เปิดเวที ฟังความเดือดร้อนจากโควิด-19 ติง รัฐปลุกไทยเที่ยวไทย ไม่สำเร็จ
https://www.thairath.co.th/news/politic/1920485
ผู้นำฝ่ายค้าน เปิดเวทีรับฟังความเดือดร้อนจากโควิด-19 คาดท่องเที่ยวปลายปี 64 ยังไม่ฟื้นตัว ติง รัฐปลุกคนไทยเที่ยวไทยไม่สำเร็จ แนะ สร้างตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเพื่อการแพทย์ ฟื้นเศรษฐกิจ
วันที่ 29 ส.ค. เมื่อเวลา 12.30 น. ที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ฝ่ายค้านจัดเวทีรับฟัง 4 กลุ่มเปราะบาง จากวิกฤติโควิด ซึ่งเป็นเวทีที่ 2 ของฝ่ายค้านที่จัดเสวนาเพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนภาคธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการจากวิกฤติโควิด-19
โดย นาย
สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเปิดงานว่า ฝ่ายค้านฯ ได้ตระหนักความเดือดร้อนโรคโควิด-19 เพราะกระทบต่อประชาชนทุกภาคส่วน ฝ่ายค้านจึงมีดำริ ที่จะปรึกษาหารือตรวจสอบ ไปถึงประชาชนต่างๆ จะได้นำข้อมูลต่างๆ ที่กระทบต่อทุกภาคส่วน เพื่อนำข้อมูลเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรได้รับทราบและหาทางแก้ไข ทั้งนี้ฝ่ายค้านได้ทำงานเรื่องนี้มาเมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา เกี่ยวกับผลกระทบของผู้ใช้แรงงาน ประเทศไทยอยู่ได้ด้วยการท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยวได้สร้างแรงงานทุกภาคส่วน เม็ดเงินที่มาจากการท่องเที่ยวนั้น เป็นตัวเลขประมาณ 3 ล้านล้านบาท แต่ขณะนี้ตนอยากให้ประชาชนได้นึกถึงว่าสิ่งเหล่านี้มันขาดหายไปอย่างไร
นาย
สมพงษ์ ระบุว่า ตนต้องเรียนว่า ภาคการท่องเที่ยวคงจะเป็นสัดส่วนสุดท้ายที่จะได้รับฟื้นฟูเข้าสู่ระบบเดิม และเป็นระบบที่ช้าที่สุด เพราะต่างชาติยังไม่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ ทำให้การบริการหายไป ทำให้รัฐบาลแนะนำให้คนไทยเที่ยวในประเทศ แต่เม็ดเงินไทยเที่ยวไทยไม่ใช่เม็ดเงินจำนวนมาก ผิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวในประเทศไทย อีกทั้งประชาชนตกงาน การที่รัฐบาลจะใช้โครงการดังกล่าวนี้จะได้รับผลสำเร็จไม่มากนัก
"ผมว่าปลายปี 2564 ยังไม่เรียบร้อย ถ้าถึงเวลานั้น ท่านคิดหรือว่าพรรคพวกท่านที่มีอาชีพเดียวกันกับท่านจะอยู่รอดสักกี่คน ถ้าไม่อยู่รอดอะไรจะเกิดขึ้น ท่านมีครอบครัวต้องใช้จ่ายจากการที่ท่านประกอบการด้านการท่องเที่ยวโดยเฉพาะแรงงานการบริการ ไม่มีโอกาสฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว" ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าว...
นาย
สมพงษ์ ระบุว่า จุดเริ่มต้นของการจัด “เวทีแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19” โดยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบหลักๆ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. ภาคแรงงานในระบบและนอกระบบ ที่กรุงเทพมหานครในวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา
2. ภาคการท่องเที่ยวและบริการ ที่ จ.เชียงใหม่ ในวันนี้
3. ภาคการเกษตร ที่ จ.หนองคาย ในวันที่ 12 ก.ย.
4. ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก ที่ จ.ชลบุรี ในวันที่ 26 ก.ย.
