การลงทุนเบื้องต้นใน options ที่ตลาดหุ้นอเมริกา ทางเลือกสำหรับนลทที่เบื่อตลาดหุ้นไทย

วันนี้ผมว่างเพราะตลาดหุ้นปิดเลยมีเวลามาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการเทรด options ในตลาดหุ้นอเมริกาว่าทำกำไรได้อย่างไร (ไม่ได้โฆษณาครับ) ผมลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกามานานเลยอยากจะมาเล่าว่าเราสามารถทำกำไรได้ทุกๆเดือน ถึงแม้ว่าหุ้นตัวนั้นจะไม่วิ่งเลยก็สามารถทำกำไรได้ ฟังดูเหมือนโกหกแต่อ่านไปเรื่อยๆครับผมจะค่อยๆอธิบายให้คุณฟังและเข้าใจ อาจจะเล่าไม่ได้หมดทุกอย่างเพราะเนื้อหามันมากจริงๆ จะขอพูดแค่หัวข้อเรื่องและให้คุณไปศึกษากันต่อเอาเองใน YouTube ครับ ผมขอเป็นผู้เปิดประตูให้กับคุณ ส่วนคุณจะเดินเข้าไปในห้องนั้นเองหรือไม่เป็นเรื่องของคุณแล้ว ก่อนอื่นผมไม่ได้มาขายคอร์สหรือรับสอนครับ

ในโลกของคนทั่วไปในการเทรดหุ้นต้องซื้อถูกและแพงถึงจะได้กำไรใช่ไหมครับ (long call) ในโลกของ options ก็สามารถทำกำไรได้เหมือนกับหุ้นทุกอย่างแต่มันมีข้อพิเศษได้อีก3-4อย่างคือ Options มีค่าเสื่อมราคาหรือ Time decay (TD) มูลค่าของ options ตัวนั้นที่อ้างอิงกับราคาหุ้นก็จะมีมูลค่าลดลงจนเหลือศูนย์ถึงวันสุดท้ายที่หมดอายุ ก็เหมือนกับ DW ในบ้านเรา (DWก็ลอกเลียนแบบมาจาก American option แต่เอามาไม่หมด)แต่ options ในอเมริกาเราสามารถทำกำไรจากค่าเสื่อมราคาหรือ Time decay ได้ด้วย ผมจะอธิบายจากเริ่มต้นจนจบนะครับ อย่างที่บอกมาข้างต้นผมอาจจะไม่อธิบายละเอียดมากเพราะพวกคุณต้องไปค้นคว้าต่อกันเอาเอง เนื่องจากมันมีข้อมูลเยอะมาก
ศัพท์ต้องรู้
Options จะมีวันหมดอายุทุกวันศุกร์ของทุกอาทิตย์
1สัญญา options=100หุ้น
Call สิทธิ์ที่จะซื้อ buy call options
Put สิทธิที่จะขาย sell call options
Strike price ราคาเป้าหมาย
ITM = in the money ถึงราคาเป้าหมายแล้ว
OTM= out the money ยังไม่ถึงราคาเป้าหมาย
Exercise options = การแปลง option เป็นหุ้น ในวันหมดอายุโดยอัตโนมัติ

เช่น 1 สัญญาของหุ้น appleราคา $500/หุ้น หมดอายุเดือน 25 sep(หรือหมดอายุอีก4 อาทิตย์นับจากวันนี้) มีค่า premium ราคา 12.00 = $1200 ต่อ 1 สัญญา ที่เราจะต้องจ่ายในการซื้อ call option หรือมองว่าจะขึ้น
ตัวอย่าง Bull Call (ทำกำไรขาขึ้น)
Buy AAPL call strike price 490 (ITM)
แปลว่าซื้อ call options ที่ราคาเป้าหมาย 490 ITM(ถึงราคาเป้าหมายแล้ว) ราคาตอนนี้อยู่ที่ 500 เราสามารถใส่ราคาเป้าหมายที่ต่ำกว่า 490 ก็ได้แต่ราคาพรีเมี่ยมก็จะราคาแพงขึ้นตาม

ราคาของ options ตัวนี้จะมีราคา = 100 หุ้น x$500 =$50,000 หรือ 1.5ล้านบาท (exposure)
สมมุติว่าราคาหุ้น apple ขึ้นไปถึง 505 ราคา call options จะไปอยู่ที่ราคา premium 15.00 =$1500 เรากำไรแล้ว 300 เพราะเราซื้อเปิดสัญญาราคาที่ premium 12.00=$1200(ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆเพื่อการเข้าใจครับ) เราสามารถจะขายหรือถือจนกว่าจะหมดอายุก็ได้นะครับ เมื่อถึงวันหมดอายุถ้าเราไม่ขายหรือปิดcall Options เราจะต้องหาเงินมาซื้อหุ้นคืนทั้งหมด เช่นเราซื้อoption strike 490 แต่วันหมดอายุราคาหุ้นอยู่ที่ 540 เราก็จ่ายแค่ $49,000 ครับ ก็จะได้ 100 หุ้นแทน@$490 หรือ exercise options หรือการแปลง options เป็นหุ้น แต่ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 540 เราก็จากกำไร $50 (540-490)ในพอร์ตหุ้น

