สวัสดีครับ พอดีเครียดๆเลยอยากระบาย เลยสมัครพันทิพมาเพื่อการนี้
พอดีวันนี้ เจอเรื่องพีคๆของคุณพ่อ ไม่รู้จะระบายทางไหน ขอทางนี้ละกันครับ เผื่อมีคนที่มีประสบการณ์คล้ายๆกัน มาแชร์กัน หรือจะด่าผม ให้กำลังใจผม
ตอนนี้ผมอายุ 30 สมัยเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง ตอนนั้นเราอยู่บ้านเดี่ยว มีรถ มีของเล่น ได้ไปเที่ยวต่างประเทศประจำ จำได้ว่ามีความสุขมากๆ จนถึงวิกฤตปี 40
วันนึง กลับมาจากโรงเรียน มีหมายแขวนไว้หน้าบ้าน จำได้ว่าแม่จอดรถกึก! เดินลงไปดึงหมายลงมา เเล้วก็เงียบไม่พูดอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน เราก็ย้ายไปอยู่คอนโดหลังเล็กแทน พ่อแม่เริ่มมีปากเสียงทะเลาะกัน สุดท้ายพ่อออกจากบ้าน แม่ก็เป็นคนเดียวที่เลี้ยงผมกับพี่น้องมา
ผมโตมา ชินชากับคำว่าหนี้ ฝังใจมาตลอด ว่าถ้ามีเงิน เราจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้
หลังจากเข้ามหาลัยรัฐแห่งนึงได้ ผมตั้งบริษัทตอนอายุ 19 ตอนนั้นทำธุรกิจเล็กๆทำไปเรียนไป แต่ไปได้ดีพอสมควร มีหนังสือพิมพ์ รายการติดต่อมาหลายอยู่ ทำให้เรามีเครดิตบ้าง หลังจากนั้น พ่อก็ติดต่อผมมา
ทราบความ ว่าพ่อไปตั้งบริษัทใหม่ 2 บริษัทแล้วล้มละลายแล้ว ล้มอีก พาพี่น้องเดือดร้อนกันไปหมด พ่อบอกผมว่าตอนนี้กำลังดีขึ้น แต่ติดที่ตัวเองล้มละลาย เลยขอให้ผมเป็นกรรมการ ด้วยความที่อ่อนต่อโลกมาก บวกกลัวพ่อ เพราะเวลาแกไม่ได้อะไรไม่ได้ดั่งใจ แกจะโมโหเป็นผีบ้า
ก็ยอมเซ็นไป...เป็นกรรมการบริษัท ที่ตัวเองไม่ได้รู้อะไรเลย
หลังจากนั้น พ่อก็มีติดต่อไฟแนนซ์ มาขอกู้โน้นนี่ ประจำ ผมก็ยอมเซ็น เพราะพ่อพูดว่า ดีขึ้นเเล้ว ไม่มีปัญหา
ผมก็ตั้งหน้าตั้งตา เรียน และดูแลบริษัทเล็กๆของผมไป แบบไม่ได้คิดอะไรเยอะเท่าไร
ระหว่างนั้น มีโอกาสดี คือญาติฝ่ายแม่ใจดี ซื้อบ้านที่ถูกยึดไป ออกมาให้ เป็นชื่อผม
หลังจากนั้น พ่อก็มาขอให้ผมกู้โดยเอาบ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำ ตื้อมาก ขอมาก มารอหน้าบ้านทุกเย็น (พ่อไม่ได้มาอยู่ด้วยนะครับ เพราะเลิกกับแม่เเล้ว) สุดท้ายพ่อกราบผม จนผมยอมใจอ่อน
โดยที่ไม่รู้เลยว่า ที่เซ็นไปนั้น ... เป็นเงินกู้นอกระบบ
