เกริ่น. ในสมัยพุทธกาล พุทธบริษัท. โดยเฉพาะอย่างยิ่งภิกษุมีการเรียนการสอนแยกเป็น 2 ลักษณะ. คือ
1.คันถธุระ หมายถึงการท่องจำพุทธวัจน แยกเป็นท่องจำเป็นส่วนๆ หรือทั้งหมด ตามสติปัญญา เรียกว่ามุขปาฐะ
2.วิปัสสนาธุระ นำคำสอนไปปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังมรรคผลนิพพาน
การเรียนการท่องจำและการถ่ายทอดความรู้ในพุทธธรรมถูกถ่ายทอดอย่างนี้มาจนถึงราว พศ.500 จึงมีการจารึกลงวัสดุต่างๆ มี ใบลาน เป็นต้น. เมื่อมีการบันทึก ความสำคัญในการท่องจำก็น้อยลง. จนมาถึงยุคปัจจุบัน. ประเพณีการท่องจำพระพุทธวัจนะ จะมีอยู่อย่างชัดเจนก็ในประเทศพม่า มีการเรียนสอนท่องจำแยกเป็นส่วนๆ(นิกาย)ก็มี หรือพระภิกษุที่ทรงจำได้ทั้งปิฎกก็มี.
ส่วนในประเทศไทย ภิกษุที่ทรงจำปิฎกทั้งหมดไม่เคยได้ยินในประวัติศาสตร์. จะเห็นก็มีท่านที่ทรงจำหลายร้อยพระสูตรพอมีบ้าง. อันนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการศึกษาพระสัทธรรมที่ผ่านมาในระบบดั่งเดิม
ทีนี่มาดูการศึกษาพระสัทธรรมในไทยที่ผ่านมาเราเรียนอะไรกันบ้าง
ยุคตั้งแต่เริ่มมีชาติไทยเราเรียนปิฎกผ่าน อักขระขอม เป็นภาษาบาลี บุคคลที่จะศึกษาคำสอนพุทธวัจนะได้จะต้องรู้ภาษาไทย รู้ภาษาขอม รู้ภาษาบาลี จึงจะอ่านเข้าใจในพุทธวัจนะ โดยการเรียนภาษาบาลีหลักๆ ก็คือผ่านคำภีร์กัจจายน์. หรือเรียกว่าเรียนมูลกัจจายน์ อันเป็นพื้นฐานไวยากรณ์บาลี. ใช้เวลาเรียนไวยากรณ์อย่างเดียว 4 ปีหรือมากกว่า ซึ่งส่งผลให้การเรียนรู้พระวัจนะอยู่ในวงจำกัดมาก และผู้เรียนจนจบมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ

ภาพคัมภีรมูลกัจจายน์

ภาพภาษาขอมไทย บาลีเดิม
ยุคการเรียนและการสอนในรัชสมัยรัชกาลที่4 พศ.2347-2411 เริ่มธรรมยุติ ราว พศ.2390 พระองค์ทรงลาสิกขา ราว พศ.2394 ตลอดระยะเวลาทรงผนวช ทรงสนับสนุนการเรียนรู้การปฏิบัติผ่านพระไตรปิฎกอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย และวางรากนโยบายการศึกษาจากพระไตรปิฎกจนถึงปัจจุบัน
จนกระทั้งถึงรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยเราเริ่มมี พระบาลีที่ใช้อักษรไทย*(เดิมใช้อักษรขอม รัชกาลที่4 ใช้อักษรอริยกะแต่ไม่ได้รับความนิยม) และพร้อมกันนั้นทางคณะสงฆ์โดยต้นวงศ์ธรรมยุตโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงสร้างหลักสูตรขึ้น เป็น 2 ลักษณะ คือ หลักสูตรบาลีและหลักสูตรนักธรรม
หลักสูตรบาลี เรียนบาลีหลักสูตรเร่งรัดเพื่อให้แปลและใช้พุทธวัจนะได้ง่ายขึ้นในเวลาที่ไม่มาก เรียกหลักสูตรบาลีเปรียญ โดยมีจุดประสงค์เพื่ออ่านพระไตรปิฎกได้ (สาเหตุการจัดทำหลักสูตรเร่งรัดเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เรียนให้มากขึ้น เพราะหลักสูตรเดิมผู้เรียนมีจำนวนน้อยลงอย่างมาก)
พร้อมกับจัดการสอนภาษาไทยในวัดขึ้นด้วย เพื่อให้เป็นพื้นฐานในการนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาชาติไทยยุคปัจจุบันในระบบ "โรงเรียนวัด" คือมีพระภิกษุสอนภาษาไทยในวัด เพื่อเป็นพื้นฐานเรียนบาลีอักษรไทยต่อไป.
