เมื่อผมลองปฏิบัติธรรมมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยน[จากคนที่ไม่เชื่อเลย]

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมขออนุญาตโพสต์เล่าเรื่องราวการปฏิบัติธรรมของตนเอง ซึ่งถ้าหากมีข้อความใดผิดพลาด ผมต้องขออภัยด้วยนะครับ และผมจะเล่าอย่างจริงใจ จากหัวใจของผมจริง ๆ
   ผมเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี (ยุค MSN, Hi5) ซึ่งถือเป็นยุคที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ตั้งแต่เป็นเด็กผมเติบโตในครอบครัวของพุทธศาสนาแต่ไม่ได้เคร่งครัดมากนัก คือเหมือนกับชาวพุทธโดยทั่วไปที่ไม่ได้มีใครปฏิบัติธรรมเลยในบ้าน
   เมื่อผมโตขึ้น เรียนมากขึ้น มีความรู้มากขึ้น มันทำให้ผมเริ่มมีอคติกับพุทธศาสนารวมถึงศาสนาและชุดความเชื่ออื่น ๆ ในโลก เพราะ ผมคิดว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่ครอบงำให้คนงมงายและปฏิบัติตาม ซึ่งอีกนัยหนึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงและผมจะเขียนขยายความต่อไป
  จุดเริ่มต้นในการปฏิบัติธรรมของผม เริ่มมาจากการที่ผมได้คบหากับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเธอเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ก่อนแล้ว หลายครั้งที่ผมพยายามถกเถียงกับเธอในเรื่องนี้ เธอมักจะหลีกเลี่ยงไม่พูดคุย มันจึงทำให้ผมเริ่มคิดว่า เธอกำลังถูกครอบงำในสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เพราะผมไม่เชื่อถึงขนาดที่ลบหลู่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน
  มาวันหนึ่ง ถือเป็นวันที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตของผม คือ ผมได้ไปเยี่ยมแฟนที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสำนักสงฆ์เล็ก ๆ  เมื่อผมมาถึงที่นั่น ผมได้ไปหาแฟนและเจอเธอในลักษณะนุ่งขาว ห่มขาว เหมือนคนที่มาปฏิบัติธรรมทั่วไป ผมจำเป็นต้องรักษาระยะห่างเนื่องจากเธอขอให้สำรวมกายในขณะที่อยู่ที่นั่นและผมก็ยินดีที่จะปฏิบัติตามเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกัน จนสักครู่หนึ่ง แฟนผมได้บอกผมว่า ผมมาที่นี่แล้ว ควรจะไปกราบพระอาจารย์ ซึ่งผมขออนุญาตไม่เอ่ยนามท่านนะครับ 
  เมื่อผมเจอพระอาจารย์ ผมได้กราบพระอาจารย์ท่านด้วยความเคารพ แม้ในหัวผมจะมีคำถามและยังมีอคติในเรื่องของศาสนา แต่อย่างน้อยสิ่งที่ผมมีคือมารยาทที่ควรจะมี จากนั้น พระอาจารย์ท่านได้เทศนาไปเรื่อย ๆ โดยเน้นไปที่เรื่องสติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก จนมาถึงช่วงจังหวะหนึ่งของการเทศนาซึ่งผมจะขอไม่ลงรายละเอียดว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไร แต่เอาเป็นว่าสิ่งที่ท่านพูดมันราวกับว่าท่านรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร หรืออยากทำงานอะไรในอนาคต แต่ท่านไม่ได้บอกว่าท่านรู้นะครับ และยังมีประโยคสุดท้ายก่อนกลับ ท่านกล่าวว่า "ส่วนเรื่องบวชค่อยว่ากันปีหน้า รอเรียนให้จบแล้วค่อยมาคุยกัน" 
ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้เอ่ยปากขอเลย แต่ก่อนที่ผมจะก้าวเท้าออกจากบ้าน ผมจำได้อย่างแม่นยำว่า ผมคิดในใจไปอย่างเรื่อยเปื่อยว่า "ถ้าวันนี้มีพระชวนบวชก็คงดี" และ "หวังว่าท่านจะชวนบวช" เพราะผมกำลังหาที่บวชให้พ่อกับแม่เพราะท่านขอให้เราบวช  ผมก็ยินดีที่จะบวช ๆ ไป เพื่อให้ท่านสบายใจครับ ซึ่งหลังจากที่ผมกลับมาที่บ้าน มันเลยทำให้ผมเริ่มสนใจและสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น จึงทำให้ผมเริ่มปฏิบัติธรรมอย่างสงสัย โดยจุดเริ่มต้นของผมคือ การนอนภาวนา โดยผมจะใช้เวลาก่อนที่ผมจะนอนหลับในทุก ๆ คืน "รู้แค่ลมเข้าออก ยาวสั้น..."  ผมทำอย่างสงสัย ทำไม่หยุด ทำไปเรื่อย ๆ จนความคิดเริ่มหายไป ง่ายๆ คือ ลองสักตั้ง นานก็ช่างมัน ง่วงก็ช่างมัน นอนก็ช่างมัน สงสัยก็ช่างมัน ถ้าหลุดไปคิดผมก็รีบดึงกลับมาที่ลม เพราะผมสงสัยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมันมีจริงไหม แค่นั้นเองครับ ทำไปเรื่อย ๆ จนไม่คิดแต่สติเด่นชัดขึ้น จนผมเริ่มเห็นสภาวะธรรมจากการทำอานาปานสติ หรือถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ผมได้สัมผัสถึงสิ่งที่ผมไม่เคยสัมผัสมาทั้งชีวิตและผมไม่เคยคิดว่ามันจะมีอยู่จริง ซึ่งการเข้าถึงสภาวะธรรมเหล่านี้ ผมเริ่มต้นมาจากการที่สงสัยว่าพระอาจารย์รู้ถึงจิตใจของผมได้อย่างไร ซึ่งไม่ว่าสิ่งที่ท่านพูดออกมา ท่านจะรู้ถึงจิตใจของผมจริง หรือ เป็นเรื่องบังเอิญ  แต่สำหรับผมนั้น ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องหาคำตอบหรอกครับ เพราะมันไม่ได้สำคัญอะไร แต่ผมถือว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมสงสัยในศาสตร์ของพุทธศาสนา และทำให้ผมได้เริ่มลงมือปฏิบัติและศึกษา
เมื่อผมปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ทำให้ผมค่อย ๆ เจอสภาวะธรรมต่าง ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งในส่วนของสภาวะธรรมที่ผมพบเจอนั้น ผมจะไม่ขอกล่าวถึงนะครับ เพราะผมถือว่าเป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัติแต่ละคนต้องพบเจอและอาจเจอแตกต่างกันไป 
  สภาวะธรรมที่ผมพบเจอแต่ละอย่าง มันเปรียบเสมือนขั้นบันไดที่ทำผมเกิดศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า ผมเคยคิดว่า การนั่งสมาธิมันจะทำให้เราฉลาดได้อย่างไร จนตนเองลองมาปฏิบัติเอง ตั้งแต่ตนเองสงสัย จนเจอสภาวะธรรมด้วยตัวเองทำให้เกิดศรัทธาและหมกมุ่นในธรรมะมากเกินไปจนผมขี้เกียจทำงานที่อาจารย์ให้เพราะวัน ๆ มัวแต่นั่งสมาธิ (แต่สุดท้ายเกรดผมเพิ่มนะ) เพราะเมื่อผมปฏิบัติมาถึงจุดหนึ่งจนอะไรบางอย่างมันเริ่มเกิดปัญญาว่า เห้ย เราติดสงบมากไป จนทำให้ผมเริ่มปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตคือ ให้ทางโลกและทางธรรมสมดุลกัน ทำกิจการงานที่ตนเองควรจะทำ จากคนที่เบื่อสังคม ไม่อยากเข้าสังคม มันเริ่มทำให้ผมวางในเรื่องนี้ คือ อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน ความรู้สึกตรงนี้มันอธิบายยากมากครับ ซึ่งผมไม่ได้พยา่ยามคิดให้มันปล่อยแต่มันปล่อยของมันเอง 
    การที่ผมตั้งกระทู้ ผมไม่ได้มาเพื่อสอนธรรมะ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ที่ผมต้องทำ แต่มันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์มากๆ จากใจจริง สำหรับคนที่ไม่เชื่อในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เพราะบางครั้ง ความรู้ทางโลกในปัจจุบันส่งผลให้เรามองศาสนาผ่านกรอบการเมืองมากเกินไปซึ่งมันจะทำให้ศาสนากลายเป็นปีศาจหรือเป็นสิ่งที่มอมเมาประชาชน สำหรับศาสนาอื่นผมไม่ขอกล่าวถึง แต่สำหรับศาสนาพุทธจะมีวิธีการปฏิบัติที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ และผมรับประกันไม่ว่าผู้อ่านจะมาจากชนชั้นใด ศาสนาใด จะเชื่อหรือไม่เชื่อ สามารถพิสูจน์ได้ เพราะตัวผมเองนอนดูลมหายใจมากกว่า 2 ชั่วโมง และใช้เวลาทำหลายวัน เนื่องจากอาจจะเป็นความ "บ้า" ในตัวผม อารมณ์ประมาณว่า "อยากลอง" และครั้งแรกที่เจอสภาวะธรรม ตื่นเต้นมาก ไปเล่าให้แฟนฟัง คุยไม่หยุดจนแฟนรำคาญ ซึ่งคงเป็นธรรมดาของคนปฏิบัติที่เจอแรก ๆ ครับ 