หลังจากเรียนจบได้ไม่นาน วันนึงกลับบ้านมา เจ้าหนี้(อาแป๋ะที่ผมไปเซ็นเอกสารด้วย) มารอในบ้าน บอกว่าพ่อไม่จ่ายเงิน จะยึดบ้าน
นี่เป็นจุดพลิกผัน ที่ทำให้ผมกลับไปทำบริษัทฯที่ตัวเองเป็นกรรมการโดยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากว่า 4 ปี
ผมขอเจ้าหนี้ ว่าขอเวลาอีกหน่อย ตอนนั้นเอาเงินจากบริษัทตัวเอง จ่ายบางส่วนไปก่อน และหยุดดอกเบี้ยไว้
หลังจากที่เข้าไปทำ ตอนนั้นไปเรียนรู้ตั้งแต่ฝ่ายผลิต ลงไปคลุกคลีแบบหมกมุ่นมากจนแทบเลิกกับแฟน(ภรรยาในปัจจุบัน) แต่โชคดีที่แฟนเข้าใจผมมากๆ
สิ่งที่พลาดคือยังปล่อยให้พ่อบริหารการเงิน เพราะพ่อบอกว่า ทุกอย่างโอเค เราก็โอเค
หลังจากที่หมกมุ่นได้ 6 เดือน (ตอนนั้นอายุ 25) ผมเห็นโอกาสบางอย่างที่จะพลิกธุรกิจได้ เลยปรึกษาผู้ใหญ่ที่ผมเคารพมาก และเอ็นดูผม เพื่อขอเพิ่มทุนบริษัทฯ
ตอนนั้นได้มา 20ล้าน ผมนำมาลงทุนกับสายการผลิตบางอย่างที่ทำให้เราได้เปรียบคู่แข่งทันที หลังจากนั้นไม่นาน บริษัทจากยอดขายปีละ 10ล้านอ่อนๆ กลายเป็น 100ล้าน ในปีเดียว เราจ้างงานเยอะ เราขยายงานเยอะขึ้น ผมยิ่งทำงานหนักขึ้น
สิ่งแรกที่ทำ คือเอาบ้านออกจากหนี้นอกระบบได้สำเร็จ แต่เปลี่ยนเป็นชื่อตัวเองและแม่ เพื่อที่จะไม่ให้พ่อมาทำอะไรอีก
ตอนนั้นตัดเนื้อร้าย ตัดส่วนที่ไมทำกำไรออก นั่นคือส่วนของพ่อ เพราะมัน outdated ล้าหลังไปมากๆเเล้ว ทำให้ทะเลาะกันเยอะมากๆ
หลังจากที่กำลังไปได้ดี พ่อมาขอ ให้ช่วยกลับมาสนับสนุนแก บอกถ้าแกมีเงิน แกทำได้แน่นอน จะไม่พลาดเเล้ว ถามพ่อว่าอยากได้เท่าไร แกบอก 10ล้าน เลยยอมให้วงเงินแกไป 10ล้านกับธนาคาร เป็น OD โดยผมเซ็นค้ำในฐานะกรรมการ
เอาจริงๆตอนนั้นหละหลวมมาก และยุ่งมากกับธุรกิจตัวเองที่กำลังโต เลยไม่ได้สนใจว่าพ่อทำอะไรอยู่ เป็นยังไงบ้าง เพราะแยกฝั่งบัญชีชัดเจน ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
รู้ตัวอีกที ตัวเลขฝั่งนั้นก็แดงเถือก ติดลบ มีหนี้สินกับ supplierมากมาย เงินสิบล้านหายไป ทดแทนด้วยหนี้กว่า 20 ล้าน ภายใน 2ปี(ผมอายุ 27ละ) และในฐานะกรรมการ ผมก็ต้องรับผิดชอบ พ่อโอดีใช้เกลี้ยงหมดเรียบร้อย
ตอนนั้นทะเลาะกันหนักมาก สุดท้ายต้องบังคับพ่อไปตั้งบริษัทใหม่ ถ้าอยากจะดึงดันทำต่อ แล้วตัดการสร้างหนี้ไว้เท่านี้