(*พระไตรปิฎกแปลไทยเริ่มมีราว พศ.2500)
จะเห็นได้ว่ายุครอยต่อพระไตรปิฎกอักษรไทย ราวปี พศ.2420-2450 เป็นยุคที่พระพุทธวัจนะเริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น. จนเกิดหมู่นักปฏิบัติโดยเฉพาะพระวินัยตรงตามปิฎก เป็นที่แหวกประเพณีการปฏิบัติยุคเก่าๆ เป็นอย่างมากทั่วประเทศ โดยเฉพาะการนำกลุ่มของท่านเทวธมฺมี (ม้าว) สัทธิวิหาริกในพระวชิรญาณภิกขุ(รัชกาลที่4) ท่านเทวธมฺมี(ม้าว) ซึ่งได้รับพระบัญชาให้ตั้งวงศ์กรรมฐานในพื้นที่อีสานใต้ อันเป็นต้นกำเนิดวงศ์กรรมฐานอีสานตั้งแต่นั้นมา โดยมีสัทธวิหาริกยุคต่อมาคือ หลวงปู่เสาร์ และตั้งวงศ์อย่างมั่นคงในยุคต่อมา โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จนถึงปัจจุบัน
มาในยุคการศึกษาแผนใหม่
อนึ่งในปี พศ.2436และ พศ.2439 รัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนามหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นสองแห่งคือ มหามกุฎราชวิทยาลัย และ มหาจุฬาราชวิทยาลัยด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้พระไตรปิฎกและการศึกษาชั้นสูงของประเทศ โดยมีลักษณะการสร้างหลักสูตรตามแนวการเรียนการสอนในยุโรปสมัยนั้น...
อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวในการส่งเสริมการเรียนพระไตรปิฎก ก็ไม่สามารถบรรลุได้อย่างชัดเจนและประกอบด้วยปัจจัยที่ไม่อำนวยหลายๆด้าน. ทำให้การเรียนการสอนทั้งสองมหาวิทยาลัยปิดการดำเนินงานมาหลายปีในช่วง พศ.2457 (สงครามโลกครั้งที่ 1)
หลังจากนั้นมหาวิทยาลัยสงฆ์ได้รับการฟื้นฟูใหม่โดย ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ผ่านท่านพระมหาเจริญ สุวัฑฒโน ภิกขุ (สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 19) นำความเรียนปรึกษาจนกระทั้งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งได้ออกโรงสนับสนุนด้วยพระองค์เอง โดยมีพระบัญชาให้ประกาศเพื่อตั้งสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. 2488 (สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2) และมหาจุฬาฯ ในปี พศ.2490
โดยการกำเนิดใหม่ของมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งเริ่มการเรียนการสอน และพัฒนาหลักสูตร ด้วยจุดประสงค์ให้พระภิกษุทันโลกยุคปัจจุบัน. ซึ่งเป็นผลให้มหาวิทยาลัยสงฆ์มีการเรียนการสอนจนถึงยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า ในหลักสูตรตะวันตกเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์การเรียนการสอนพระไตรปิฎกเฉกเช่น สมัยพุทธกาล อันเป็นคันถธุระเพื่อรักษาวิปัสสนาธุระ เพื่อรักษาไว้ซึ่งพระพุทธเจตนารมณ์ได้เลย
บริบทสำคัญกับการศึกษาภาคปริยัติเพื่อการปฏิบัติในประเทศไทย
1.คันถธุระ หมายถึงการท่องจำพุทธวัจน แยกเป็นท่องจำเป็นส่วนๆ หรือทั้งหมด ตามสติปัญญา เรียกว่ามุขปาฐะ
