
.
ผมเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมพนักงานใหม่ เข้ามาทำงานไม่ทันไรก็ขอลาออกเสียแล้ว ในฐานะคนทำงาน HR น้ำตาก็แทบไหล เพราะกว่าจะหาคนดีๆได้สักคนเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็น แต่ดันรับเข้ามาทำงานไม่ทันไรก็ลาออกเสียได้ เลยเป็นคำถามที่ชวนทุกคนมาให้ความเห็นกัน ว่าเพราะสาเหตุอะไร ทำไมท่านถึงเลือกลาออกจากที่ทำงานใหม่ ทั้งที่ทำงานได้ไม่นาน ?
.
.
และในบทความนี้ ผมก็ขอแชร์ประสบการณ์ของตัวเองเช่นกัน ว่าเพราะอะไร ผมถึงไม่ยอมทนในสถานที่ทำงานใหม่ ที่อุตส่าห์คาดหวังว่าจะดีกว่าที่เดิม
.
.
เหตุการณ์มันเริ่มขึ้น เมื่อผมตัดสินใจย้ายที่ทำงาน เพื่อตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้น หลังจากคุยรายละเอียดกันเรียบร้อย ซึ่งก็เป็นปกติ ไม่มีที่ไหนเผยธาตุแท้ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในองค์กรให้เรารู้หมดหรอก จนกระทั่งถึงวันแรกที่เข้าไปทำงาน
.
1
เราคิดว่าช่วงการย้ายงานใหม่ สภาพจิตใจเราช่างเปราะบางเหลือเกิน ต่อให้จะพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างไร มันก็ต้องมีอารมณ์ตื่นเต้น ไม่รู้ กลัว กระวนกระวายกันบ้าง ไหนจะต้องปรับตัวต่างๆนานาทั้ง เวลาตื่น, ร้านอาหารที่เคยกิน, เพื่อนที่เคยสนิท, งานที่เคยทำ, คอมพิวเตอร์ที่เคยใช้, ป้าแม่บ้านที่เคยsay hi, ที่จอดรถใหม่, เส้นทางการเดินทางใหม่, เจ้านายใหม่, เสื้อผ้าใหม่, โต๊ะทำงานใหม่, หมาแมวประจำออฟฟิตตัวใหม่, ห้องน้ำใหม่ มันคือความสดใหม่ของทุกสิ่งอย่าง
.
.
2
สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือ ขอเวลาในการปรับตัว เราพบว่าหลายครั้ง บรรดาหัวหน้างาน เจ้านาย หรือแม้กระทั่งคนทำงานร่วมกัน มักไม่เข้าใจ และคิดว่าคนที่มาใหม่ต้องพร้อมทำงานเลย โอเคใช่ ถ้าว่ากันด้วยความเป็นมืออาชีพ เราก็ควรทำงานได้เลย แต่ๆๆๆ ถ้าว่ากันด้วยหลักมนุษย์ ปุถุชนคนธรรมดาคุยกัน ช่วงสัปดาห์แรกของการทำงานใหม่ เราควรให้พนักงานได้ปรับตัวก่อนไหม? เพราะลำพังแค่การเปลี่ยนแปลงวิถีต่างๆในชีวิตเขา มันก็ทำให้เขายากพอแล้ว ผมคิดว่าช่วงเวลานี้ พนักงานใหม่ไม่พร้อมจะรับแรงกดดัน จากเหล่าหัวหน้างานทั้งหลาย ที่เข้ามาปานจะดูดเลือด ดูดเนื้อ จากน้องใหม่ไร้บริสุทธิ์เช่นนี้
.
.
3
ขอแชร์ประสบการณ์ตรง หลังจากเข้าไปทำงานที่ใหม่ได้ 1 อาทิตย์ เป็นช่วงเวลาที่ความสับสน และการปรับตัวกำลังค่อยๆคลี่คลาย พร้อมกับเริ่มชินกับวิถีชีวิตใหม่ แต่แล้ว !!!!.......... วันหนึ่ง อยู่ดีไม่ว่าดี ก็โดนเจ้านายใหม่ เข้ามาสวดเทศนาความยาวต่อเนื่องเกือบ 1 ชั่วโมง
.
.