นาย
สมพงษ์ ระบุว่า ภาคการท่องเที่ยวและบริการเป็นเสมือนหัวหอกในการพาประเทศเดินหน้ามาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ สร้างงาน สร้างรายได้จำนวนมหาศาล เป็นที่รองรับการจ้างงานขึ้นแซงภาคการเกษตรที่เคยเป็นหัวหอกในอดีต รายได้จากภาคการท่องเที่ยวนั้นสูงถึง 3 ล้านล้านบาท แต่วันนี้กลับกลายเป็นกลุ่มที่ต้องทนทุกข์ทรมานที่สุด ในขณะที่ภาคการผลิตอื่นเริ่มฟื้น ภาคการท่องเที่ยวยังคงน่าเป็นห่วง ในปัจจุบันเมื่อมีการคลายล็อกกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศส่วนใหญ่แล้ว จากที่เคยต้องกลั้นหายใจ ตอนนี้หายใจได้บ้างแล้ว บางกลุ่มหายใจได้ทั่วท้อง บางกลุ่มไม่ทั่วท้อง แต่สำหรับกลุ่มท่องเที่ยวและบริการ ผมมองว่ายังอยู่ในภาวะที่ต้องกลั้นหายใจอยู่ และมีแนวโน้มต้องกลั้นไปอีกนาน เพราะผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในต่างประเทศนั้นยังอยู่ในอัตราเร่ง การคาดหวังกับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเน้นปริมาณเหมือนในอดีต ยังไม่ใช่คำตอบในระยะเวลาอันใกล้ เราต้องเริ่มคิดถึงการสร้างตลาดท่องเที่ยวคุณภาพสูง ที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวนักท่องเที่ยวสูง เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเพื่อการแพทย์ เป็นต้น
"รัฐบาลพยายามจะนำเอาการท่องเที่ยวในประเทศมาหล่อเลี้ยงแทนท่องเที่ยวจากต่างประเทศ พยายามสนับสนุนให้คนไทยที่ชอบเที่ยวต่างประเทศในอดีตทั้งหมดจะหันมาเที่ยวไทยแทน แต่นั่นไม่สามารถทดแทนกันได้ เพราะโดยเฉลี่ย คนไทยเที่ยวต่างประเทศใช้จ่ายแค่ประมาณ 1 ใน 5 ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อมาเที่ยวไทย" นาย
สมพงษ์ ระบุ
นาย
สมพงษ์ ระบุว่า สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศ การฟื้นตัวยังอยู่ในขอบเขตจำกัด จังหวัดที่การท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวเร็วที่สุดคือ กลุ่มที่ไม่ได้พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติมากนักและอยู่ใกล้กรุงเทพ เช่น กาญจนบุรี นครราชสีมา หรือประจวบคีรีขันธ์ ที่เดินทางโดยรถยนต์ได้ และจังหวัดที่ฟื้นช้าที่สุด คือกลุ่มที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ต้องพึ่งพาการเดินทางโดยเครื่องบิน รวมถึงจังหวัดที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างประเทศสูง เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ หรือพังงา จังหวัดเหล่านี้ คือกลุ่มที่มี Supply ส่วนเกินสูงที่สุด เพราะปกติจะเป็นหัวหอกของการท่องเที่ยว นั่นแปลว่ามีความเสี่ยงที่ธุรกิจหลายแห่งต้องปิดตัวหรือไล่พนักงานออก เพราะไม่สามารถอยู่ได้ในวันที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเพียงพอ
มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลนั้น มีส่วนช่วยไม่มาก เพราะแกนหลักของปัญหาที่ประชาชนตกงาน ขาดรายได้ ยังไม่ได้รับการแก้ไข มาตรการเราเที่ยวด้วยกันที่ตอนแรกให้สิทธิ์ทั้งหมด 5 ล้านคน แต่มีประชาชนใช้จริงเพียง 5 แสนคน หรือเพียง 10% แสดงให้เห็นว่ามาตรการเหล่านี้ไม่ตอบโจทย์ของประชาชน เพราะปัญหาที่แท้จริงคือพวกเขาขาดแคลนรายได้ ใครจะท่องเที่ยวในขณะที่ตกงาน รายได้หด และยังมองไม่เห็นแสงสว่างว่าจะได้งานกลับคืนมาเมื่อไหร่ ที่แย่กว่านั้นคือ แทนที่รัฐบาลจะแก้ไขให้ตรงจุด กลับไปเพิ่มสิทธิ์เป็น 10 ล้านคน ทั้งที่สิทธิ์เก่ามีคนใช้เพียงน้อยนิด
นาย