2.วิปัสสนาธุระ นำคำสอนไปปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังมรรคผลนิพพาน
การเรียนการท่องจำและการถ่ายทอดความรู้ในพุทธธรรมถูกถ่ายทอดอย่างนี้มาจนถึงราว พศ.500 จึงมีการจารึกลงวัสดุต่างๆ มี ใบลาน เป็นต้น. เมื่อมีการบันทึก ความสำคัญในการท่องจำก็น้อยลง. จนมาถึงยุคปัจจุบัน. ประเพณีการท่องจำพระพุทธวัจนะ จะมีอยู่อย่างชัดเจนก็ในประเทศพม่า มีการเรียนสอนท่องจำแยกเป็นส่วนๆ(นิกาย)ก็มี หรือพระภิกษุที่ทรงจำได้ทั้งปิฎกก็มี.
ส่วนในประเทศไทย ภิกษุที่ทรงจำปิฎกทั้งหมดไม่เคยได้ยินในประวัติศาสตร์. จะเห็นก็มีท่านที่ทรงจำหลายร้อยพระสูตรพอมีบ้าง. อันนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการศึกษาพระสัทธรรมที่ผ่านมาในระบบดั่งเดิม
ทีนี่มาดูการศึกษาพระสัทธรรมในไทยที่ผ่านมาเราเรียนอะไรกันบ้าง
ยุคตั้งแต่เริ่มมีชาติไทยเราเรียนปิฎกผ่าน อักขระขอม เป็นภาษาบาลี บุคคลที่จะศึกษาคำสอนพุทธวัจนะได้จะต้องรู้ภาษาไทย รู้ภาษาขอม รู้ภาษาบาลี จึงจะอ่านเข้าใจในพุทธวัจนะ โดยการเรียนภาษาบาลีหลักๆ ก็คือผ่านคำภีร์กัจจายน์. หรือเรียกว่าเรียนมูลกัจจายน์ อันเป็นพื้นฐานไวยากรณ์บาลี. ใช้เวลาเรียนไวยากรณ์อย่างเดียว 4 ปีหรือมากกว่า ซึ่งส่งผลให้การเรียนรู้พระวัจนะอยู่ในวงจำกัดมาก และผู้เรียนจนจบมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ
ภาพคัมภีรมูลกัจจายน์
ภาพภาษาขอมไทย บาลีเดิม
ยุคการเรียนและการสอนในรัชสมัยรัชกาลที่4 พศ.2347-2411 เริ่มธรรมยุติ ราว พศ.2390 พระองค์ทรงลาสิกขา ราว พศ.2394 ตลอดระยะเวลาทรงผนวช ทรงสนับสนุนการเรียนรู้การปฏิบัติผ่านพระไตรปิฎกอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย และวางรากนโยบายการศึกษาจากพระไตรปิฎกจนถึงปัจจุบัน
จนกระทั้งถึงรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยเราเริ่มมี พระบาลีที่ใช้อักษรไทย*(เดิมใช้อักษรขอม รัชกาลที่4 ใช้อักษรอริยกะแต่ไม่ได้รับความนิยม) และพร้อมกันนั้นทางคณะสงฆ์โดยต้นวงศ์ธรรมยุตโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงสร้างหลักสูตรขึ้น เป็น 2 ลักษณะ คือ หลักสูตรบาลีและหลักสูตรนักธรรม
หลักสูตรบาลี เรียนบาลีหลักสูตรเร่งรัดเพื่อให้แปลและใช้พุทธวัจนะได้ง่ายขึ้นในเวลาที่ไม่มาก เรียกหลักสูตรบาลีเปรียญ โดยมีจุดประสงค์เพื่ออ่านพระไตรปิฎกได้ (สาเหตุการจัดทำหลักสูตรเร่งรัดเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เรียนให้มากขึ้น เพราะหลักสูตรเดิมผู้เรียนมีจำนวนน้อยลงอย่างมาก)
พร้อมกับจัดการสอนภาษาไทยในวัดขึ้นด้วย เพื่อให้เป็นพื้นฐานในการนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาชาติไทยยุคปัจจุบันในระบบ "โรงเรียนวัด" คือมีพระภิกษุสอนภาษาไทยในวัด เพื่อเป็นพื้นฐานเรียนบาลีอักษรไทยต่อไป.