ในทางกลับกันถ้าคุณคิดว่าราคาหุ้นจะลงคุณก็สามารถเปิดสัญญา Put option
ตัวอย่าง Bear Call (ทำกำไรขาลง)ราคาหุ้นอยู่ที่ 500 ตอนนี้
Sell AAPL call strike 510 (ITM) คุณสามารถถือจนกว่าจะหมดอายุหรือขายก่อนได้ถ้ากำไร สมมุติว่าหุ้นลงไปถึง 480 แล้วหมดอายุ 100@480=$48000 exercise option ที่ได้กำไรและซื้อหุ้นกลับที่ราคาถูกกว่าด้วย

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ค่อยมีใครซื้อ naked options หรือขาเดียวเปล่าๆ เพราะจะมีค่าเสื่อมราคาและราคาแพงด้วย เราจึงต้องซื้อเป็นคู่ option เป็นคู่เรียกว่า spread เพื่อให้ราคา options ของ premium ถูกลง เช่น
AAPL@500 ในราคาตอนนี้ แล้วเราคิดว่าราคาจะขึ้น ตัวอย่างของ call spread
Buy aapl call 490 (ITM)25 Sep(บรรทัดแรก) @12.00   $1200
Sell aapl  call 550 (OTM) 25 Sep บรรทัดที่2 @3.00       -300
                                                                          9.00      900 กำไร
Options นี้แปลว่าอะไร แปลว่าถ้าราคา premium ที่จะต้องจ่ายบรรทัดแรกที่ 12.00 
แต่เรา sell call option OTM 550 ขึ้นไปถึง 550 premium 3.00=$300
12.00-3.00=9.00 หรือเราจ่ายพรีเมี่ยมแค่ $900 แทนที่เราจะต้องจ่าย premium เต็ม 12.00 สมมุติว่าหุ้นขึ้นไปถึง 600 เราจะได้กำไรสูงสุดแค่ 550 เท่านั้น เพราะเรา sell call OTM ที่ 550 แต่ข้อดีของการเทรด call/put spread คือ
1.ราคาพรีเมี่ยมถูกลง หรือการวางเงินที่จะซื้อสัญญาถูกลง
2.Time decay มีผลต่อ options น้อยลงด้วย
3. จำกัดการขาดทุนได้ limited loss