โดยเรื่องที่โดนตำหนิคือ เราไม่ยอมตอบข้อความในเย็นวันเสาร์ และไม่ยอมเอางานกลับไปทำที่บ้าน ความรู้สึกตอนนั้นคือแบบ แมร่ง !! เชี่ยอะไรวะ เพราะต้องบอกก่อนว่า ก่อนหน้านั้น เราเคยใช้ชีวิตแบบ เลิกงานไปออกกำลังกาย เสาร์อาทิตย์ไปเที่ยว ไปตะลอนนอกบ้าน ถามว่าพร้อมปรับตัวตามที่เขาบอกไหม คือถ้าค่อยๆคุยกันอะได้ แต่อยู่ดีๆมาจัดชุดใหญ่ พร้อมมาบังคับให้เราเปลี่ยนวิถีชีวิต เราก็เลยต้องบอก say goodbye…….ทันที
.
.
4
เราลองมาถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่ผ่านมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็ได้บทเรียนออกมาดังนี้
.
.
4.1 เราพบว่าตอนนั้น เรามีความรู้สึกยังไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลง และในสภาพจิตใจแบบนั้น เราพร้อม shut down ไม่อดทนต่ออะไรก็ตามที่เข้ามาทำให้เรารู้สึกแย่ลงไป หรือไม่คุ้นชิน บางทีชนวนเล็กๆ สำหรับคนที่อยู่มาก่อน มันอาจจะใหญ่สำหรับคนที่มาใหม่ และอยู่ในช่วงเวลากำลังเปราะบาง ดังนั้นอย่าคิดเพียงแต่มุมมองของตัวเองว่าคนอื่นไม่มีความอดทน คุณเองก็ไม่มีความอดทนรอเช่นกัน
.
.
4.2 หากเหตุการณ์โดนเทศนายาววันนั้น มาเกิดขึ้นกับที่ทำงานเก่าที่ทำงานมาแล้วหลายปี ผมคิดว่าเรารับได้ เพราะมันไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น และยิ่งถ้าเกิดขึ้นในสภาวะที่ทุกอย่างรอบตัว โอเคแล้ว เราคิดว่า ทนได้
.
เปรียบง่ายๆถ้าคุณย้ายบ้านใหม่ มาวันแรกโดนพายุซัดกระหนำบ้านคุณ คุณคงใจฟ่อ เสียขวัญไม่ใช่น้อย และคงรับมือกับพายุได้ลำบาก กับกันถ้าบ้านที่คุณอยู่มานับสิบปี หากมีพายุฝนเข้ามา คุณอาจจะไม่รู้สึกกังวล ทั้งยังรู้เป็นอย่างดีด้วยว่า ต้องทำอะไรก่อน หลัง อุดรอยรั่วตรงไหน เพราะเราคุ้นชินกับสถานที่นั้นแล้ว
.
.
4.3 ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่เรายังพอเลือกได้ ว่าจะไปต่อหรือหันหลังกล่าวคือ การเริ่มทำงานที่ใหม่ ถ้าไม่โอเค เราพร้อมออกโดยไม่เสียดายอยู่แล้ว แถมบางทีหากเราเป็นเด็กดีกับที่เก่า ที่ทำงานเก่าก็พร้อมโอบกอดเรากลับไปทำงานอยู่แล้ว จึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ทน และมักจะเอาบริษัทใหม่ มาเปรียบกับบริษัทเก่าเสมอ แหม่ๆๆ ก็แน่ละ ….บางทีของเก่าที่คุ้นเคย มันก็ให้ความรู้สึกดีกว่าของใหม่ที่ไม่แน่นอน
.
.
4.4 ตอนสัมภาษณ์ เราพลาดที่ไม่ยอมถามรายละเอียดให้ครบถ้วน เช่น สวัสดิการ สัญญาจ้าง และที่สำคัญ ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนที่เป็นเจ้านายโดยตรง ถ้าย้อนกลับไป ยอมเสียเวลาคุยกันตอนสัมภาษณ์ให้ชัดเจน ดีกว่ามาเสียเวลา เข้าๆออกๆแบบนี้ เสียเวลากันทั้ง 2 ฝ่ายเปล่าๆ
.
.