สมพงษ์ ระบุว่า มาตรการด้านสินเชื่อก็มีปัญหา ส่วนใหญ่มีแต่กรอบวงเงิน แต่ไม่มีการอนุมัติจริง เพราะส่วนใหญ่ทำผ่านธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่ปล่อยกู้หากมีความเสี่ยง ประกอบกับเงื่อนไขสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำก็เข้มงวดจนรายย่อย หรือผู้ที่มีสายป่านสั้นเข้าไม่ถึงสินเชื่อ กรอบวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่มีการอนุมัติจริงไม่ถึงครึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความล้มเหลว มาตรการพักหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาลก็มีแต่กรอบนโยบาย ก็การปฏิบัติจริงกลับไม่สัมฤทธิ์ผล
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น ภาคท่องเที่ยวและบริการยังมีลักษณะพิเศษ ที่แตกต่างจากภาคอุตสาหกรรม คือ มีผู้ประกอบการและแรงงานนอกระบบค่อนข้างมาก และรายได้แปรผันตรงต่อยอดขายและการให้บริการ ไม่มีรายได้ที่เป็นฐาน มีแต่รายได้แปรผัน อีกทั้ง ภาคท่องเที่ยวเป็นกลุ่มเปราะบาง ที่เดือดร้อนที่สุดจากวิกฤตินี้ เพราะการท่องเที่ยวไม่มีแนวโน้มกลับมาในระยะเวลาอันใกล้ ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า จะกลับมาอย่างเร็วก็ปลายปีหน้า ซึ่งเชื่อว่า กว่า 90% มีลมหายใจไม่ถึงตอนนั้น ต้องล้มตาย เลิกกิจการ เลิกจ้าง และตกงานกันหมด
นักวิชาการ ลั่น ไม่รู้ศก.ขึ้นจากเหวได้หรือไม่ ฟันธง ต้องสู้อย่างน้อย 2 ปี ชี้ เงินอุดหนุนเด็กเล็ก ใช้งบน้อยกว่าเรือดำน้ำ 2 ลำ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2327025
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) จัดงานเสวนาวิชาการ “
ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย: ไม่แก้ไข เขียนใหม่เท่านั้น” เพื่อเป็นเวทีในการสรรค์สร้างสังคมประชาธิปไตย และหาทางออกเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประชาชนทุกคน ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วม
เวลา 13.00 น. มีการเสวนาในหัวข้อ “
ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย ในมุมมองนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัย”
ดร.
เดชรัตน์ สุขกำเนิด นักวิชาการอิสระ กล่าวถึงประเด็นเศรษฐกิจกับรัฐธรรมนูญว่า มองเห็นเบื้องต้น 2 ปี เป็นอย่างเร็ว ในความหมายทางเศรษฐกิจ ทุกคนทราบดีว่าเราอยู่ในจุดเหว และไม่รู้ว่าจะขึ้นจากเหวได้หรือไม่ จะลงเหวอีกหรือไม่ กล่าวคือ เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ และเปราะบางในทางเศรษฐกิจ จาก
1.การระบาดซ้ำของโควิด
2.การฟื้นตัวของต่างประเทศ ที่ัเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น
3.ปัญหาการเมือง 2 ปีนี้เราอยู่ในบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ชนชั้นนำทางสังคมเริ่มกังวลกับการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ 60 เหมือนเดิม
ซึ่งตอนนี้เกิดปรากฏการณ์ 2 อย่างที่คิดว่าจะนำได้ แต่ไม่มีฝีมือเท่าไหร่ เศรษฐกิจไม่ดีขึ้น และที่คิดว่าการเคลื่อนไหวของประชาชนทำได้ยาก ก็ดูเหมือนจะตรงกันข้าม สร้างความไม่ชอบธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างแรงกดดัน จนฝ่ายที่คิดว่า [เผล่ะจัง] จะให้ประโยชน์กับตัวเองมากกว่า ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด กดดัน จนให้ยอมมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่จะเป็นประเด็นสำคัญอย่างมาก เช่น รัฐธรรมนูญ ปี 40 ก็มีโจทย์ทางเศรษฐกิจ ในวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งตอนนี้ก็มี แต่ไม่ปะทุเท่าการเมือง ที่รัฐธรรมนูญนี้ แย่กว่า รัฐธรรมนูญ ปี 35 เพราะ เมื่อพ้นเดือนตุลาคมไป จะหมดระยะยืดหนี้ ซึ่งจะเกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ จะเปราะบางมาก และผู้นำเศรษฐกิจต้องลดความเสี่ยงลง จึงเป็นเหตุให้มีการส่งสัญญาณว่า อาจให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยกระบวนการ ส.ส.ร.
โดยจะแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาสำคัญ คือ 1.ภายในปีนี้ หรือ 4-5 เดือนจากนี้ รัฐบาลคิดเกมรอบคอบพอสมควร ถอยมาจุดต่ำสุดที่เขายืดได้ ที่อย่างน้อยยืดไป 2 ปี แม้ไม่ได้อยากอยู่จุดนี้ แต่ด้วยภาวะที่รับแรงกัดดันไม่ไหว ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ แค่อยากย้ำว่า ใน 4 เดือนนี้ เขายังหาโอกาสพลิกเกมเสมอ เพราะไม่ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากแก้ ดูได้จากข้อเสนอ บอกแค่ว่า ยอมถอยเรื่องไหน เราชัด รัฐบาลไม่ชัด จึงหาจุดต่ำจุดที่พอจะเสียได้
4 เดือนต่อจากนี้จึงต้องรักษาโมเมนตัมเอาไว้ให้ได้บรรยากาศทางการเมืองไปสู่การตั้ง ส.ส.ร เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งการแก้ไขรายมาตราก็สำคัญ เราไม่ได้อยากเป็นผู้ชนะฝ่ายเดียว แต่อยากมีกติการ่วมกันจริงๆ วิธีเดียวคือได้ ได้คนร่างที่มาจาการเลือกตั้ง
“ดังนั้น 2 เกือบปี กว่าจะเลือก ส.ส.ร. และเริ่มร่างได้ ทั้งนี้ เรื่องเนื้อหาจะถกกันอย่างเข้มข้นในหลายประเด็น เช่น วิธีการเลือกตั้งที่ดีคืออะไร การได้มาซึ่งรัฐบาล เรื่อง ส.ว. ที่ไม่ใช่แค่มาจากการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้ง แต่ไปสู่ การที่ว่า เราจำเป็นต้องมี ส.ว.หรือไม่ มีหลายหัวข้อที่เราต้องคุยกัน ซึ่งตอนนี้ยังมีคำถามกับองค์กรอิสระอย่างมาก และ กระบวนการยุติธรรม แม้จะไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่ตั้งคำถาม จากการรอดเพราะนามสกุล เหล่านี้ เป็นประเด็นที่ต้องคุยกันอีกยาว เลยไปจนถึงเรื่องสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ว่า ที่หายไป ไม่เฉพาะการเมือง ลามไปถึงการศึกษา เป็นการศึกษาฟรีได้หรือไม่ กระทั่งการรักษาพยาบาล จาก 30 บาท เติมคำว่าผู้ยากไร้เข้ามา ก็ทำได้ เพียงแต่รัฐบาลไม่ทำ เราจะทำแบบรัฐธรรมนูญ 40 หรือ คืบหน้าไปกว่านั้น เราทำได้” ดร.
เดชรัตน์กล่าว
ดร.
