หมู่บ้านต้นกกลอยน้ำ


The Marsh Arabs


(กระท่อมกกแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า mudhif ในหมู่บ้านอาหรับมาร์ชในอิรัก )


แม่น้ำสายใหญ่สองสายของเมโสโปเตเมียโบราณ - ไทกริสและยูเฟรติส - ที่เพิ่มขึ้นในเทือกเขาทอรัสทางตอนใต้ของตุรกีได้ไหลผ่านตุรกีและซีเรียเข้าสู่อาณาจักรทะเลทรายอันกว้างใหญ่ของอิรักก่อนที่จะไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซีย  แม่น้ำจะแยกออกเป็นลำธารเล็ก ๆ หลายสิบสายที่คดเคี้ยวไปตามที่ราบขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของอิรัก ก่อให้เกิดสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในยูเรเซียตะวันตก ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 20,000 ตารางกม.
ในภูมิภาคที่อุดมสมบูรณ์อันกว้างใหญ่นี้อารยธรรมถือกำเนิดเมื่อ 5,000 ปีก่อน สังคมแห่งการรู้หนังสือแห่งแรกเกิดขึ้น เมืองได้พัฒนาขึ้นทั้งการค้าและระบบราชการของรัฐที่ซับซ้อน

หลังจากที่ชาวสุเมเรียนและชาวอัคคาเดียค่อยๆหมดไป ทายาทส่วนหนึ่งก็พากันไปอาศัยอยู่ในที่ลุ่ม พวกเขาถูกเรียกว่า Marsh Arabs หรือ Ma'dan หลายศตวรรษที่ผ่านมาผู้คนเหล่านี้ได้พัฒนาวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ โดยมีแหล่งธรรมชาติเป็นศูนย์กลางอยู่ที่หนองน้ำ วิถีชีวิตโบราณนี้ส่วนใหญ่ถูกทำลายในช่วงทศวรรษ 1990 เมื่อซัดดัมฮุสเซนระบายน้ำในบึงและทำให้ผู้คนหลายแสนคนต้องพลัดถิ่น

Ma'dan อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่เงียบสงบซึ่งกระจายอยู่ทั่วบึงที่สามารถเข้าถึงได้โดยเรือเท่านั้น พวกเขาสร้างบ้านกกอย่างประณีตเรียกว่า "mudhif" ซึ่งสร้างจากกกที่เก็บเกี่ยวจากหนองน้ำที่พวกเขาอาศัยอยู่  ที่อยู่อาศัยนี้จะมีความกว้างมากกว่าสองเมตรเล็กน้อยและยาวประมาณหกเมตร พวกเขาจะสร้างขึ้นที่ริมน้ำหรือบนเกาะลอยที่ทำจากกกเรียกว่า "kibasha" ส่วนเกาะถาวรจากกกที่ทับถมกันในชั้นโคลนเรียกว่า "dibin" 
 
Ma'dan เลี้ยงควายซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออาหาร นมและมูลสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่สำคัญ พวกเขายังเพาะปลูกพืชเช่นข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลีและข้าวฟ่าง บางคนก็ใช้ชีวิตเร่ร่อนโดยสร้างที่อยู่อาศัยชั่วคราวและย้ายไปรอบ ๆ หนองน้ำตามฤดูกาล บางส่วนตกปลาในเชิงพาณิชย์ ปลาที่จับได้ในน่านน้ำของอิรักมากกว่าร้อยละ 60 มาจากหนองน้ำนี้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปในปี 1990

หลังจากสงครามอ่าวครั้งแรกซัดดัมฮุสเซนเริ่มระบายน้ำในหนองน้ำเพื่อพยายามกำจัดกองโจรที่ก่อกบฏต่อระบอบการปกครองของเขาและยังเป็นการลงโทษโดยรวมสำหรับประชากรทั้งหมดที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มกบฏ  เพราะคิดว่าเป็นที่หลบภัยของกลุ่มกบฏชีอะห์ ซัดดัมจึงสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อเปลี่ยนเส้นทางแม่น้ำออกจากบึงทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขได้กับพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดมหึมาและอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ ทำให้ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของที่ลุ่มได้หายไป ชาวอาหรับมาร์ชซึ่งมีจำนวนประมาณครึ่งล้านในปี 1950 ลดลงเหลือเพียง 20,000 คน

หลังจากความพ่ายแพ้ของซัดดัมในปี 2003  ชาวอาหรับมาร์ชบางส่วนได้กลับไปที่บ้านเกิดของตนและทำลายเขื่อนและขุดคลองที่เผด็จการสร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นแม่น้ำ รัฐบาลเฉพาะกาลพร้อมกับองค์การสหประชาชาติและหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาก็เริ่มฟื้นฟูบึง ภายในไม่กี่เดือนพื้นที่ชุ่มน้ำก็เริ่มเติบโตและในปี 2008 ก็เติบโตขึ้นถึง 75 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามภัยแล้งที่ผ่านมาและการสร้างเขื่อนต้นน้ำและการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในตุรกีซีเรียและอิหร่านทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่อิรักลดลงและบึงก็มีขนาดลดลงอีกครั้ง

