"Great Wall Hercules" หนึ่งในโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาล



 "The Wall " คืออะไร - มีกาแลคซีมากมายทั่วจักรวาล กาแล็กซีเหล่านี้จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่มีเส้นใยขนาดใหญ่คั่นด้วยช่องว่างขนาดใหญ่ที่เกือบจะว่างเปล่า เส้นใยแต่ละเส้นมีลักษณะเป็นเหมือน "กำแพงกาแลคซี" ซึ่งทอดตัวยาวหลายร้อยล้านปีแสง พวกมันเป็นโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาล โครงสร้างที่รู้จักทั่วไปได้แก่ Great Wall, Sloan Great Wall, Hercules-Corona Borealis Great Wall และ Bootes Void
 
กำแพงเหล่านี้ประกอบกันเป็นสิ่งที่นักดาราศาสตร์เรียกว่า "the cosmic web" (อวกาศที่ความกว้างใหญ่ไพศาล) การรวม  "the cosmic web" เข้าด้วยกันเป็นหนึ่งในการแสวงหาหลักของจักรวาลวิทยา ซึ่งมันไม่เพียงบอกเราเกี่ยวกับโครงสร้างของจักรวาลเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจได้ดีขึ้นว่าเอกภพก่อตัวขึ้นอย่างไรและมีวิวัฒนาการอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป

ในการสำรวจจักรวาลมักทำโดยการวัดการเปลี่ยนสีแดงของวัตถุ  โดยความเร็วที่วัตถุเหล่านั้นดูเหมือนจะเคลื่อนที่ออกไปจากโลกเนื่องจากการขยายตัวของจักรวาล ยิ่งวัตถุถอยหลังเร็วเท่าไหร่วัตถุก็ยิ่งอยู่ห่างออกไปมากเท่านั้น 

การมีอยู่ของโครงสร้างขนาดใหญ่มากๆเหล่านี้อาจจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนแบบจำลองจักรวาลวิทยา โดยสังเกตุจากการระเบิดของรังสีแกมมาที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ พวกมันเกี่ยวข้องกับจุดสิ้นสุดของดาวฤกษ์มวลมากและพบได้ในและใกล้กับกาแลคซีที่อยู่ห่างไกล เนื่องจากเป็นตัวบ่งชี้ที่ทำงานได้ของส่วนที่หนาแน่นของจักรวาลที่มีสสารปกติการกระจายเชิงพื้นที่ของการระเบิดของรังสีแกมมาจึงสามารถใช้เป็นตัวตรวจจับโครงสร้างขนาดใหญ่สากลได้



นักดาราศาสตร์ค้นพบวัตถุโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสังเกตรังสีแกมมา เป็นกาแลคซีกลุ่มใหญ่ที่ก่อตัวเป็นรูปแบบคล้ายแผ่นขนาดยักษ์มีความยาวประมาณ 10 พันล้านปีแสง กว้าง 7.2 พันล้านปีแสงและหนาเกือบ 1 พันล้านปีแสงในกลุ่มดาวเฮอร์คิวลิสและดาวโคโรนา
บอเรียลิส (ดาวมงกุฎเหนือ)
เพราะฉะนั้นชื่อของมันจึงขนานนามว่า "Great Wall Hercules - Northern Crown" หรือ  "Hercules – Corona Borealis Great Wall" เป็นที่รวบรวมกาแลคซีไว้จำนวนมหาศาลซึ่งมีรูปร่างและขนาดต่างๆกัน

มันถูกค้นพบในเดือนพฤศจิกายน 2013 โดยทีมนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันและฮังการีนำโดย IstvánHorváth, Jon Hakkila และ Zsolt Bagoly โครงสร้างส่วนบนขนาดใหญ่นี้เป็นพื้นที่ของท้องฟ้าที่เห็นในการทำแผนที่ชุดข้อมูลของการระเบิดของรังสีแกมมา (GRB) (ด้วยเหตุนี้โครงสร้างจึงมักเรียกว่า " Great GRB Wall ")  ที่พบว่ามีความเข้มข้นของ GRB ที่ห่างกันใกล้เคียงกันสูงกว่าการกระจายเฉลี่ยที่คาดไว้อย่างผิดปกติ  พวกมันเป็นการระเบิดที่ส่องสว่างของดวงดาวมวลมหาศาลที่อยู่ห่างไกลซึ่งเป็นการระเบิดที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาล การระเบิดโดยทั่วไปจะปล่อยพลังงานออกมาในเวลาน้อยกว่าหนึ่งในสิบของวินาทีในช่วงชีวิตทั้งหมดของดวงอาทิตย์ที่ 10 พันล้านปี