เดชรัตน์ กล่าวว่า ข้อเสนอหนึ่งของพี่น้องคนจน คือ เลือกตั้งผู้ว่าฯ จังหวัด แต่โจทย์ใหญ่คือ ผู้ว่าอยู่ในส่วนภูมิภาค ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคดีหรือไม่ ให้เป็นมาจากส่วนกลาง กับท้องถิ่น เป็นต้น คือตัวอย่างที่ถกเถียงได้ ถ้ารักษาบรรยากาศนี้ได้ ยังมีโจทย์อีกมากที่ต้องพูดคุย ไม่ใช่แค่จำกัดอำนาจฝ่าย [เผล่ะจัง] นิยม แต่ยังหมายถึงการสร้างอนาคตให้เห็นทางออกของพวกเราด้วย
JJNY : รัฐปลุกไทยเที่ยวไทยไม่สำเร็จ/นักวิชาการลั่นไม่รู้ศก.ขึ้นจากเหวได้หรือไม่/ประมงสุดทน/แอร์เอเชียคาดศก.ฟื้นปี65
https://www.thairath.co.th/news/politic/1920485
วันที่ 29 ส.ค. เมื่อเวลา 12.30 น. ที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ฝ่ายค้านจัดเวทีรับฟัง 4 กลุ่มเปราะบาง จากวิกฤติโควิด ซึ่งเป็นเวทีที่ 2 ของฝ่ายค้านที่จัดเสวนาเพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนภาคธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการจากวิกฤติโควิด-19
โดย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเปิดงานว่า ฝ่ายค้านฯ ได้ตระหนักความเดือดร้อนโรคโควิด-19 เพราะกระทบต่อประชาชนทุกภาคส่วน ฝ่ายค้านจึงมีดำริ ที่จะปรึกษาหารือตรวจสอบ ไปถึงประชาชนต่างๆ จะได้นำข้อมูลต่างๆ ที่กระทบต่อทุกภาคส่วน เพื่อนำข้อมูลเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรได้รับทราบและหาทางแก้ไข ทั้งนี้ฝ่ายค้านได้ทำงานเรื่องนี้มาเมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา เกี่ยวกับผลกระทบของผู้ใช้แรงงาน ประเทศไทยอยู่ได้ด้วยการท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยวได้สร้างแรงงานทุกภาคส่วน เม็ดเงินที่มาจากการท่องเที่ยวนั้น เป็นตัวเลขประมาณ 3 ล้านล้านบาท แต่ขณะนี้ตนอยากให้ประชาชนได้นึกถึงว่าสิ่งเหล่านี้มันขาดหายไปอย่างไร
นายสมพงษ์ ระบุว่า ตนต้องเรียนว่า ภาคการท่องเที่ยวคงจะเป็นสัดส่วนสุดท้ายที่จะได้รับฟื้นฟูเข้าสู่ระบบเดิม และเป็นระบบที่ช้าที่สุด เพราะต่างชาติยังไม่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ ทำให้การบริการหายไป ทำให้รัฐบาลแนะนำให้คนไทยเที่ยวในประเทศ แต่เม็ดเงินไทยเที่ยวไทยไม่ใช่เม็ดเงินจำนวนมาก ผิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวในประเทศไทย อีกทั้งประชาชนตกงาน การที่รัฐบาลจะใช้โครงการดังกล่าวนี้จะได้รับผลสำเร็จไม่มากนัก
"ผมว่าปลายปี 2564 ยังไม่เรียบร้อย ถ้าถึงเวลานั้น ท่านคิดหรือว่าพรรคพวกท่านที่มีอาชีพเดียวกันกับท่านจะอยู่รอดสักกี่คน ถ้าไม่อยู่รอดอะไรจะเกิดขึ้น ท่านมีครอบครัวต้องใช้จ่ายจากการที่ท่านประกอบการด้านการท่องเที่ยวโดยเฉพาะแรงงานการบริการ ไม่มีโอกาสฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว" ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าว...
นายสมพงษ์ ระบุว่า จุดเริ่มต้นของการจัด “เวทีแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19” โดยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบหลักๆ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. ภาคแรงงานในระบบและนอกระบบ ที่กรุงเทพมหานครในวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา
2. ภาคการท่องเที่ยวและบริการ ที่ จ.เชียงใหม่ ในวันนี้
3. ภาคการเกษตร ที่ จ.หนองคาย ในวันที่ 12 ก.ย.
4. ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก ที่ จ.ชลบุรี ในวันที่ 26 ก.ย.