ปัจจุบันชาวอาหรับมาร์ชจำนวนมากอาศัยอยู่ในแคมป์ในอิหร่าน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวได้ออกจากเมืองไปแล้วในช่วงปีที่รุ่งเรืองของทศวรรษที่ 60-70
เนื่องจากชีวิตในบึงไม่มีการดูแลสุขภาพและมีอาหารและน้ำที่จำกัด 
Cr.ภาพ www.guidestar.org / นิตยสารพายุทราย / Flickr





Wetlands of Sudd


Sudd เป็นพื้นที่ราบลุ่มที่กว้างใหญ่ในภาคกลางของซูดานใต้ซึ่งเกิดจากแม่น้ำWhite Nile  พื้นที่ที่บึงครอบคลุมเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในลุ่มน้ำไนล์ ขนาดของมันมีความแปรปรวนอย่างมากโดยเฉลี่ยมากกว่า 30,000 ตารางกม. แต่ในช่วงฤดูฝนขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ไหลเข้า Sudd สามารถขยายได้ถึงกว่า 130,000 ตารางกม.หรือมีขนาดเท่าเกาะอังกฤษ

Sudd มาจากการระบายออกจากต้นน้ำของ White Nile ได้แก่ แม่น้ำ Al-Jabal (Mountain Nile) ที่อยู่ตรงกลางและแม่น้ำ Al-Ghazāl ทางตะวันตก
ใน Sudd แม่น้ำไหลจะผ่านช่องทางที่พันกันหลายแห่งในรูปแบบที่เปลี่ยนไปในแต่ละปี ต้นกกน้ำและผักตบชวาเติบโตในดงดิบหนาแน่นในน้ำตื้น
ซึ่งมีจระเข้และฮิปโปโปเตมัสแวะเวียนมา บางครั้งพืชพันธุ์เหล่านี้ก็ถูกสร้างขึ้นเป็นเกาะลอยน้ำที่มีความยาวถึง 30 กม. 

Sudd จะหนาทึบไปด้วยต้นอ้อ ผักตบชวาและพืชรักน้ำอื่น ๆ Sudd สามารถสร้างกลุ่มพืชขนาดใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งและปิดกั้นช่องทางเดินเรือเพื่อสร้างเครือข่ายน้ำที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางครั้งไม่มีช่องให้เรือสัญจรไปมาได้ เป็นเวลาหลายศตวรรษที่ภูมิภาคนี้ได้ป้องกันไม่ให้นักสำรวจเดินทางไปตามแม่น้ำไนล์ซึ่งมีชาว Nilotic Nuer อาศัยอยู่เพียงเบาบาง

ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 การก่อสร้างเริ่มขึ้นที่คลอง Jonglei (Junqalī) ซึ่งมีแผนจะผ่าน Sudd และจัดให้มีร่องน้ำตรงที่กำหนดไว้เพื่อให้แม่น้ำ
Al-Jabal ไหลไปทางเหนือจนถึงทางแยกกับ White Nile แต่โครงการระบายพื้นที่ริมน้ำของ Sudd เพื่อใช้ในการเกษตรนี้ต้องหยุดชะงักไปหลายปีเนื่องจากสงครามกลางเมืองในซูดานใต้ ในปี 1984

เหตุผลอีกอย่างก้เพื่อปรับปรุงการประปาในอียิปต์ น้ำเกือบครึ่งหนึ่งของ White Nile จะหายไปในหนองน้ำเนื่องจากเป็นแหล่งน้ำให้พืชหรือสัตว์ต่างๆในอียิปต์และซูดาน  ผลจากโครงการนี่คาดว่าความเสียหายจะตกในซูดานใต้ จะเกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ซับซ้อนที่เกี่ยวข้อง  รวมถึงการล่มสลายของการประมงจากการทำให้พื้นที่แห้งลง   อย่างไรก็ตาม อาจสามารถจำกัดขอบเขตของโครงการในเชิงปฏิบัติได้

นอกจากนี้การระบายน้ำของ Sudd ยังมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมขนาดใหญ่เทียบได้กับการแห้งของทะเลสาบชาดหรือการระบายน้ำของทะเลอารัล
Cr.ภาพ Yann Arthus Bertrand
ที่มาWikipedia , Encyclopedia Britannica , WaterWiki , University of Texas
 




Uro Islands


 ทะเลสาบติติกากา เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 8,372 ตารางกม. คาบเกี่ยวระหว่างแคว้นปูโน (Puno) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเปรูและแคว้นลาปาซ (La Paz) ทางตะวันตกของประเทศโบลิเวีย ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงเฉลี่ย 3,810 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นับว่าเป็นทะเลสาบที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาใต้

น้ำปริมาณมหาศาลในทะเลสาบนั้นได้มาจาก 4 แหล่งหลักๆ คือ น้ำฝน การละลายของธารน้ำแข็ง แม่น้ำหลัก 5 สาย และลำธารขนาดเล็กอีก 20 แห่ง แต่เส้นทางการไหลออกของน้ำกลับมีเพียงทางเดียวคือทางแม่น้ำริโอ เดอซากัวเดโร (Rio Desaguadero) ซึ่งสามารถระบายน้ำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำที่ไหลเข้า และบางส่วนก็ระเหยไปด้วยแสงแดดกับกระแสลม

