เกาะซากหักพังแหล่งวัฒนธรรมโบราณ


Suakin Island


เมือง Suakin ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซูดานเป็นเมืองท่าที่สำคัญสำหรับการค้าและวัฒนธรรมบนชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกมานานหลายศตวรรษ เมืองตั้งอยู่บนเกาะแบนรูปไข่บนชายฝั่งตะวันตกของทะเลแดงภายในช่องแคบ ๆ ที่ทะลุเข้าไปในแผ่นดิน 4 กม.และสิ้นสุดลงในแอ่งกว้างประมาณ 2 กม.
มีสองเกาะในแอ่งน้ำตื้น  เกาะหนึ่งเป็นสุสานร้าง อีกเกาะอยู่ทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของ Suakin เกาะนี้เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ด้วยทางหลวงสายสั้น ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น
ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นท่าเรือหลักของซูดาน  เมื่อท่าเรือแห่งใหม่ Port Sudan ถูกสร้างขึ้นทางเหนือในต้นศตวรรษที่ 20 จากนั้น Suakin ก็เริ่มสูญเสียประชากรไปอย่างช้าๆจนกลายเป็นเมืองร้าง

ประวัติในช่วงต้นของ Suakin ส่วนใหญ่ยังคงคลุมเครือเนื่องจากไม่เคยอยู่ภายใต้การวิจัยทางโบราณคดี  แม้จะถูกกล่าวถึงในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และเรื่องราวของนักเดินทางมากมาย  เชื่อกันว่า Suakin เป็นท่าเรือของโรมัน Limen Evangelis ซึ่งกล่าวถึงโดย Ptolemy อธิบายว่ามันตั้งอยู่บนเกาะทรงกลมที่มีทางเข้ายาว  Suakin มีชื่อมาจากอัลฮัมดานีในศตวรรษที่ 10 ซึ่งกล่าวว่าที่นี่เคยเป็นเมืองโบราณอยู่แล้ว

ในเวลานั้น Suakin เป็นคู่แข่งกับท่าเรือ Aydhab ในทะเลแดงซึ่งอยู่อยู่ภายใต้การควบคุมของอียิปต์โดยตรง ชาวอียิปต์พยายามที่จะแย่งชิงการควบคุม Suakin จากชนเผ่า Beja ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองและมีการปะทะกันบ่อยครั้งเพราะเหตุนี้  การแข่งขันระหว่างท่าเรือทั้งสองสิ้นสุดลงด้วยการล่มสลายของ Aydhab ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 15 จากนั้น Sukain ได้กลายเป็นท่าเรือหลักบนชายฝั่งทะเลแดงโดยยังคงรักษาความโดดเด่นไว้ได้จนถึงการเปิดท่าเรือซูดานในปี 1922

( Suakin ล่าสุดที่มีการก่อสร้างใหม่บนเกาะ Cr.ภาพ Ibrahem Saehon)
หนึ่งทศวรรษต่อมาท่าเทียบเรือ Suakin ก็หายไปและพังทลายลงไปในสันดอนข้างท่าเรือที่ป้องกันไม่ให้เรือขนาดใหญ่เข้ามาได้ ในตอนท้ายของทศวรรษที่ 1930 เกาะ Suakin ถูกทิ้งร้างโดยสิ้นเชิงแต่ยังมีคนไม่กี่คนที่ยังคงอยู่ในส่วนแผ่นดินใหญ่ของเมือง

วันนี้เกาะมีแต่ซากปรักหักพัง อาคารที่ครั้งหนึ่งที่สร้างจากหินปะการังอันงดงามก็เสี่ยงต่อการพังทลาย แต่ท่ามกลางซากปรักหักพังนี้ยังสามารถเห็นความหลากหลายทางสถาปัตยกรรมของเมือง ที่มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมากมาย ตั้งแต่เวเนเชียนไปจนถึงออตโตมัน โดยบางส่วนของเมืองได้รับการบูรณะแล้ว
ที่มา  Wikipedia / Marisa Calia / Abdel Rahim Salim / iccrom.org
Cr.ภาพ ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
Cr.https://www.amusingplanet.com/2017/03/the-ruins-of-suakin-island.html / By KAUSHIK PATOWARY 