ผมค่อยๆประคองธุรกิจไปในสภาวะที่ลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 ปีนี้ ยอดขายเราทรงๆ ปีละ 100m บวกลบ กำไรไม่เยอะเพราะการแข่งขัน หนี้เยอะ กับพลาดบ่อย เพราะเป็นคนตัดสินใจเร็ว
หลังจากแยกบริษัทกัน พ่อก็เข้ามาขอยืมเงินบ่อยๆ เอาสารพัดโปรเจ็คมาขาย แน่นอน ว่าผมก็ได้หนี้เสียมาอีกบาน จนทะเลาะกันบ้านแตก
สุดท้ายต้องซื้อบ้านให้พ่ออีกหลัง ไม่ไกลกัน เพราะอยู่เเล้วบ้านร้อน
มีแม่บ้านให้ ข้าว ปลา อาหาร ประปา ไฟฟ้า ผมจ่ายให้หมด
ภรรยาผม เข้าใจดี เธอน่ารักมาก เป็นคนใจกว้างมากที่เข้าใจสถานการณ์ของผม เราคบกันตั้งแต่ผมยังไม่มีอะไรเลย
มาวันนี้ ผมมีชีวิตที่โอเค มีปัจจัยครบ มีบริษัทที่พอไปได้ ดูแลแม่พี่น้อง ภรรยา ให้อยู่ดีกินดีได้
ดูแลพ่อ ตามอัตภาพที่ทำได้ ให้ไม่ขาดปัจจัยอะไร
หนี้กับธนาคาร ก็ทยอยผ่อนๆไป คิดว่าเป็น loyalty fee ค่าธรรมเนียมความกตัญญู ที่เกิดมาเป็นลูกพ่อ จนตอนนี้หมดไป40%เเล้ว เหลืออยู่ 10ล้านกว่าๆ
พ่อไม่เคยหันมาช่วยจ่ายต้นหรือดอกที่ตัวเองก่อไว้เลย
จนวันนี้ วันอาทิตย์ ขับรถไปทำงานแต่เช้ามืด กลับมาสายๆอารมณ์ดีๆจะกินข้าวเช้ากับภรรยา พอจอดรถหน้าบ้าน กลับเห็นหมายศาลแขวนอยู่หน้าบ้าน ภาพวัยเด็กที่เคยเห็นบ้านตัวเองโดนยึดย้อนกลับมา
ผมเดินไปหยิบมาอ่าน พบว่าเป็นหนี้ที่พ่อบังคับผมเซ็นตอนเด็กๆ (เวลาไม่เซ็นอะไรให้แก แกจะโวยวายเป็นผีบ้ามากๆ) มูลค่าเต็ม คือ 5 ล้าน ผมผ่อนไปแล้ว 4,500,000 เหลือ 500,000 ให้พ่อรับผิดชอบหลังจากแกแยกบริษัทไป เพราะเป็นหนี้ที่แกสร้าง
พบว่า หลังจากผมหยุดจ่าย แกก็ไม่ได้จ่ายอะไรอีกเลย (จดหมายทวงถามยังส่งไปที่อยู่บริษัทเก่า ที่เป็นที่ตั้งบริษัทใหม่ของแก)
ผมอารมณ์เสียมาก แต่ก็ได้แค่โทรคุยกับพ่อ ว่าจัดการด้วย เดี๋ยวจะให้ทนายไปหา ตอนนั้นใจเย็นมาก เพราะเราเจอเรื่องแบบนี้บ่อยจนเฉยๆละ
พอใจเย็นลง ผมนั่งทำบัญชี สต็อกย้อนหลังของเดือน สิงหา63 ผมว่ามีความผิดปกติ มีการเบิกของพนักงานพ่ออีกบริษัทฯ ตอดเล็กตอดน้อย มูลค่าประมาณ 500,000 ตอนนั้นมือสั่นมาก เลยโทรถามสโตร์ ได้ความว่า พ่อผมโทรมาบอกเด็ก ว่าขอผมเเล้ว เด็กก็เลยไม่ได้บอกอะไรผม
ผมโมโหมาก เลยโทรไปบวกเต็มเหนี่ยว พ่อก็โวยวายเป็นผีบ้า แล้วบอกว่าหลังจากนี้ตัดพ่อตัดลูกกัน
...