ความน่าสนใจของทะเลสาบแห่งนี้คือเกาะอูรอส (Uros Islands) ซึ่งเป็นเกาะที่ถูกสร้างโดยชาวอูรอสโดยใช้ต้น Totora Reed ที่หาได้ทั่วไปจากทะเลสาบมายึดติดกันไว้ด้วยเชือกที่ปักอยู่กับพื้นทะเลสาบ  แต่เพราะส่วนที่อยู่ใต้น้ำจะค่อยๆเน่าไปตามกาลเวลาชาวอูรอสจึงต้องทำการซ่อมแซมเกาะอยู่เป็นระยะๆ 
เผ่าอูรอสเป็นเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดเผ่าหนึ่งของทวีปอเมริกาใต้ และนักวิจัยคาดว่าเป็นเผ่าแรกๆ ที่อพยพมาจากลุ่มน้ำอะเมซอน มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ริมทะเลสาบติติกากาที่ติดชายแดนของประเทศเปรูกับประเทศโบลิเวีย แล้วก็เริ่มปลูกมันสำปะหลังและจับปลาเพื่อยังชีพ  เมื่อถึงยุคที่ชาวอินคาเข้าครอบครองพื้นที่แถบนี้และบังคับให้ชาวพื้นเมืองยอมรับภาษาและวัฒนธรรมของเผ่าตัวเอง ชาวอูรอสจึงตัดสินใจอพยพลงเรือเพื่อหลีกหนีการปะทะ ซึ่งอาจทำให้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ได้ 

การตัดสินใจครั้งนั้นทำให้เผ่าอูรอสมาลอยลำอยู่ผืนกลางน้ำ แต่ด้วยขนาดอันกว้างใหญ่ของทะเลสาบติติกากา ชาวอินคาก็หมดความสนใจที่จะตามล่า ชาวอูรอสจึงใช้ชีวิตกินนอนอยู่บนเรือ จับปลาและกินต้นกก Totora Reed ที่พบได้เฉพาะในทะเลสาบติติกากาและเกาะอีสเตอร์ (Easter Island) ของประเทศชิลี

ชาวอูรอสสังเกตเห็นนกคาบเอาต้นโตโตร่าที่ขึ้นอยู่ทั่วทะเลสาบไปทำรังเพื่อกกไข่ และรังเหล่านั้นก็ลอยอยู่เหนือน้ำ พวกเขาจึงใช้ต้นกกชนิดเดียวกันมาสร้างที่อยู่อาศัย สร้างเรือ ไปจนถึงสร้างข้าวของเครื่องใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน “มันใช้ได้ กินได้ ใส่เหล้าก็ดี ทำยาแก้ปวดก็ได้”

ทะเลสาบติติกากาเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และถึงแม้พื้นที่ในเขตน้ำตื้นจำนวนมากของทะเลสาบแห่งนี้จะปกคลุมด้วยต้นโตโตร่า แต่ชาวอูรอสก็พยายามเว้นระยะการตัดต้นโตโตร่าให้สูงห่างจากพื้นประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อรักษารากให้สมบูรณ์และสามารถผลิตดอกออกใบได้อีก
รากของต้นโตโตร่าที่ตายไปแล้วจะสอดแทรกอยู่ในก้อนดินเหนียวที่อยู่ใต้น้ำอย่างหนาแน่น เมื่อรากทับถมกันจนบูดเน่าเป็นเวลากว่าหลายสิบปี จึงเกิดแก๊สและทำให้ก้อนดินเหนียวที่มีความหนาประมาณ 1.5 – 2 เมตรลอยขึ้นมาอยู่เหนือน้ำได้ ชาวอูรอสตัดเอาแผ่นดินเหนียวเหล่านี้มาเป็นฐานในการสร้างเกาะ ผูกยึดเข้าไว้ด้วยกันเป็นบล็อกและเอามาต่อกันจนได้ขนาดตามที่ต้องการ ส่วนด้านล่างก็ใช้เชือกผูกติดกับไม้ยูคาลิปตัสที่เหลาปลายแหลมเพื่อใช้ปักกับพื้นแม่น้ำไม่ให้ลอยไปอย่างไร้ทิศทาง หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนของการเอาต้นโตโตร่ามาวางเรียงซ้อนกันด้านบนเป็นชั้นๆ เพื่อทำเป็นพื้นให้เดินได้สะดวก
ในปี1986 เกิดพายุใหญ่เกาะได้รับความเสียหายอย่างหนัก ชาวอูรอสได้เคลื่อนย้ายเกาะเข้ามาอยู่ใกล้ฝั่งมากกว่าเดิมเพื่อซ่อมแซมและต่อเติมเกาะ มีการติดต่อกับแผ่นดินใหญ่ จึงเริ่มมีนักท่องเที่ยวไปชมเกาะมากขึ้นจนกลายเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง และขึ้นเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของเปรูไม่แพ้มาชูปิกชู

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่