Abu Hureyra
กล่าวกันว่าอารยธรรมได้เริ่มต้นขึ้นอย่างอิสระทั่วโลกในสถานที่ 6 แห่งโดยขนานนามว่า“ แหล่งกำเนิดของอารยธรรม " สองแห่งอยู่ในตะวันออกกลาง
สองแห่งในเอเชียและอีกสองแห่งในอเมริกา
สถานที่ทั้งสองแห่งที่อยู่ในตะวันออกกลางเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคที่ใหญ่กว่าที่เรียกว่า Fertile Crescent เนื่องจากมีรูปพระจันทร์เสี้ยวซึ่งประกอบไปด้วยอิรัก ตุรกี อิหร่าน ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล ปาเลสไตน์ จอร์แดนและอียิปต์  ภูมิภาคนี้มีหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดบางประการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ยุคหินใหม่จากนักล่าสัตว์ไปเป็นชาวนา

ใจกลางของ Fertile Crescent เป็นที่ตั้งถิ่นฐานโบราณของ Abu ​​Hureyra ตั้งอยู่บนเนินดินเทียมที่เรียกว่า “tell”  ซึ่งตั้งอยู่ในซีเรียทางด้านใต้ของหุบเขายูเฟรติสห่างจากอะเลปโปไปทางตะวันออกประมาณ 120 กม. มีบ้านจำนวนมากที่พังทลาย เศษซากและวัตถุก่อนประวัติศาสตร์ที่สะสมมาตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่มนุษย์อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ เนินดินซึ่งมีความสูงเกือบครึ่งกม.และสูง 8 ม.ครั้งหนึ่งเคยตั้งอยู่บนพื้นที่แห้งแล้งริมแม่น้ำยูเฟรติส แต่หลังจากนั้นก็จมอยู่ใต้ผืนน้ำของทะเลสาบอัสซาด

สถานที่แห่งนี้ประกอบด้วยหมู่บ้านสองแห่งที่นักโบราณคดีเรียกว่า Abu Hureyra 1 และ Abu Hureyra 2 โดยมีลำดับเหตุการณ์ที่ครอบคลุม 4,000 ปีระหว่าง 13,000 ถึง 9,000 ปีที่แล้ว ผู้คนของ Abu ​​Hureyra 1 มาจากยุค Epipaleolithic และเป็นที่อยู่ของนักล่าสัตว์ แต่ Abu Hureyra 2 หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในช่วงยุคหินใหม่ตอนต้นเป็นหมู่บ้านของชาวนา

หมายความว่าชาว  Abu Hureyra เริ่มต้นจากการเป็นนักล่าสัตว์ แต่ค่อยๆย้ายไปทำการเกษตรทำให้พวกเขาเป็นเกษตรกรที่รู้จักกันมากที่สุดในโลก การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากช่วง Younger Dryas ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกเย็นลงอย่างรวดเร็วโดยมีลักษณะการกลับมาของธารน้ำแข็งระหว่าง 12,900 ถึง 11,700 ปีที่แล้ว หลักฐานบ่งชี้ว่าธัญพืชชนิดแรกที่เพาะปลูกคือข้าวไรย์

Abu Hureyra ถูกค้นพบและขุดขึ้นในช่วงปี 1970 ระหว่างการสร้างทะเลสาบ Assad ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำของเขื่อน Tabqa ก่อนที่จะเกิดน้ำท่วมในปี 1975 นักโบราณคดีได้ช่วยชีวิตวัตถุให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากคำบอกเล่าของ Abu ​​Hureyra รวมถึงพื้นที่โดยรอบซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานในสมัยโบราณอีกมากมาย สิ่งที่ค้นพบมากมายจากการขุดค้นได้ถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอเลปโป
ที่มา wikipedia.org/wiki/Tell_Abu_Hureyra
Cr.https://www.amusingplanet.com/2020/01/abu-hureyra-place-where-human-became.html / KAUSHIK PATOWARY 




Por-Bajin

Por-Bajin โบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี บนเทือกเขาสูงของไซบีเรีย ซึ่งถูกยกให้เป็นโบราณสถานที่ลึกลับสุดในรัสเซีย ตั้งอยู่บนเกาะเล็กกลางทะเลสาบ Tere-Khol บนเทือกเขาทางตอนใต้ของไซบีเรียใกล้กับพรมแดนมองโกเลีย ห่างจากกรุงมอสโก 3,800 กม. ซึ่งนักโบราณคดีหาคำตอบว่าใครเป็นผู้สร้าง และเหตุใดพวกเขาจึงเลือกที่จะละทิ้งสถานที่แห่งนี้ไป