บทความต่อไปอาจจะเป็นที่สนใจของพวกคุณก็ได้คือการที่จะเดาว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลงนั้นมันยากเสียเหลือเกิน แต่เราสามารถเดาได้ว่าหุ้นตัวนั้นจะอยู่กรอบราคาที่เราเดาได้ โดยใช้การเทรด options แบบ Iron Condors ตัวอย่าง
สมมุติว่าหุ้น aapl อยู่ที่ราคา 500 และเราคิดว่าราคาหุ้นจะวิ่งไม่เกิน +/-25 ภายในเดือนนี้ จนถึงวันหมดอายุ หรือ $475-525 เราสามารถใช้ Iron condors ทำกำไรให้ได้ เป็นการทำกำไรจาก Time decay หรือค่าเสื่อมราคาที่หมดไป บวกกับ ความน่าจะเป็นไปได้ว่าหุ้นจะไม่ขึ้นหรือลงมากไปกว่ากรอบที่เราคิด นี้ที่เราจ่ายค่าพรีเมียมไปทั้งหมดจะได้กลับคืนมา พร้อมกำไรในวันสิ้นสุดอายุสัญญา แต่กำไรก็จะได้น้อยกว่าที่เราจะแทงขึ้นหรือทางลง 50% ตามความเสี่ยงด้วย เพราะการเทรด options ถ้าเสี่ยงมากก็ได้ผลกำไรมากและถ้าเสียงน้อยหรือความน่าจะเป็นไปได้สูงก็ได้ผลตอบแทนน้อยตาม การ buy call/put spread ถ้าถูกทางกำไรมากกว่า แต่ iron condors ความน่าเป็นไปได้สูงกว่าและกำไรก็จะได้น้อยกว่า เราสามารถเพิ่มขนาดสัญญามากขึ้นได้เป็น 2 สัญญาขึ้นไปเพื่อเพิ่มกำไร
ตัวอย่าง Iron condos
Buy 525 call 25 Sep
Sell 520 call 25 Sep
Sell 480 put 25 Sep
Buy 475 put 25 Sep
จะมี4ขาทั้งหมด ถือเป็นการซื้อเปิดซื้อ options 1 ครั้งเท่านั้น
และยังมี option อีกหลายแบบที่สามารถทำกำไรได้แบบต่อเนื่องเช่น butterfly options คือเดาว่าราคาหุ้นจะไม่เปลี่ยนแปลงจะอยู่ที่ราคานี้จนถึงวันหมดอายุ
และการขาย option ว่าราคาจะไม่ไปมากกว่าราคานี้ (Sell options to collect premium)
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราคิดว่าหุ้น aapl จะไปไม่เกิน $500
Sell 500 call 25 Sep @12.00
และเมื่อถึงวันหมดอายุราคาอยู่ต่ำกว่า $500 เราก็จะได้กำไร แต่ถ้าเกิดราคาเกิน $500 การขาดทุนไม่จำกัดเหมือนกัน
เห็นไหมครับว่าความน่าจะเป็นมันสูงมาก
เราสามารถ Sell option แบบจำกัดขาดทุนได้โดยการเปิด 2ขาเป็น spread
เรียกว่า Short Vertical Spread
Sell 500 call 25 Sep @12.00 =1200 กำไร
Buy 510 call 25 Sep @3.00= -300ขาดทุน
กำไรทั้งหมด $900
ยังมีการเทรด Option อีก2อย่าง
คือ Short Strangle ถ้าหุ้นไม่วิ่งและอยู่นิ่ง เราก็จะได้กำไรจากค่าเสื่อมราคาในวันหมดอายุสัญญา
และlong straddle คือ option สำหรับใช้ว่าหุ้นตัวนี้จะมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเช่นวันประกาศงบ โดยที่เราไม่สนใจว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลงแต่ขอให้มีการเคลื่อนตัวอย่างแรงเกิน 3%
จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยเล่นยากขึ้นมาทันที และ option ของอเมริกาสามารถมีรายได้ทุกเดือนเพราะเราไม่จำเป็นต้องเดาว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงต่อไปอีกแล้ว ตลาดหุ้นไทยคงเงียบเหงาอีกเป็นปีเพราะปัจจัยหลายๆด้าน เรานักลงทุนควรจะมีทางเลือกที่จะลงทุนได้แล้ว
Broker ที่ผมใช้ก็จะมี https://www.interactivebrokers.com/en/home.php และ https://us.etrade.com/home/welcome-back
แต่ต้องระวังไว้ว่าเราไม่สามารถ day trade คือซื้อและขายเกิน3รอบภายใน5วัน  บัญชีจะถูกล็อกทันที 90 วัน PDT = pattern day trader เป็นกฎของ ก.ล.ต.ที่อเมริกา ถ้ามีเงินในบัญชีต่ำกว่า $25,000 เพื่อป้องกันการขาดทุนของนักลงทุนและป้องกันมาร์จินของ brokerด้วย คือเงินที่เรายืมมาจาก broker ถ้าเราต้องการจะเทรดหุ้นอเมริกา ในบัญชีควรจะมีไม่ต่ำกว่า $2000 และเราจะสามารถยืมได้ 50% คือ $2000 ทำให้กำลังซื้อในบัญชีมาร์จินเป็น $4000 เหมือนบัญชีมาร์จินของไทยทุกอย่างครับ เมื่อบัญชีถูกล็อก 90 วันเพราะ PDT วิธีแก้ก็คือจะต้องหาเงิน $25,000 มาใส่บัญชี หรือเปิดบัญชีที่อื่นแล้วไปเล่นต่ออีก 90 วันแล้วกลับมาเล่นที่เดิมอีกได้
ที่ผมพูดมาทั้งหมดแค่ 1/10 ของการเทรด options และบัญชีมาร์จินที่อเมริกา ผมจะใส่คลิปที่สอนการเล่นที่งหมดที่ผมบอกมาข้างล่างนี้ ต้องขออภัยที่ต้องเป็นภาษอังกฤษทั้งหมด 
https://www.youtube.com/watch?v=2ukCRVAznPI (Bull Call)
https://www.youtube.com/watch?v=pToIQgVOLcA&t=65s (bear put spread)
https://www.youtube.com/watch?v=Eg8IyTPoaQY&t=6s (iron condors)
https://www.youtube.com/watch?v=6_0SbRaHv1U&t=5s (The Vertical Spread)
https://www.youtube.com/watch?v=PrZWehwHPsI&t=86s (Butterfly Spread)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่