นายสมพงษ์ ระบุว่า ภาคการท่องเที่ยวและบริการเป็นเสมือนหัวหอกในการพาประเทศเดินหน้ามาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ สร้างงาน สร้างรายได้จำนวนมหาศาล เป็นที่รองรับการจ้างงานขึ้นแซงภาคการเกษตรที่เคยเป็นหัวหอกในอดีต รายได้จากภาคการท่องเที่ยวนั้นสูงถึง 3 ล้านล้านบาท แต่วันนี้กลับกลายเป็นกลุ่มที่ต้องทนทุกข์ทรมานที่สุด ในขณะที่ภาคการผลิตอื่นเริ่มฟื้น ภาคการท่องเที่ยวยังคงน่าเป็นห่วง ในปัจจุบันเมื่อมีการคลายล็อกกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศส่วนใหญ่แล้ว จากที่เคยต้องกลั้นหายใจ ตอนนี้หายใจได้บ้างแล้ว บางกลุ่มหายใจได้ทั่วท้อง บางกลุ่มไม่ทั่วท้อง แต่สำหรับกลุ่มท่องเที่ยวและบริการ ผมมองว่ายังอยู่ในภาวะที่ต้องกลั้นหายใจอยู่ และมีแนวโน้มต้องกลั้นไปอีกนาน เพราะผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในต่างประเทศนั้นยังอยู่ในอัตราเร่ง การคาดหวังกับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเน้นปริมาณเหมือนในอดีต ยังไม่ใช่คำตอบในระยะเวลาอันใกล้ เราต้องเริ่มคิดถึงการสร้างตลาดท่องเที่ยวคุณภาพสูง ที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวนักท่องเที่ยวสูง เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเพื่อการแพทย์ เป็นต้น
"รัฐบาลพยายามจะนำเอาการท่องเที่ยวในประเทศมาหล่อเลี้ยงแทนท่องเที่ยวจากต่างประเทศ พยายามสนับสนุนให้คนไทยที่ชอบเที่ยวต่างประเทศในอดีตทั้งหมดจะหันมาเที่ยวไทยแทน แต่นั่นไม่สามารถทดแทนกันได้ เพราะโดยเฉลี่ย คนไทยเที่ยวต่างประเทศใช้จ่ายแค่ประมาณ 1 ใน 5 ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อมาเที่ยวไทย" นายสมพงษ์ ระบุ
นายสมพงษ์ ระบุว่า สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศ การฟื้นตัวยังอยู่ในขอบเขตจำกัด จังหวัดที่การท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวเร็วที่สุดคือ กลุ่มที่ไม่ได้พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติมากนักและอยู่ใกล้กรุงเทพ เช่น กาญจนบุรี นครราชสีมา หรือประจวบคีรีขันธ์ ที่เดินทางโดยรถยนต์ได้ และจังหวัดที่ฟื้นช้าที่สุด คือกลุ่มที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ต้องพึ่งพาการเดินทางโดยเครื่องบิน รวมถึงจังหวัดที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างประเทศสูง เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ หรือพังงา จังหวัดเหล่านี้ คือกลุ่มที่มี Supply ส่วนเกินสูงที่สุด เพราะปกติจะเป็นหัวหอกของการท่องเที่ยว นั่นแปลว่ามีความเสี่ยงที่ธุรกิจหลายแห่งต้องปิดตัวหรือไล่พนักงานออก เพราะไม่สามารถอยู่ได้ในวันที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเพียงพอ
มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลนั้น มีส่วนช่วยไม่มาก เพราะแกนหลักของปัญหาที่ประชาชนตกงาน ขาดรายได้ ยังไม่ได้รับการแก้ไข มาตรการเราเที่ยวด้วยกันที่ตอนแรกให้สิทธิ์ทั้งหมด 5 ล้านคน แต่มีประชาชนใช้จริงเพียง 5 แสนคน หรือเพียง 10% แสดงให้เห็นว่ามาตรการเหล่านี้ไม่ตอบโจทย์ของประชาชน เพราะปัญหาที่แท้จริงคือพวกเขาขาดแคลนรายได้ ใครจะท่องเที่ยวในขณะที่ตกงาน รายได้หด และยังมองไม่เห็นแสงสว่างว่าจะได้งานกลับคืนมาเมื่อไหร่ ที่แย่กว่านั้นคือ แทนที่รัฐบาลจะแก้ไขให้ตรงจุด กลับไปเพิ่มสิทธิ์เป็น 10 ล้านคน ทั้งที่สิทธิ์เก่ามีคนใช้เพียงน้อยนิด