4.5 เราไม่มีที่พึ่งพิง มนุษย์ต่อให้จะแข็งแกร่งเพียงใด เราว่ายังไงก็ยังอยากได้ที่ระบาย หรือคนที่คอยปรึกษา โอเค เรามีครอบครัว เพื่อนฝูงปรึกษาได้ แต่ถ้ามันมีเพื่อนในองค์กรที่ เข้าใจในบริบทเดียวกัน เราคิดว่ามันรู้สึกดีกว่า การไปเคว้งคว้างอยู่คนเดียวในที่ใหม่ๆ คงเหมือนกับการหลงทาง หรือการเจอผี ถ้าเลือกได้การมีเพื่อนร่วมชะตากรรมเจอผีด้วยกัน มันคงน่าสนุกและน่ากลัวน้อยกว่าการเจอผีคนเดียวเป็นไหนๆ...แฮร่ๆ
.
.
สรุปแล้วข้อเสนอสำหรับบทความนี้ ที่อยากให้บริษัทดูแลพนักงานใหม่ เพื่อลดอัตราการลาออกก่อนวันเวลาอันควร ผมก็ขอเสนอทางเลือกไว้ดังต่อไปนี้
.
.
HR
ควรเป็นหน่วยงานแรกที่เข้าไปดูแลเอาใจใส่พนักงานใหม่ นับตั้งแต่การสัมภาษณ์ นัดเริ่มงาน ปฐมนิเทศ และช่วงแรกของการทำงาน HR ควรทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ไม่ใช่อาจารย์ฝ่ายปกครอง ที่จ้องคอยแต่วางมาด ให้คนอื่นเกรงกลัวไปวันๆ
.
.
หัวหน้างาน
ผมคิดว่าเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ทำให้พนักงานใหม่ลาออก ส่วนใหญ่แล้ว เพราะใจร้อนอยากให้ทุกอย่างออกมา ตามที่ตนเองต้องการเกินไป ผมอยากให้เอาใจเขา มาใส่ใจเรา คนที่คุณคิดว่าเก่ง คุณเลือกเข้ามาอย่างมั่นใจ บางทีเขาก็ต้องการเวลาปรับตัว เพราะทุกสิ่งที่เขาพูดมาตอนสัมภาษณ์เขาทำได้ เพียงแค่ให้เวลาเขาในการพิสูจน์ตัวเองบ้าง ลองนึกถึงตัวเองดูบ้างก็ได้ ว่าต้องใช้เวลากี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี กว่าที่จะเชี่ยวชาญในงานที่ตนเองทำอยู่ หรือว่าคุณเก่งทำงานได้เลยมาตั้งแต่วันแรกละ??
.
.
เพื่อนร่วมงาน
ผมคิดว่า เพื่อนร่วมงานสามารถทำตัวเองให้เป็นที่พักพิงทางใจ ให้กับพนักงานใหม่ได้เป็นอย่างดี และบางทีเราอาจจะได้เพื่อนใหม่ที่แสนดีเพิ่มมาอีก 1 คน ในช่วงเวลาที่พนักงานใหม่เข้ามา มันคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเขา บางทีคนที่คอยทำดีกับเขาในช่วงเวลานั้น อาจสร้างความประทับใจ และกลายเป็นมิตรภาพที่ดีต่อกันไปอีกนานก็ได้ครับ
.
.
ตัวพนักงานใหม่
ถ้าหากเปลี่ยนอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็คงต้องมาเปลี่ยนที่ตัวเอง หากมองดูหนทางแล้ว หันหลังกลับไปไม่เจอใคร มองซ้าย มองขวาไม่เจอทางออก การอดทน ปรับตัว คงเป็นทางเลือกสุดท้าย ให้เราสู้กับปัญหา และเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องที่เราคิดว่าแย่ในช่วงแรก ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องที่เรามองว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะเวลาคือเพื่อนในการปรับตัวที่ดีที่สุด
.
.
แล้วเพื่อนๆมีข้อเสนออะไรกันบ้างครับ ถ้ามีมาแชร์ ให้ทุกคนได้อ่านกันครับว่าทำไมเราถึงตัดสินใจลาออกก่อนวันอันควร บางทีเจ้านายคุณอาจกำลังจะนั่งอ่านบทความนี้อยู่ก็ได้นะครับ
.
ขอบคุณครับ
ยังไม่ทันไรก็ไปซะละ….เหตุผลอะไร ที่ทำให้พนักงานใหม่ลาออก
.
ผมเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมพนักงานใหม่ เข้ามาทำงานไม่ทันไรก็ขอลาออกเสียแล้ว ในฐานะคนทำงาน HR น้ำตาก็แทบไหล เพราะกว่าจะหาคนดีๆได้สักคนเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็น แต่ดันรับเข้ามาทำงานไม่ทันไรก็ลาออกเสียได้ เลยเป็นคำถามที่ชวนทุกคนมาให้ความเห็นกัน ว่าเพราะสาเหตุอะไร ทำไมท่านถึงเลือกลาออกจากที่ทำงานใหม่ ทั้งที่ทำงานได้ไม่นาน ?
.
.
และในบทความนี้ ผมก็ขอแชร์ประสบการณ์ของตัวเองเช่นกัน ว่าเพราะอะไร ผมถึงไม่ยอมทนในสถานที่ทำงานใหม่ ที่อุตส่าห์คาดหวังว่าจะดีกว่าที่เดิม
.
.
เหตุการณ์มันเริ่มขึ้น เมื่อผมตัดสินใจย้ายที่ทำงาน เพื่อตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้น หลังจากคุยรายละเอียดกันเรียบร้อย ซึ่งก็เป็นปกติ ไม่มีที่ไหนเผยธาตุแท้ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในองค์กรให้เรารู้หมดหรอก จนกระทั่งถึงวันแรกที่เข้าไปทำงาน
.
1
เราคิดว่าช่วงการย้ายงานใหม่ สภาพจิตใจเราช่างเปราะบางเหลือเกิน ต่อให้จะพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างไร มันก็ต้องมีอารมณ์ตื่นเต้น ไม่รู้ กลัว กระวนกระวายกันบ้าง ไหนจะต้องปรับตัวต่างๆนานาทั้ง เวลาตื่น, ร้านอาหารที่เคยกิน, เพื่อนที่เคยสนิท, งานที่เคยทำ, คอมพิวเตอร์ที่เคยใช้, ป้าแม่บ้านที่เคยsay hi, ที่จอดรถใหม่, เส้นทางการเดินทางใหม่, เจ้านายใหม่, เสื้อผ้าใหม่, โต๊ะทำงานใหม่, หมาแมวประจำออฟฟิตตัวใหม่, ห้องน้ำใหม่ มันคือความสดใหม่ของทุกสิ่งอย่าง
.
.
2
สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือ ขอเวลาในการปรับตัว เราพบว่าหลายครั้ง บรรดาหัวหน้างาน เจ้านาย หรือแม้กระทั่งคนทำงานร่วมกัน มักไม่เข้าใจ และคิดว่าคนที่มาใหม่ต้องพร้อมทำงานเลย โอเคใช่ ถ้าว่ากันด้วยความเป็นมืออาชีพ เราก็ควรทำงานได้เลย แต่ๆๆๆ ถ้าว่ากันด้วยหลักมนุษย์ ปุถุชนคนธรรมดาคุยกัน ช่วงสัปดาห์แรกของการทำงานใหม่ เราควรให้พนักงานได้ปรับตัวก่อนไหม? เพราะลำพังแค่การเปลี่ยนแปลงวิถีต่างๆในชีวิตเขา มันก็ทำให้เขายากพอแล้ว ผมคิดว่าช่วงเวลานี้ พนักงานใหม่ไม่พร้อมจะรับแรงกดดัน จากเหล่าหัวหน้างานทั้งหลาย ที่เข้ามาปานจะดูดเลือด ดูดเนื้อ จากน้องใหม่ไร้บริสุทธิ์เช่นนี้
.
.
3
ขอแชร์ประสบการณ์ตรง หลังจากเข้าไปทำงานที่ใหม่ได้ 1 อาทิตย์ เป็นช่วงเวลาที่ความสับสน และการปรับตัวกำลังค่อยๆคลี่คลาย พร้อมกับเริ่มชินกับวิถีชีวิตใหม่ แต่แล้ว !!!!.......... วันหนึ่ง อยู่ดีไม่ว่าดี ก็โดนเจ้านายใหม่ เข้ามาสวดเทศนาความยาวต่อเนื่องเกือบ 1 ชั่วโมง
.