ผมกลับ โล่งอย่างบอกไม่ถูก
ก็ยังคิด ว่าหนี้ที่แกก่อไว้ จะรับกรรมต่อไปเอง และดูแลแกไปเท่าที่เราจะทำได้ให้ไม่ขาดปัจจัยอะไร ตอนนี้เหลืออยู่ 10 ล้านกว่าๆ คิดซะว่าทำงานฟรีอีก 3 4 ปีก็หมด
แต่เหนื่อยจริงๆครับ เจอพ่อแบบนี้ คนที่เลี้ยงเรามาคือแม่ แม่ล้วนๆเพียวๆ แม่เตือนหลายทีเเล้วว่าอย่าไปยุ่งกับพ่อ แต่ด้วยความโลกสวย ไม่คิดว่าพ่อจะทำได้ขนาดนี้
ก็คงต้องยอมรับชะตากรรม ค่อยๆแก้ทีละเรื่องต่อไป จะไม่โทษใคร โทษตัวเองที่ใจดีเซ็นให้พ่อ คิดว่าเรามาถึงนี่ได้ก็โชคดีมากเเล้ว
เป็นบทเรียนให้อีกหลายๆท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ อย่าใจอ่อน อย่าค้ำประกัน อย่าเซ็นอะไรมั่วซั่ว อย่าให้คำว่ากตัญญูมาทำร้ายเรา
พิมพ์มายาวเหยียด รู้สึกดีขึ้นเเล้วครับ สมัครพันทิพมาเพื่อการนี้ ไม่อยากระบายอะไรบน FB ไม่อยากให้ภรรยารู้ด้วย
ขอบคุณทุกท่านที่เสียเวลาเข้ามาอ่านครับ
เผื่อเพื่อนๆท่านไหนแวะมาอ่าน มากระทุ้งให้ผมมีสติ มาด่า มาให้กำลังใจ ยินดีนะครับ หรือมีใครมีเรื่องคล้ายๆกันแชร์มาหน่อยนะครับ อยากอ่าน
ขอบคุณครับ
เพราะค่าธรรมเนียมความกตัญญู เจอพ่อทิ้งโศกนาฎกรรมทางการเงินไว้ให้ (กระทู้บ่น ระบาย)
พอดีวันนี้ เจอเรื่องพีคๆของคุณพ่อ ไม่รู้จะระบายทางไหน ขอทางนี้ละกันครับ เผื่อมีคนที่มีประสบการณ์คล้ายๆกัน มาแชร์กัน หรือจะด่าผม ให้กำลังใจผม
ตอนนี้ผมอายุ 30 สมัยเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง ตอนนั้นเราอยู่บ้านเดี่ยว มีรถ มีของเล่น ได้ไปเที่ยวต่างประเทศประจำ จำได้ว่ามีความสุขมากๆ จนถึงวิกฤตปี 40
วันนึง กลับมาจากโรงเรียน มีหมายแขวนไว้หน้าบ้าน จำได้ว่าแม่จอดรถกึก! เดินลงไปดึงหมายลงมา เเล้วก็เงียบไม่พูดอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน เราก็ย้ายไปอยู่คอนโดหลังเล็กแทน พ่อแม่เริ่มมีปากเสียงทะเลาะกัน สุดท้ายพ่อออกจากบ้าน แม่ก็เป็นคนเดียวที่เลี้ยงผมกับพี่น้องมา
ผมโตมา ชินชากับคำว่าหนี้ ฝังใจมาตลอด ว่าถ้ามีเงิน เราจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้
หลังจากเข้ามหาลัยรัฐแห่งนึงได้ ผมตั้งบริษัทตอนอายุ 19 ตอนนั้นทำธุรกิจเล็กๆทำไปเรียนไป แต่ไปได้ดีพอสมควร มีหนังสือพิมพ์ รายการติดต่อมาหลายอยู่ ทำให้เรามีเครดิตบ้าง หลังจากนั้น พ่อก็ติดต่อผมมา