มันมีขนาดใหญ่กว่าวงแหวนแกมมากาแลกติกยักษ์ถึงสองเท่า เนื่องจากการระเบิดของรังสีแกมมาที่สว่างที่สุดเกิดจากดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ซึ่งโดยปกติจะอยู่ในพื้นที่ของอวกาศที่มีสสารมากกว่า  ทุกครั้งเมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่าการระเบิดของรังสีแกมมาเกิดขึ้นบ่อยเกินไปในพื้นที่ในทิศทางของ
กลุ่มดาวเฮอร์คิวลิสและโคโรนาเหนือ พวกเขาจะพบว่ามีวัตถุทางดาราศาสตร์ซึ่งน่าจะมีความเข้มข้นหนาแน่นของกระจุกกาแลคซีและสสารอื่น ๆ

การระเบิดของรังสีแกมมา (GRB) 
รังสีแกมมาเป็นรังสีที่ทรงพลังที่สุดในสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด การระเบิดของรังสีแกมมานั้นหายากมากมีเพียงครั้งเดียวที่เกิดขึ้นในดาราจักรทั่วไปทุกๆสองสามล้านปี ดาวฤกษ์ที่ก่อให้เกิดการระเบิดเหล่านี้มีมวลมากดังนั้นวัสดุที่จำเป็นสำหรับการก่อตัวจะต้องมีจำนวนมาก ดังนั้นการระเบิดเหล่านี้สามารถใช้เพื่อติดตามว่ามีกาแลคซีอยู่ในทิศทางนั้นหรือมีสสารกลุ่มใหญ่อยู่ในนั้น

ชื่อ "Hercules – Corona Borealis Great Wall"  ถูกคิดค้นโดยวัยรุ่นชาวฟิลิปปินส์ซึ่งเขียนไว้ใน Wikipedia ไม่นานหลังจากที่มีข่าวว่านักดาราศาสตร์ค้นพบโครงสร้างขนาดใหญ่บนท้องฟ้าจักรวาล แม้ว่าชื่อที่ประดิษฐ์ขึ้นจะไม่ได้อธิบายถึงวัตถุนี้อย่างถูกต้อง (กำแพงครอบคลุมกลุ่มดาวหลายกลุ่มในคราวเดียวไม่ใช่แค่สองกลุ่ม) แต่นี่เป็นครั้งแรกที่วิกิพีเดียตั้งชื่อให้กับวัตถุที่ค้นพบและน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์  เนื่องจากการมีอยู่ของ "กำแพง" นี้ยังขัดแย้งกับหลักการทางจักรวาลวิทยานักวิทยาศาสตร์จึงต้องทบทวนทฤษฎีบางประการเกี่ยวกับการก่อตัวของจักรวาล

นักดาราศาสตร์ศึกษาการระเบิดเหล่านี้เนื่องจากทำให้เราสามารถค้นหาโครงสร้างขนาดใหญ่ในจักรวาลได้ ดาวฤกษ์ขนาดใหญ่สามารถก่อตัวขึ้นรอบ ๆ มวลส่วนเกินที่หนาแน่นเท่านั้นเพราะนั่นคือสิ่งที่พวกมันกิน นอกจากนี้ระบบดาวเคราะห์เช่นระบบสุริยะของเรายังเป็นเศษซากที่รวมตัวกันโดยพื้นฐานแล้วซึ่งกระจายตัวในช่วงที่ดาวฤกษ์เดียวกันเหล่านี้เสียชีวิตจากการระเบิดจากซูเปอร์โนวา ดังนั้นการศึกษาโครงสร้างเหล่านี้ทำให้เราได้เห็นทั้งในวัยเด็กและประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของจักรวาลของเรา

 
Hercules – Corona Borealis Great Wall
โครงสร้างส่วนบนที่ใหญ่ที่สุดที่รู้จักกันในจักรวาล เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะคล้ายแผ่นขนาดยักษ์ซึ่งมีกาแลคซีอยู่หนาแน่นมาก
กลุ่มดาวมงกุฎเหนือ (Corona borealis)
เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็กในซีกฟ้าเหนือ ดาวฤกษ์ในกลุ่มเรียงกันเป็นรูปครึ่งวงกลม กลุ่มดาวนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มในรายการของทอเลมี และยังเป็นกลุ่มดาวในรายชื่อกลุ่มดาวสมัยใหม่ 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล เดิมมีชื่อละตินว่า Corona ที่หมายถึงมงกุฎ ต่อมาเติมคำว่า Borealis (เหนือ) เพื่อให้ตรงข้ามกับกลุ่มดาวมงกุฎใต้ที่อยู่ในซีกฟ้าใต้ (Cr.https://th.wikipedia.org/wiki/กลุ่มดาวมงกุฎเหนือ)

กลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส (Hercules)
 เป็นกลุ่มดาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ในกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล และเป็นหนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี ชื่อของกลุ่มดาวมาจากชื่อของเฮอร์คิวลีสในเทพปกรณัมโรมัน  ดาวที่สว่างที่สุดของกลุ่มดาวนี้คือดาว"บีตาเฮอร์คิวลิส"หรือ"คอร์โนเฟอรอส(Kornephoros)" ซึ่งดาวดวงนี้ยังเป็นดาวที่เทพที่สุดบนท้องฟ้าอีกด้วย (Cr.https://th.wikipedia.org/wiki/กลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส)
ที่มา http://sciabc.us/NpOV8
Cr.https://mywordworld.ru/th/shkolnikam/kakie-samye-plotnye-obekty-vo-vselennoi-astronomy-obnaruzhili/
Cr.https://simple.wikipedia.org/wiki/Hercules%E2%80%93Corona_Borealis_Great_Wall
Cr.https://en.wikipedia.org/wiki/Hercules%E2%80%93Corona_Borealis_Great_Wall
Cr.https://www.scienceabc.com/nature/universe/what-is-the-biggest-thing-in-the-universe.html
Cr.https://www.quora.com/What-is-the-largest-object-in-the-universe
Cr.https://www.technologyreview.com/2020/07/13/1005090/astronomers-found-giant-intergalactic-wall-south-pole-wall/

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ขอเพิ่มเติมข้อมูลให้ด้วยนะครับ

เห็น จขกท.กล่าวถึง Cosmic web  จึงขอเพิ่มเติมให้อีก
เริ่มที่ scale เล็ก ๆ ก่อน คือ ช่องว่างระหว่างระบบดาวฤกษ์ต่าง ๆ (ระบบสุริยะ)
มันคืออวกาศเวิ้งว้างที่มีเพียงความหนาแน่นของ Atom แก้ส Hydrogen
ประมาณ 10 - 100 atom ต่อ 1 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้นเองครับ  แต่ช่องว่างบางช่วง
ก็จะมีความหนาแน่นของ atom แก้สต่าง ๆ  และ ฝุ่น มากเป็นพิเศษ  
เรียกว่า ISM (Interstellar Medium) ครับ

ISM  จะกระจายตัวแทรกกลางระหว่างดาวฤกษ์ต่าง ๆ  อย่างในภาพนี้ครับ
https://scitechdaily.com/images/Crossing-the-Cosmic-Void.jpg

ใหญ่ขึ้นไปอีก คือ ช่องว่างระหว่างแกแลคซี่  ซึ่งจะมี scale ที่แตกต่างไปมากครับ  
เนื่องจากระยะระหว่างแกแลคซี่นั้นจะห่างกันว่างมากถึงหน่วย ล้านปีแสง  
เทียบกับช่องว่างอวกาศระหว่างดาวฤกษ์แค่ 1 - 3 ปีแสง เท่านั้น
มากกว่ากันล้านเท่า ++ ..... ดังนั้น ช่องว่างระหว่างแกแลคซี่จะไม่มี ISM  
แต่จะมีสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ใว้คือ สสารมืด (Dark matter) ครับ

สสารมืดจะแทรกตัวอยู่ในแกแลคซี่  และห้อมล้อมรอบแกแลคซี่ทั้งวง  
และอาจแผ่รัศมีออกไประยะหนึ่งจากขอบแกแลคซี่ด้วย
นี่คือภาพที่ simulated โดย Computer  มันคือภาพของพื้นที่ใน Scale ขนาดใหญ่มาก ๆๆๆ  
โดยจุดขาว ๆ หรือปื้นขาว ๆ นั้นคือ แกแลคซี่  และปื้นสีม่วงรอบจุดขาว ๆ นั้นคือ Dark matter
ที่ห้อมล้อมแกแลคซี่ไว้  ซึ่งจากข้อมูลที่นักดาราศาสตร์ที่จำลองภาพออกมานี้  จะเห็นว่า
dark matter จะห้อมล้อมแกแลคซี่ใว้  และ  สามารถเชื่อมต่อกันกับ dark matter
ที่ล้อมอีกแกแลคซีหนึ่งได้  การเชื่อมต่อกันนี้เรียกว่า Filament  และการเชื่อมของ
filament นี้  โดยภาพรวมจะเรียกว่า Cosmic web ครับ  ส่วนพื้นที่สีดำในภาพ
คือ บริเวณที่ "ว่างเปล่า" จริง ๆ  เรียกว่า Voids ครับ



และบริเวณ Voids นี่แหละครับ  ที่จะไม่มีมวลเลย  เพราะมันไม่มีสสารมืด
ไม่มีอะตอม  ไม่มีอนุภาค  มีเพียง Photons ที่วิ่งผ่านเท่านั้น (Photon ไม่มีมวล)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่