.
โดยเรื่องที่โดนตำหนิคือ เราไม่ยอมตอบข้อความในเย็นวันเสาร์ และไม่ยอมเอางานกลับไปทำที่บ้าน ความรู้สึกตอนนั้นคือแบบ แมร่ง !! เชี่ยอะไรวะ เพราะต้องบอกก่อนว่า ก่อนหน้านั้น เราเคยใช้ชีวิตแบบ เลิกงานไปออกกำลังกาย เสาร์อาทิตย์ไปเที่ยว ไปตะลอนนอกบ้าน ถามว่าพร้อมปรับตัวตามที่เขาบอกไหม คือถ้าค่อยๆคุยกันอะได้ แต่อยู่ดีๆมาจัดชุดใหญ่ พร้อมมาบังคับให้เราเปลี่ยนวิถีชีวิต เราก็เลยต้องบอก say goodbye…….ทันที
.
.
4
เราลองมาถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่ผ่านมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็ได้บทเรียนออกมาดังนี้
.
.
4.1 เราพบว่าตอนนั้น เรามีความรู้สึกยังไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลง และในสภาพจิตใจแบบนั้น เราพร้อม shut down ไม่อดทนต่ออะไรก็ตามที่เข้ามาทำให้เรารู้สึกแย่ลงไป หรือไม่คุ้นชิน บางทีชนวนเล็กๆ สำหรับคนที่อยู่มาก่อน มันอาจจะใหญ่สำหรับคนที่มาใหม่ และอยู่ในช่วงเวลากำลังเปราะบาง ดังนั้นอย่าคิดเพียงแต่มุมมองของตัวเองว่าคนอื่นไม่มีความอดทน คุณเองก็ไม่มีความอดทนรอเช่นกัน
.
.
4.2 หากเหตุการณ์โดนเทศนายาววันนั้น มาเกิดขึ้นกับที่ทำงานเก่าที่ทำงานมาแล้วหลายปี ผมคิดว่าเรารับได้ เพราะมันไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น และยิ่งถ้าเกิดขึ้นในสภาวะที่ทุกอย่างรอบตัว โอเคแล้ว เราคิดว่า ทนได้
.
เปรียบง่ายๆถ้าคุณย้ายบ้านใหม่ มาวันแรกโดนพายุซัดกระหนำบ้านคุณ คุณคงใจฟ่อ เสียขวัญไม่ใช่น้อย และคงรับมือกับพายุได้ลำบาก กับกันถ้าบ้านที่คุณอยู่มานับสิบปี หากมีพายุฝนเข้ามา คุณอาจจะไม่รู้สึกกังวล ทั้งยังรู้เป็นอย่างดีด้วยว่า ต้องทำอะไรก่อน หลัง อุดรอยรั่วตรงไหน เพราะเราคุ้นชินกับสถานที่นั้นแล้ว
.
.
4.3 ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่เรายังพอเลือกได้ ว่าจะไปต่อหรือหันหลังกล่าวคือ การเริ่มทำงานที่ใหม่ ถ้าไม่โอเค เราพร้อมออกโดยไม่เสียดายอยู่แล้ว แถมบางทีหากเราเป็นเด็กดีกับที่เก่า ที่ทำงานเก่าก็พร้อมโอบกอดเรากลับไปทำงานอยู่แล้ว จึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ทน และมักจะเอาบริษัทใหม่ มาเปรียบกับบริษัทเก่าเสมอ แหม่ๆๆ ก็แน่ละ ….บางทีของเก่าที่คุ้นเคย มันก็ให้ความรู้สึกดีกว่าของใหม่ที่ไม่แน่นอน
.
.
4.4 ตอนสัมภาษณ์ เราพลาดที่ไม่ยอมถามรายละเอียดให้ครบถ้วน เช่น สวัสดิการ สัญญาจ้าง และที่สำคัญ ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนที่เป็นเจ้านายโดยตรง ถ้าย้อนกลับไป ยอมเสียเวลาคุยกันตอนสัมภาษณ์ให้ชัดเจน ดีกว่ามาเสียเวลา เข้าๆออกๆแบบนี้ เสียเวลากันทั้ง 2 ฝ่ายเปล่าๆ
.
.
