ผมเคยได้ยินได้ฟังมา ว่าผลของการให้ทานนั้นมี 2 แบบ คือ (1) แบบมีผลใหญ่ แต่ไม่มีอานิสงส์ใหญ่ , (2) แบบมีผลใหญ่ และมีอานิสงส์ใหญ่ ซึ่งผลของการให้ทานนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการวางจิต (หรือเจตนา) ในขณะที่ให้ทานนั้นๆด้วยว่าเราวางจิตอย่างไร ผลก็จะออกมาโดยเรียงลำดับตั้งแต่น้อยไปหามาก ตามแต่เจตนานั้นๆ ซึ่งผมก็พอที่จะสรุปได้คร่าวๆ ดังนี้ครับ
(1) ให้ทานเพราะ มุ่งหวังสั่งสมบุญ หรือ มีจิตผูกพันในผล
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 1 (จาตุมหาราชิกา) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(2) ให้ทานเพราะ คิดว่าการให้ทานเป็นการดี
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 2 (ดาวดึงส์) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(3) ให้ทานตามประเพณี (เช่น บิดามารดา ปู่ย่าตายาย เคยทำมา เราก็เลยทำตามเพื่อไม่ให้เสียประเพณี เป็นต้น)
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 3 (ยามา) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(4) ให้ทานเพื่ออนุเคราะห์ (เช่น เห็นว่าสมณะไม่สามารถหุงหาอาหารกินเองได้ แต่พวกเราสามารถหุงหาได้ พวกเราจึงควรให้ทานแก่ท่าน เป็นต้น)
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 4 (ดุสิต) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(5) ให้ทานตามตัวอย่าง (เช่น ให้ด้วยคิดว่า เราจะจำแนกแจกทานเหมือนฤาษีในครั้งก่อนๆ คือ เห็นฤาษีทำ ก็เลยทำตาม เป็นต้น)
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 5 (นิมมานรดี) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(6) ให้ทานเพราะคิดว่า เมื่อให้แล้วจิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส
เมื่อตายไป ย่อมเขาถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 6 (ปรนิมมิตวสวัสดี) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(7) ให้ทานเพื่อเป็นเครื่องประดับจิต ปรุงแต่งจิต (เช่น ขัดเกลาจิตให้ละความตระหนี่อันเป็นมลทิน เป็นต้น)
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่า พรหมกายิกา (ชั้นพรหม) และเป็นผู้ที่ไม่ต้องกลับมา
แต่คำถามของผมก็คือ เราจะสามารถบงการ หรือ ควบคุมจิตของตนเองได้หรือไม่ อย่างไร เนื่องจากว่า การให้ทานในแต่ละครั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยเป็นหลัก เช่น ถ้าเราเห็นสุนัขตัวหนึ่ง ตัวแห้งๆ ผอมๆ วิ่งผ่านมา เราก็จะเกิดความสงสาร และเอาอาหารให้ ทั้งที่ก็รู้ว่าการวางจิตแบบนี้ จะทำให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้น 4 เท่านั้น (ทั้งๆที่ใจอยากจะไปสูงกว่านั้น) แต่เราก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้ ผมเคยลองวางจิตแบบอื่นดูแล้ว มันก็สามารถทำได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่หลักๆแล้ว มันก็มักจะสอดคล้องกับบริบทที่เป็นอยู่เสมอๆ มันหลอกตัวเองเพื่อให้วางจิตในแบบอื่นไม่ได้ครับ มันเหมือนกับว่า ลึกๆแล้ว มันคือความสงสาร หรือ ต้องการอนุเคราะห์ เท่านั้นเอง เว้นเสียแต่ว่า เราจะตัดความสงสารออกไป เช่น คิดซะว่า เป็นกรรมของเขา เขากำลังชดใช้กรรมอยู่ เป็นต้น คือ ถ้าคิดแบบนี้แล้วมันถึงจะสามารถวางจิตในแบบอื่นๆได้ หรือท่านใดมีวิธีอื่นๆที่ง่ายหรือดีกว่านี้ ก็ช่วยแนะนำผมหน่อยนะครับ ขอบคุณมากครับ
การวางจิตในขณะให้ทานนั้น สามารถบงการจิตของตนเองได้หรือไม่ อย่างไร
(1) ให้ทานเพราะ มุ่งหวังสั่งสมบุญ หรือ มีจิตผูกพันในผล
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 1 (จาตุมหาราชิกา) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(2) ให้ทานเพราะ คิดว่าการให้ทานเป็นการดี
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 2 (ดาวดึงส์) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(3) ให้ทานตามประเพณี (เช่น บิดามารดา ปู่ย่าตายาย เคยทำมา เราก็เลยทำตามเพื่อไม่ให้เสียประเพณี เป็นต้น)
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 3 (ยามา) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(4) ให้ทานเพื่ออนุเคราะห์ (เช่น เห็นว่าสมณะไม่สามารถหุงหาอาหารกินเองได้ แต่พวกเราสามารถหุงหาได้ พวกเราจึงควรให้ทานแก่ท่าน เป็นต้น)
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 4 (ดุสิต) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(5) ให้ทานตามตัวอย่าง (เช่น ให้ด้วยคิดว่า เราจะจำแนกแจกทานเหมือนฤาษีในครั้งก่อนๆ คือ เห็นฤาษีทำ ก็เลยทำตาม เป็นต้น)
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 5 (นิมมานรดี) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(6) ให้ทานเพราะคิดว่า เมื่อให้แล้วจิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส
เมื่อตายไป ย่อมเขาถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นที่ 6 (ปรนิมมิตวสวัสดี) แต่เป็นผู้ที่ต้องกลับมา
(7) ให้ทานเพื่อเป็นเครื่องประดับจิต ปรุงแต่งจิต (เช่น ขัดเกลาจิตให้ละความตระหนี่อันเป็นมลทิน เป็นต้น)
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่า พรหมกายิกา (ชั้นพรหม) และเป็นผู้ที่ไม่ต้องกลับมา
แต่คำถามของผมก็คือ เราจะสามารถบงการ หรือ ควบคุมจิตของตนเองได้หรือไม่ อย่างไร เนื่องจากว่า การให้ทานในแต่ละครั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยเป็นหลัก เช่น ถ้าเราเห็นสุนัขตัวหนึ่ง ตัวแห้งๆ ผอมๆ วิ่งผ่านมา เราก็จะเกิดความสงสาร และเอาอาหารให้ ทั้งที่ก็รู้ว่าการวางจิตแบบนี้ จะทำให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้น 4 เท่านั้น (ทั้งๆที่ใจอยากจะไปสูงกว่านั้น) แต่เราก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้ ผมเคยลองวางจิตแบบอื่นดูแล้ว มันก็สามารถทำได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่หลักๆแล้ว มันก็มักจะสอดคล้องกับบริบทที่เป็นอยู่เสมอๆ มันหลอกตัวเองเพื่อให้วางจิตในแบบอื่นไม่ได้ครับ มันเหมือนกับว่า ลึกๆแล้ว มันคือความสงสาร หรือ ต้องการอนุเคราะห์ เท่านั้นเอง เว้นเสียแต่ว่า เราจะตัดความสงสารออกไป เช่น คิดซะว่า เป็นกรรมของเขา เขากำลังชดใช้กรรมอยู่ เป็นต้น คือ ถ้าคิดแบบนี้แล้วมันถึงจะสามารถวางจิตในแบบอื่นๆได้ หรือท่านใดมีวิธีอื่นๆที่ง่ายหรือดีกว่านี้ ก็ช่วยแนะนำผมหน่อยนะครับ ขอบคุณมากครับ