ทราบความ ว่าพ่อไปตั้งบริษัทใหม่ 2 บริษัทแล้วล้มละลายแล้ว ล้มอีก พาพี่น้องเดือดร้อนกันไปหมด พ่อบอกผมว่าตอนนี้กำลังดีขึ้น แต่ติดที่ตัวเองล้มละลาย เลยขอให้ผมเป็นกรรมการ ด้วยความที่อ่อนต่อโลกมาก บวกกลัวพ่อ เพราะเวลาแกไม่ได้อะไรไม่ได้ดั่งใจ แกจะโมโหเป็นผีบ้า
ก็ยอมเซ็นไป...เป็นกรรมการบริษัท ที่ตัวเองไม่ได้รู้อะไรเลย
หลังจากนั้น พ่อก็มีติดต่อไฟแนนซ์ มาขอกู้โน้นนี่ ประจำ ผมก็ยอมเซ็น เพราะพ่อพูดว่า ดีขึ้นเเล้ว ไม่มีปัญหา
ผมก็ตั้งหน้าตั้งตา เรียน และดูแลบริษัทเล็กๆของผมไป แบบไม่ได้คิดอะไรเยอะเท่าไร
ระหว่างนั้น มีโอกาสดี คือญาติฝ่ายแม่ใจดี ซื้อบ้านที่ถูกยึดไป ออกมาให้ เป็นชื่อผม
หลังจากนั้น พ่อก็มาขอให้ผมกู้โดยเอาบ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำ ตื้อมาก ขอมาก มารอหน้าบ้านทุกเย็น (พ่อไม่ได้มาอยู่ด้วยนะครับ เพราะเลิกกับแม่เเล้ว) สุดท้ายพ่อกราบผม จนผมยอมใจอ่อน
โดยที่ไม่รู้เลยว่า ที่เซ็นไปนั้น ... เป็นเงินกู้นอกระบบ
หลังจากเรียนจบได้ไม่นาน วันนึงกลับบ้านมา เจ้าหนี้(อาแป๋ะที่ผมไปเซ็นเอกสารด้วย) มารอในบ้าน บอกว่าพ่อไม่จ่ายเงิน จะยึดบ้าน
นี่เป็นจุดพลิกผัน ที่ทำให้ผมกลับไปทำบริษัทฯที่ตัวเองเป็นกรรมการโดยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากว่า 4 ปี
ผมขอเจ้าหนี้ ว่าขอเวลาอีกหน่อย ตอนนั้นเอาเงินจากบริษัทตัวเอง จ่ายบางส่วนไปก่อน และหยุดดอกเบี้ยไว้
หลังจากที่เข้าไปทำ ตอนนั้นไปเรียนรู้ตั้งแต่ฝ่ายผลิต ลงไปคลุกคลีแบบหมกมุ่นมากจนแทบเลิกกับแฟน(ภรรยาในปัจจุบัน) แต่โชคดีที่แฟนเข้าใจผมมากๆ
สิ่งที่พลาดคือยังปล่อยให้พ่อบริหารการเงิน เพราะพ่อบอกว่า ทุกอย่างโอเค เราก็โอเค
หลังจากที่หมกมุ่นได้ 6 เดือน (ตอนนั้นอายุ 25) ผมเห็นโอกาสบางอย่างที่จะพลิกธุรกิจได้ เลยปรึกษาผู้ใหญ่ที่ผมเคารพมาก และเอ็นดูผม เพื่อขอเพิ่มทุนบริษัทฯ
ตอนนั้นได้มา 20ล้าน ผมนำมาลงทุนกับสายการผลิตบางอย่างที่ทำให้เราได้เปรียบคู่แข่งทันที หลังจากนั้นไม่นาน บริษัทจากยอดขายปีละ 10ล้านอ่อนๆ กลายเป็น 100ล้าน ในปีเดียว เราจ้างงานเยอะ เราขยายงานเยอะขึ้น ผมยิ่งทำงานหนักขึ้น