Por-Bajin เป็นภาษาตูวันหมายถึง "บ้านโคลน" มีลักษณะคล้ายป้อมปราการขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ครอบคลุมเนื้อที่ 35,000 ตารางเมตร คาดว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่าง ค.ศ. 744-840  มันถูกค้นพบและกลายมาเป็นที่รู้จักของสังคมโลกในปี1891 แต่เพิ่งจะมีการเริ่มลงพื้นที่ศึกษาค้นคว้าหาความเป็นมาของที่แห่งนี้อย่างจริงจังเมื่อปี 2007 
           
จากการวิจัยเชิงลึก กลุ่มนักโบราณคดีได้ค้นพบแผ่นดินรูปรอยเท้าของมนุษย์ พบภาพวาดปูนปลาสเตอร์สีจาง ๆ บนกำแพง พบประตูทางเข้าขนาดยักษ์ รวมถึงชิ้นส่วนไม้ที่ถูกเผา เพื่อที่จะทำให้เห็นภาพรวมของสถานที่ได้ชัดเจนขึ้น นักโบราณคดีจึงใช้อุปกรณ์เลเซอร์มาช่วยสร้างแผนที่ และสามารถสร้างแบบจำลอง 3 มิติพบว่ามีโครงสร้างคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมแบบจีน

ภายในโบราณสถานแห่งนี้ประกอบไปด้วยกำแพงภายนอกที่สูง 10 ม. มีประตูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า ภายในมีลานกว้าง 2 ส่วนที่ถูกกั้นไว้ด้วยประตูอีกบาน สำหรับกำแพงที่อยู่ภายในมีขนาดความสูงเพียง 1 ม. ซึ่งนักโบราณคดี อิริน่า อาร์ซานเซวา ได้ตีพิมพ์รายงานใน The European Archaeologist
ระบุว่าสิ่งปลูกสร้างในที่แห่งนี้ มีลักษณะคล้ายสถาปัตยกรรมจีนสมัยราชวงศ์ถัง
           
แต่แม้จะได้ข้อมูลสถานที่แห่งนี้หลายอย่าง แต่ยังคงไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าเหตุใดพวกเขาถึงเลือกที่จะสร้างมันขึ้นบนเกาะที่อยู่โดดเดี่ยว ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,299 ม. ที่ต้องเผชิญต่อสภาพอากาศที่สุดขั้วและอยู่ห่างไกลจากเส้นทางการค้าหลักของไซบีเรีย  โดยยังคงมีการถกเถียงกันในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญว่ามันเป็นชุมชนอาศัยที่มีศูนย์กลางเป็นอารามทางศาสนา หรืออาจเป็นพระราชวังฤดูร้อน หอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ แต่ก็ยังไม่สามารถให้ข้อมูลชี้ขาดได้
ข้อมูล dailymail.co.uk, siberiantimes.com
Cr.ภาพ Por-Bajin Cultural Foundation, por-bajin.ru 
Cr.https://travel.kapook.com/view168593.html        

 Bavljenac
เกาะเล็กๆแห่งนี้ตั้งอยู่ในทะเลเอเดรียติก นอกชายฝั่งประเทศโครเอเชีย มีรูปร่างรูปทรงวงรี มีขนาด1.4 ตารางกม. มองจากด้านบนเป็นรูปคล้ายลายนิ้วมือขนาดยักษ์ที่มีลวดลายวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ เกาะนี้ชื่อ “Bavljenac”  ลวดลายที่เป็นร่องเรียงกันอยู่นั้นคือลวดลายของก้อนหินที่เรียงต่อกันเป็นกำแพงหิน และเป็นฝีมือของมนุษย์

ในเวลานานมาแล้วเกาะ Bavljenac เป็นที่อยู่ของชาวนา พวกเขาได้นำหินเล็กๆที่อยู่บนเกาะมาวางเรียงซ้อนกันเพื่อสร้างกำแพงหินยาว 14 ไมล์ โดยมีจุดประสงค์ในการแบ่งเบตเพื่อทำการเกษตรทั้งที่นาและที่ไร่ จึงเกิดเป็นกำแพงหินขนาดสูงพอประมาณและมีความยาวเป็นตรอกซอกซอยไปทั่วเกาะ จึงอนุมานได้ว่าเกาะนี้น่าจะเป็นเกาะสำหรับทำการเกษตรโดยเฉพาะ 