(*พระไตรปิฎกแปลไทยเริ่มมีราว พศ.2500)
จะเห็นได้ว่ายุครอยต่อพระไตรปิฎกอักษรไทย ราวปี พศ.2420-2450 เป็นยุคที่พระพุทธวัจนะเริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น. จนเกิดหมู่นักปฏิบัติโดยเฉพาะพระวินัยตรงตามปิฎก เป็นที่แหวกประเพณีการปฏิบัติยุคเก่าๆ เป็นอย่างมากทั่วประเทศ โดยเฉพาะการนำกลุ่มของท่านเทวธมฺมี (ม้าว) สัทธิวิหาริกในพระวชิรญาณภิกขุ(รัชกาลที่4) ท่านเทวธมฺมี(ม้าว) ซึ่งได้รับพระบัญชาให้ตั้งวงศ์กรรมฐานในพื้นที่อีสานใต้ อันเป็นต้นกำเนิดวงศ์กรรมฐานอีสานตั้งแต่นั้นมา โดยมีสัทธวิหาริกยุคต่อมาคือ หลวงปู่เสาร์ และตั้งวงศ์อย่างมั่นคงในยุคต่อมา โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จนถึงปัจจุบัน
มาในยุคการศึกษาแผนใหม่
อนึ่งในปี พศ.2436และ พศ.2439 รัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนามหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นสองแห่งคือ มหามกุฎราชวิทยาลัย และ มหาจุฬาราชวิทยาลัยด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้พระไตรปิฎกและการศึกษาชั้นสูงของประเทศ โดยมีลักษณะการสร้างหลักสูตรตามแนวการเรียนการสอนในยุโรปสมัยนั้น...
อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวในการส่งเสริมการเรียนพระไตรปิฎก ก็ไม่สามารถบรรลุได้อย่างชัดเจนและประกอบด้วยปัจจัยที่ไม่อำนวยหลายๆด้าน. ทำให้การเรียนการสอนทั้งสองมหาวิทยาลัยปิดการดำเนินงานมาหลายปีในช่วง พศ.2457 (สงครามโลกครั้งที่ 1)
หลังจากนั้นมหาวิทยาลัยสงฆ์ได้รับการฟื้นฟูใหม่โดย ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ผ่านท่านพระมหาเจริญ สุวัฑฒโน ภิกขุ (สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 19) นำความเรียนปรึกษาจนกระทั้งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งได้ออกโรงสนับสนุนด้วยพระองค์เอง โดยมีพระบัญชาให้ประกาศเพื่อตั้งสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. 2488 (สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2) และมหาจุฬาฯ ในปี พศ.2490
โดยการกำเนิดใหม่ของมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งเริ่มการเรียนการสอน และพัฒนาหลักสูตร ด้วยจุดประสงค์ให้พระภิกษุทันโลกยุคปัจจุบัน. ซึ่งเป็นผลให้มหาวิทยาลัยสงฆ์มีการเรียนการสอนจนถึงยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า ในหลักสูตรตะวันตกเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์การเรียนการสอนพระไตรปิฎกเฉกเช่น สมัยพุทธกาล อันเป็นคันถธุระเพื่อรักษาวิปัสสนาธุระ เพื่อรักษาไว้ซึ่งพระพุทธเจตนารมณ์ได้เลย