ปิโดที่เรือดำน้ำสหรัฐปล่อยออกไป มักจะไม่ย่อมหยุดลงอย่างที่ควร ดังนั้นตอร์ปิโดจึงหมุนเป็นวงกลม และบางครั้งก็พุ่งกลับเข้าหาเรือที่ปล่อย
อาการเช่นนี้ของตอร์ปิโดที่พุ่งเป็นวงกลมจนกลับมาสร้างความเสียหายให้เรือที่ปล่อยเองนั้น ในสหรัฐฯ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมีการระบุไว้ว่าเกิดขึ้นอย่างน้อยๆ ถึง 3 ครั้ง และสองครั้งในนั้นก็รุนแรงจนถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต

เรือลำแรกที่ถูกจมด้วยตอร์ปิโดในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองของสหรัฐอเมริกาได้แก่เรือ USS Tullibee ซึ่งจมลงไปในวันที่ 29 กรกฎาคม 1944 โดยมีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว และเรือลำที่สองได้แก่เรือ USS Tang ซึ่งก่อนหน้าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเคยมีผลงานจมเรือศัตรูมาแล้วถึง 33 ลำในเวลาแค่ 2 เดือน
ในวันที่เรือ USS Tang จม  เรือได้ปะทะกับเรือขนส่งจำนวนมากของญี่ปุ่น ก่อนที่จะทำการยิงตอร์ปิโดอย่างต่อเนื่อง 24 ลูกซึ่งจมเรือของญี่ปุ่นไปถึง 13 ลำก่อนที่ตอร์ปิโดลูกสุดท้ายจะวนกลับมาทำลายเรือดำน้ำของพวกเขาเอง ทำให้ Richard O’Kane ผู้บังคับบัญชาเรือดำน้ำหนึ่งในผู้รอดชีวิตจาก USS Tang ได้รับเหรียญกล้าหาญชั้นสูงสุด และตัวเรือดำน้ำที่จมไปเองนั้นก็ไม่ได้ถูกมองอย่างขำขัน แต่ถูกยกย่องว่าเป็นยอดเรือที่มีผลงาน “Battle stars” ถึง 4 ครั้ง
 

(วิธีที่ USS Tang จมลง Cr.ภาพ United States Navy, Bureau of Ships)
ที่มา amusingplanet, americainwwii, history.navy และ weaponsman
Cr.https://www.catdumb.tv/submarine-sunk-by-her-own-torpedo-378/By เหมียวศรัทธา

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่