และการวางเรียนหินแบบนี้ยังเป็นวัฒนธรรมโบราณของประเทศในยุโรปตะวันตกที่มีวัฒนธรรมทำการเกษตรแบบนี้เช่นกัน และยังมีความเชื่อว่ากำแพงหินยังสร้างขึ้นเพื่อป้องกันลมทะเลที่อาจเข้ามาทำลายผลผลิต  เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้โดดเด่นในเรื่องของ ความงาม. รูปทรงธรรมชาติที่แปลกตาและพื้นผิวทางเรขาคณิตที่สมบูรณ์แบบเมื่อรวมกับมุมมองทางอากาศ รัฐบาลโครเอเชียได้ร้องขอให้ยูเนสโกรวมเกาะแห่งนี้ไว้ในรายชื่อแหล่งมรดกโลก
ที่มา amusingplanet.com
Cr.https://www.mybestplace.com/en/article/baljenac-an-island-in-the-shape-of-a-fingerprint
Cr.https://travel.thaiza.com/foreign/379136/

 Dhaskalio
 
เมื่อช่วงกลางเดือน กรกฎาคม 2019 ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบ แหล่งโบราณคดีหินอ่อนอายุร่วม 4,600 ปีของชาวกรีกโบราณ บนเกาะเล็กๆ รูปร่างคล้ายพีระมิดห่างออกไปจากชายฝั่งเมือง Keros ประเทศกรีซ
 
เกาะมีชื่อว่า “Dhaskalio” เป็นที่สนใจของเหล่านักโบราณคดีมาตั้งแต่ปี 2015 จากการค้นพบร่องรอยของโบราณสถานที่ไม่เคยมีการสำรวจมาก่อนบนเกาะ  ต่อมาทีมนักวิจัยจากนานาชาติก็เริ่มที่จะเข้ามาสำรวจและขุดค้นเกาะแห่งนี้ภายใต้ เงินทุนจากรัฐบาลกรีกและโรงเรียน British School ในกรุงเอเธนส์  
อ้างอิงจากทีมวิจัยที่เข้ามาสำรวจโบราณสถานที่พบบนเกาะถูกสร้างขึ้นมาในช่วงยุคสัมฤทธิ์ โดยอาศัยการขนส่งทางทะเลร่วม 3,500 เที่ยว เพื่อที่จะขนหินอ่อน 7,000-10,000 ตันมายังเกาะแห่งนี้  ซึ่งเป็นการลำบากมากในสมัยนั้น และนับว่าเป็นหนึ่งในการขนส่งสิ่งก่อสร้างทางน้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์กรีก  สำหรับทีมวิจัยแล้วมันสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่เกาะแห่งนี้มี ต่อวัฒนธรรมของชาวกรีกโบราณได้เป็นอย่างดี
 
ในเบื้องต้นทีมนักโบราณคดีได้ สันนิษฐานว่าเกาะรูปพีระมิดแห่งนี้ ในอดีตอาจจะเคยเป็นสถานที่ทางศาสนาที่ดึงดูดผู้แสวงบุญในสมัยก่อน อ้างอิงจากการที่บนเกาะมีพื้นที่เปิดที่เหมาะสมกับการใช้บูชาหรือการแก้บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพบหลักฐานการฝังรูปปั้นขนาดเล็กเพื่อบูชาเทพบนเกาะ
  
นอกจากนี้ใกล้ๆ กับพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ทีมนักโบราณคดียังพบสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากซึ่งมีร่องรอยว่าเคยมีผู้อยู่อาศัยเป็นเวลาราวๆ 400 ปี ก่อนที่ถูกทิ้งร้างไปในเวลาต่อมา
นักโบราณคดีทุกคนค่อนข้างมั่นใจใครที่สร้างแหล่งโบราณคดีแห่งนี้จะต้องมีความสามารถทั้งในการจัดการองค์กร ทางเทคนิคการก่อสร้าง และทางการเมืองการปกครอง และอาจเป็นกุญแจสำคัญเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของอารยธรรมกรีกโบราณต่อไป
ที่มา independent, ancient-origins , livescience
Cr.https://www.catdumb.tv/ancient-settlement-on-dhaskalio-378/ By เหมียวศรัทธา

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่