สิ่งแรกที่ทำ คือเอาบ้านออกจากหนี้นอกระบบได้สำเร็จ แต่เปลี่ยนเป็นชื่อตัวเองและแม่ เพื่อที่จะไม่ให้พ่อมาทำอะไรอีก
ตอนนั้นตัดเนื้อร้าย ตัดส่วนที่ไมทำกำไรออก นั่นคือส่วนของพ่อ เพราะมัน outdated ล้าหลังไปมากๆเเล้ว ทำให้ทะเลาะกันเยอะมากๆ
หลังจากที่กำลังไปได้ดี พ่อมาขอ ให้ช่วยกลับมาสนับสนุนแก บอกถ้าแกมีเงิน แกทำได้แน่นอน จะไม่พลาดเเล้ว ถามพ่อว่าอยากได้เท่าไร แกบอก 10ล้าน เลยยอมให้วงเงินแกไป 10ล้านกับธนาคาร เป็น OD โดยผมเซ็นค้ำในฐานะกรรมการ
เอาจริงๆตอนนั้นหละหลวมมาก และยุ่งมากกับธุรกิจตัวเองที่กำลังโต เลยไม่ได้สนใจว่าพ่อทำอะไรอยู่ เป็นยังไงบ้าง เพราะแยกฝั่งบัญชีชัดเจน ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
รู้ตัวอีกที ตัวเลขฝั่งนั้นก็แดงเถือก ติดลบ มีหนี้สินกับ supplierมากมาย เงินสิบล้านหายไป ทดแทนด้วยหนี้กว่า 20 ล้าน ภายใน 2ปี(ผมอายุ 27ละ) และในฐานะกรรมการ ผมก็ต้องรับผิดชอบ พ่อโอดีใช้เกลี้ยงหมดเรียบร้อย
ตอนนั้นทะเลาะกันหนักมาก สุดท้ายต้องบังคับพ่อไปตั้งบริษัทใหม่ ถ้าอยากจะดึงดันทำต่อ แล้วตัดการสร้างหนี้ไว้เท่านี้
ผมค่อยๆประคองธุรกิจไปในสภาวะที่ลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 ปีนี้ ยอดขายเราทรงๆ ปีละ 100m บวกลบ กำไรไม่เยอะเพราะการแข่งขัน หนี้เยอะ กับพลาดบ่อย เพราะเป็นคนตัดสินใจเร็ว
หลังจากแยกบริษัทกัน พ่อก็เข้ามาขอยืมเงินบ่อยๆ เอาสารพัดโปรเจ็คมาขาย แน่นอน ว่าผมก็ได้หนี้เสียมาอีกบาน จนทะเลาะกันบ้านแตก
สุดท้ายต้องซื้อบ้านให้พ่ออีกหลัง ไม่ไกลกัน เพราะอยู่เเล้วบ้านร้อน
มีแม่บ้านให้ ข้าว ปลา อาหาร ประปา ไฟฟ้า ผมจ่ายให้หมด
ภรรยาผม เข้าใจดี เธอน่ารักมาก เป็นคนใจกว้างมากที่เข้าใจสถานการณ์ของผม เราคบกันตั้งแต่ผมยังไม่มีอะไรเลย
มาวันนี้ ผมมีชีวิตที่โอเค มีปัจจัยครบ มีบริษัทที่พอไปได้ ดูแลแม่พี่น้อง ภรรยา ให้อยู่ดีกินดีได้
ดูแลพ่อ ตามอัตภาพที่ทำได้ ให้ไม่ขาดปัจจัยอะไร
หนี้กับธนาคาร ก็ทยอยผ่อนๆไป คิดว่าเป็น loyalty fee ค่าธรรมเนียมความกตัญญู ที่เกิดมาเป็นลูกพ่อ จนตอนนี้หมดไป40%เเล้ว เหลืออยู่ 10ล้านกว่าๆ
พ่อไม่เคยหันมาช่วยจ่ายต้นหรือดอกที่ตัวเองก่อไว้เลย