นายสมพงษ์ ระบุว่า มาตรการด้านสินเชื่อก็มีปัญหา ส่วนใหญ่มีแต่กรอบวงเงิน แต่ไม่มีการอนุมัติจริง เพราะส่วนใหญ่ทำผ่านธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่ปล่อยกู้หากมีความเสี่ยง ประกอบกับเงื่อนไขสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำก็เข้มงวดจนรายย่อย หรือผู้ที่มีสายป่านสั้นเข้าไม่ถึงสินเชื่อ กรอบวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่มีการอนุมัติจริงไม่ถึงครึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความล้มเหลว มาตรการพักหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาลก็มีแต่กรอบนโยบาย ก็การปฏิบัติจริงกลับไม่สัมฤทธิ์ผล
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น ภาคท่องเที่ยวและบริการยังมีลักษณะพิเศษ ที่แตกต่างจากภาคอุตสาหกรรม คือ มีผู้ประกอบการและแรงงานนอกระบบค่อนข้างมาก และรายได้แปรผันตรงต่อยอดขายและการให้บริการ ไม่มีรายได้ที่เป็นฐาน มีแต่รายได้แปรผัน อีกทั้ง ภาคท่องเที่ยวเป็นกลุ่มเปราะบาง ที่เดือดร้อนที่สุดจากวิกฤตินี้ เพราะการท่องเที่ยวไม่มีแนวโน้มกลับมาในระยะเวลาอันใกล้ ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า จะกลับมาอย่างเร็วก็ปลายปีหน้า ซึ่งเชื่อว่า กว่า 90% มีลมหายใจไม่ถึงตอนนั้น ต้องล้มตาย เลิกกิจการ เลิกจ้าง และตกงานกันหมด
นักวิชาการ ลั่น ไม่รู้ศก.ขึ้นจากเหวได้หรือไม่ ฟันธง ต้องสู้อย่างน้อย 2 ปี ชี้ เงินอุดหนุนเด็กเล็ก ใช้งบน้อยกว่าเรือดำน้ำ 2 ลำ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2327025
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) จัดงานเสวนาวิชาการ “ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย: ไม่แก้ไข เขียนใหม่เท่านั้น” เพื่อเป็นเวทีในการสรรค์สร้างสังคมประชาธิปไตย และหาทางออกเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประชาชนทุกคน ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วม
เวลา 13.00 น. มีการเสวนาในหัวข้อ “ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย ในมุมมองนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัย”
ดร.เดชรัตน์ สุขกำเนิด นักวิชาการอิสระ กล่าวถึงประเด็นเศรษฐกิจกับรัฐธรรมนูญว่า มองเห็นเบื้องต้น 2 ปี เป็นอย่างเร็ว ในความหมายทางเศรษฐกิจ ทุกคนทราบดีว่าเราอยู่ในจุดเหว และไม่รู้ว่าจะขึ้นจากเหวได้หรือไม่ จะลงเหวอีกหรือไม่ กล่าวคือ เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ และเปราะบางในทางเศรษฐกิจ จาก
1.การระบาดซ้ำของโควิด
2.การฟื้นตัวของต่างประเทศ ที่ัเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น
3.ปัญหาการเมือง 2 ปีนี้เราอยู่ในบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ชนชั้นนำทางสังคมเริ่มกังวลกับการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ 60 เหมือนเดิม
ซึ่งตอนนี้เกิดปรากฏการณ์ 2 อย่างที่คิดว่าจะนำได้ แต่ไม่มีฝีมือเท่าไหร่ เศรษฐกิจไม่ดีขึ้น และที่คิดว่าการเคลื่อนไหวของประชาชนทำได้ยาก ก็ดูเหมือนจะตรงกันข้าม สร้างความไม่ชอบธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างแรงกดดัน จนฝ่ายที่คิดว่า [เผล่ะจัง] จะให้ประโยชน์กับตัวเองมากกว่า ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด กดดัน จนให้ยอมมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่จะเป็นประเด็นสำคัญอย่างมาก เช่น รัฐธรรมนูญ ปี 40 ก็มีโจทย์ทางเศรษฐกิจ ในวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งตอนนี้ก็มี แต่ไม่ปะทุเท่าการเมือง ที่รัฐธรรมนูญนี้ แย่กว่า รัฐธรรมนูญ ปี 35 เพราะ เมื่อพ้นเดือนตุลาคมไป จะหมดระยะยืดหนี้ ซึ่งจะเกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ จะเปราะบางมาก และผู้นำเศรษฐกิจต้องลดความเสี่ยงลง จึงเป็นเหตุให้มีการส่งสัญญาณว่า อาจให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยกระบวนการ ส.ส.ร.
โดยจะแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาสำคัญ คือ 1.ภายในปีนี้ หรือ 4-5 เดือนจากนี้ รัฐบาลคิดเกมรอบคอบพอสมควร ถอยมาจุดต่ำสุดที่เขายืดได้ ที่อย่างน้อยยืดไป 2 ปี แม้ไม่ได้อยากอยู่จุดนี้ แต่ด้วยภาวะที่รับแรงกัดดันไม่ไหว ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ แค่อยากย้ำว่า ใน 4 เดือนนี้ เขายังหาโอกาสพลิกเกมเสมอ เพราะไม่ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากแก้ ดูได้จากข้อเสนอ บอกแค่ว่า ยอมถอยเรื่องไหน เราชัด รัฐบาลไม่ชัด จึงหาจุดต่ำจุดที่พอจะเสียได้
4 เดือนต่อจากนี้จึงต้องรักษาโมเมนตัมเอาไว้ให้ได้บรรยากาศทางการเมืองไปสู่การตั้ง ส.ส.ร เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งการแก้ไขรายมาตราก็สำคัญ เราไม่ได้อยากเป็นผู้ชนะฝ่ายเดียว แต่อยากมีกติการ่วมกันจริงๆ วิธีเดียวคือได้ ได้คนร่างที่มาจาการเลือกตั้ง
“ดังนั้น 2 เกือบปี กว่าจะเลือก ส.ส.ร. และเริ่มร่างได้ ทั้งนี้ เรื่องเนื้อหาจะถกกันอย่างเข้มข้นในหลายประเด็น เช่น วิธีการเลือกตั้งที่ดีคืออะไร การได้มาซึ่งรัฐบาล เรื่อง ส.ว. ที่ไม่ใช่แค่มาจากการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้ง แต่ไปสู่ การที่ว่า เราจำเป็นต้องมี ส.ว.หรือไม่ มีหลายหัวข้อที่เราต้องคุยกัน ซึ่งตอนนี้ยังมีคำถามกับองค์กรอิสระอย่างมาก และ กระบวนการยุติธรรม แม้จะไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่ตั้งคำถาม จากการรอดเพราะนามสกุล เหล่านี้ เป็นประเด็นที่ต้องคุยกันอีกยาว เลยไปจนถึงเรื่องสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ว่า ที่หายไป ไม่เฉพาะการเมือง ลามไปถึงการศึกษา เป็นการศึกษาฟรีได้หรือไม่ กระทั่งการรักษาพยาบาล จาก 30 บาท เติมคำว่าผู้ยากไร้เข้ามา ก็ทำได้ เพียงแต่รัฐบาลไม่ทำ เราจะทำแบบรัฐธรรมนูญ 40 หรือ คืบหน้าไปกว่านั้น เราทำได้” ดร.เดชรัตน์กล่าว
ดร.เดชรัตน์ กล่าวว่า ข้อเสนอหนึ่งของพี่น้องคนจน คือ เลือกตั้งผู้ว่าฯ จังหวัด แต่โจทย์ใหญ่คือ ผู้ว่าอยู่ในส่วนภูมิภาค ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคดีหรือไม่ ให้เป็นมาจากส่วนกลาง กับท้องถิ่น เป็นต้น คือตัวอย่างที่ถกเถียงได้ ถ้ารักษาบรรยากาศนี้ได้ ยังมีโจทย์อีกมากที่ต้องพูดคุย ไม่ใช่แค่จำกัดอำนาจฝ่าย [เผล่ะจัง] นิยม แต่ยังหมายถึงการสร้างอนาคตให้เห็นทางออกของพวกเราด้วย