4.5 เราไม่มีที่พึ่งพิง มนุษย์ต่อให้จะแข็งแกร่งเพียงใด เราว่ายังไงก็ยังอยากได้ที่ระบาย หรือคนที่คอยปรึกษา โอเค เรามีครอบครัว เพื่อนฝูงปรึกษาได้ แต่ถ้ามันมีเพื่อนในองค์กรที่ เข้าใจในบริบทเดียวกัน เราคิดว่ามันรู้สึกดีกว่า การไปเคว้งคว้างอยู่คนเดียวในที่ใหม่ๆ คงเหมือนกับการหลงทาง หรือการเจอผี ถ้าเลือกได้การมีเพื่อนร่วมชะตากรรมเจอผีด้วยกัน มันคงน่าสนุกและน่ากลัวน้อยกว่าการเจอผีคนเดียวเป็นไหนๆ...แฮร่ๆ
.
.
สรุปแล้วข้อเสนอสำหรับบทความนี้ ที่อยากให้บริษัทดูแลพนักงานใหม่ เพื่อลดอัตราการลาออกก่อนวันเวลาอันควร ผมก็ขอเสนอทางเลือกไว้ดังต่อไปนี้
.
HR
ควรเป็นหน่วยงานแรกที่เข้าไปดูแลเอาใจใส่พนักงานใหม่ นับตั้งแต่การสัมภาษณ์ นัดเริ่มงาน ปฐมนิเทศ และช่วงแรกของการทำงาน HR ควรทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ไม่ใช่อาจารย์ฝ่ายปกครอง ที่จ้องคอยแต่วางมาด ให้คนอื่นเกรงกลัวไปวันๆ
.
หัวหน้างาน
ผมคิดว่าเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ทำให้พนักงานใหม่ลาออก ส่วนใหญ่แล้ว เพราะใจร้อนอยากให้ทุกอย่างออกมา ตามที่ตนเองต้องการเกินไป ผมอยากให้เอาใจเขา มาใส่ใจเรา คนที่คุณคิดว่าเก่ง คุณเลือกเข้ามาอย่างมั่นใจ บางทีเขาก็ต้องการเวลาปรับตัว เพราะทุกสิ่งที่เขาพูดมาตอนสัมภาษณ์เขาทำได้ เพียงแค่ให้เวลาเขาในการพิสูจน์ตัวเองบ้าง ลองนึกถึงตัวเองดูบ้างก็ได้ ว่าต้องใช้เวลากี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี กว่าที่จะเชี่ยวชาญในงานที่ตนเองทำอยู่ หรือว่าคุณเก่งทำงานได้เลยมาตั้งแต่วันแรกละ??
.
.
เพื่อนร่วมงาน
ผมคิดว่า เพื่อนร่วมงานสามารถทำตัวเองให้เป็นที่พักพิงทางใจ ให้กับพนักงานใหม่ได้เป็นอย่างดี และบางทีเราอาจจะได้เพื่อนใหม่ที่แสนดีเพิ่มมาอีก 1 คน ในช่วงเวลาที่พนักงานใหม่เข้ามา มันคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเขา บางทีคนที่คอยทำดีกับเขาในช่วงเวลานั้น อาจสร้างความประทับใจ และกลายเป็นมิตรภาพที่ดีต่อกันไปอีกนานก็ได้ครับ
.
.
ตัวพนักงานใหม่
ถ้าหากเปลี่ยนอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็คงต้องมาเปลี่ยนที่ตัวเอง หากมองดูหนทางแล้ว หันหลังกลับไปไม่เจอใคร มองซ้าย มองขวาไม่เจอทางออก การอดทน ปรับตัว คงเป็นทางเลือกสุดท้าย ให้เราสู้กับปัญหา และเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องที่เราคิดว่าแย่ในช่วงแรก ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องที่เรามองว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะเวลาคือเพื่อนในการปรับตัวที่ดีที่สุด
.
.
แล้วเพื่อนๆมีข้อเสนออะไรกันบ้างครับ ถ้ามีมาแชร์ ให้ทุกคนได้อ่านกันครับว่าทำไมเราถึงตัดสินใจลาออกก่อนวันอันควร บางทีเจ้านายคุณอาจกำลังจะนั่งอ่านบทความนี้อยู่ก็ได้นะครับ
.
ขอบคุณครับ