จนวันนี้ วันอาทิตย์ ขับรถไปทำงานแต่เช้ามืด กลับมาสายๆอารมณ์ดีๆจะกินข้าวเช้ากับภรรยา พอจอดรถหน้าบ้าน กลับเห็นหมายศาลแขวนอยู่หน้าบ้าน ภาพวัยเด็กที่เคยเห็นบ้านตัวเองโดนยึดย้อนกลับมา
ผมเดินไปหยิบมาอ่าน พบว่าเป็นหนี้ที่พ่อบังคับผมเซ็นตอนเด็กๆ (เวลาไม่เซ็นอะไรให้แก แกจะโวยวายเป็นผีบ้ามากๆ) มูลค่าเต็ม คือ 5 ล้าน ผมผ่อนไปแล้ว 4,500,000 เหลือ 500,000 ให้พ่อรับผิดชอบหลังจากแกแยกบริษัทไป เพราะเป็นหนี้ที่แกสร้าง
พบว่า หลังจากผมหยุดจ่าย แกก็ไม่ได้จ่ายอะไรอีกเลย (จดหมายทวงถามยังส่งไปที่อยู่บริษัทเก่า ที่เป็นที่ตั้งบริษัทใหม่ของแก)
ผมอารมณ์เสียมาก แต่ก็ได้แค่โทรคุยกับพ่อ ว่าจัดการด้วย เดี๋ยวจะให้ทนายไปหา ตอนนั้นใจเย็นมาก เพราะเราเจอเรื่องแบบนี้บ่อยจนเฉยๆละ
พอใจเย็นลง ผมนั่งทำบัญชี สต็อกย้อนหลังของเดือน สิงหา63 ผมว่ามีความผิดปกติ มีการเบิกของพนักงานพ่ออีกบริษัทฯ ตอดเล็กตอดน้อย มูลค่าประมาณ 500,000 ตอนนั้นมือสั่นมาก เลยโทรถามสโตร์ ได้ความว่า พ่อผมโทรมาบอกเด็ก ว่าขอผมเเล้ว เด็กก็เลยไม่ได้บอกอะไรผม
ผมโมโหมาก เลยโทรไปบวกเต็มเหนี่ยว พ่อก็โวยวายเป็นผีบ้า แล้วบอกว่าหลังจากนี้ตัดพ่อตัดลูกกัน
...
ผมกลับ โล่งอย่างบอกไม่ถูก
ก็ยังคิด ว่าหนี้ที่แกก่อไว้ จะรับกรรมต่อไปเอง และดูแลแกไปเท่าที่เราจะทำได้ให้ไม่ขาดปัจจัยอะไร ตอนนี้เหลืออยู่ 10 ล้านกว่าๆ คิดซะว่าทำงานฟรีอีก 3 4 ปีก็หมด
แต่เหนื่อยจริงๆครับ เจอพ่อแบบนี้ คนที่เลี้ยงเรามาคือแม่ แม่ล้วนๆเพียวๆ แม่เตือนหลายทีเเล้วว่าอย่าไปยุ่งกับพ่อ แต่ด้วยความโลกสวย ไม่คิดว่าพ่อจะทำได้ขนาดนี้
ก็คงต้องยอมรับชะตากรรม ค่อยๆแก้ทีละเรื่องต่อไป จะไม่โทษใคร โทษตัวเองที่ใจดีเซ็นให้พ่อ คิดว่าเรามาถึงนี่ได้ก็โชคดีมากเเล้ว
เป็นบทเรียนให้อีกหลายๆท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ อย่าใจอ่อน อย่าค้ำประกัน อย่าเซ็นอะไรมั่วซั่ว อย่าให้คำว่ากตัญญูมาทำร้ายเรา
พิมพ์มายาวเหยียด รู้สึกดีขึ้นเเล้วครับ สมัครพันทิพมาเพื่อการนี้ ไม่อยากระบายอะไรบน FB ไม่อยากให้ภรรยารู้ด้วย
ขอบคุณทุกท่านที่เสียเวลาเข้ามาอ่านครับ
เผื่อเพื่อนๆท่านไหนแวะมาอ่าน มากระทุ้งให้ผมมีสติ มาด่า มาให้กำลังใจ ยินดีนะครับ หรือมีใครมีเรื่องคล้ายๆกันแชร์มาหน่อยนะครับ อยากอ่าน
ขอบคุณครับ