  ท้ายที่สุดผลจากการปฏิบัติอย่างขยันหมั่นเพียรแทบจะทุก ๆ วัน มันเปลี่ยนให้ผมใจเย็นมากขึ้น อาจมีโกรธบ้าง เคืองบางเป็นธรรมดาแต่อย่างไรก็ตามนับเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มหาศาล เพราะเราสามารถลดอคติออกจากใจของเราได้ ผมเลือกฟังธรรมะผ่าน youtube แทบจะทุกพระอาจารย์ แม้จะมีอคติแต่เราพยายามแค่รับรู้มันเท่านั้น เพราะบางครั้งเมื่อเราอ่านคอมเม้นตาม youtube ก็จะมีคนวิจารณ์ว่าท่านนี้สอนถูกบ้าง สอนผิดบ้าง ซึ่งตรงนี้มันจะเป็นปัญหาทำให้ผู้ที่เริ่มศึกษาเริ่มสับสนรวมถึงตัวผมเอง จนผมเริ่มจับคำถามนี้มาพิจารณา จนผมได้คำตอบว่า ฟังไป พิจารณาธรรมไป ถูกหรือผิดเราจะรับรู้ได้เอง ซึ่งสิ่งที่ตรวจสอบได้คือ กิเลสเราลดลงมั้ย เราปฏิบัติแล้วเป็นอย่างไร ซึ่งผมก็ไม่รู้จะพิมพ์สื่อสารออกไปอย่างไรให้ผู้อ่านเข้าใจ อธิบายง่าย ๆ คือ รู้อะไรมา ให้ "วาง" ไว้ก่อน แล้วปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไปได้ระดับหนึ่ง มันเลยทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่า ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของจิต มันเกี่ยวโยงกันไปหมด เช่น
 ผมรักผู้หญิงคนหนึ่งแม้ว่าเค้าจะเลวกับผมมาก ซึ่ง สมองหรือความคิดของผมมันรับรู้ว่าควรเลิกกับผู้หญิงคนนี้เสียที แต่ท้ายที่สุดสมองมันสั่งให้เลิกรักไม่ได้ 
สุดท้ายต่อให้เราทำตามที่สมองมันสั่ง เราก็ยังไม่สามารถเลิกรักได้ เมื่อเลิกกันไปก็เป็นทุกข์ อยู่ดี ซึ่งตรงนี้เองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเราจะทำยังไงให้เราหลุดพ้นและเป็นอิสระ  ทำยังไงให้จิตมันวาง และนี่แหละคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ (ตามความเข้าใจของผมนะครับ) ซึ่งแม้ผมพอจะเข้าใจในแนวทางการปฏิบัติ แต่ปัจจุบันจิตผมก็ยังวางไม่ได้ในหลาย ๆ เรื่อง แม้ว่าผมจะรู้อยู่แก่ใจก็ตาม แต่อย่างน้อยการที่ผมได้โพสต์กระทู้นี้ ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่หลาย ๆ คน ได้เข้ามาอ่านและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะครับ และผมยินดีรับ Feedback ทั้งดีและไม่ดีครับ
       ซึ่งสุดท้ายแล้วทำให้ผมรู้ว่าธรรมะมันเป็นเรื่องที่มีความประณีตเป็นอย่างมาก และผมถือว่าเป็นเรื่องที่เกินกว่าวิชาการ หรือ บางอย่างเราไม่อาจใช้สมมติสัจจะ มาอธิบายได้แต่เราทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้ และผมไม่ได้เป็นคนหรือเก่งหรือดีเด่อะไรนะครับและยังคงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไปถึงปลายทาง เพียงแต่ผมหวังว่าการโพสต์กระทู้พันทิปในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ที่กำลังทุกข์ใจในเรื่องต่าง ๆ  จากหัวใจของผมจริง ๆ อย่างจริงใจ
      หากผมเขียนอะไรที่ งง หรือดูย้อนแย้ง ต้องขออภัยด้วยครับ เพราะผมเขียนไปเรื่อย ๆ ปราศจากการจัดเรียงครับ และงดขอ Contact ส่วนตัวนะครับ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่