กระทู้นี้อยากชวนมาแชร์วิธีการเลี้ยงลูกค่ะ ว่าแต่ละคนมีความคาดหวัง มีวิธีเลี้ยง วิธีจัดการอย่างไรบ้างในการเลี้ยงลูก
สำหรับดิฉัน อยากแลกเปลี่ยนมุมมองของตัวเองกับคนอื่นบ้าง
สิ่งที่ทำให้ดิฉันกล้าออกมาแชร์วิธีการเลี้ยงของตัวเอง ไม่ใช่เพราะลูกดิฉันประสบความสำเร็จอย่างสูงในด้านการเรียน ไม่ใช่เพราะลูกมีเกียรติประวัติดีเด่นเป็นพิเศษ หรือไม่ใช่เพราะดิฉันมั่นใจในวิธีการเลี้ยงลูกของตัวเองขนาดนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้กล้าออกมาเชียนแชร์คือ วันก่อนหน้า คุยกับลูกคนโตแล้วเธอบอกว่า
“หม่ามี้ ลูกมีความสุขจัง ลูกชอบชีวิตช่วงนี้จัง ลูกไม่อยากโตเลย ชอบชีวิตแบบนี้อ่ะ เฮ้อ...”
เฮ้ย... ทำไมยังงั้นอ่ะคะ ?
ฟังแล้วมีความสุขจัง ตอนอายุเท่ากัน ดิฉันอยากโตตลอดเวลา อยากรีบๆ ปีกกล้าขาแข็ง เรียนจบ ออกจากบ้าน ออกไปยืนด้วยตัวเองให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งนั่นอาจเป็นแรงบันดาลใจในอีกแบบหนึ่งก็ได้นะคะ
อีกเหตุผลหนึ่งที่อยากมาแชร์คือ ดิฉันมีลูก 3 คนที่ต่างกันไป 3 แบบ มีทั้งแบบที่เป็นเด็กปกติ และแบบที่ตอนเล็ก ๆ เคยชัก ไม่ค่อยสบาย ป่วยด้วยอะไรกระจุกกระจิกมากมายและคุณหมอวินิจฉัยว่าเป็น slow learner หรือเรียนรู้ช้ากว่าปกติ
หลักของการเลี้ยงลูกดิฉันก็ง่าย ๆ บ้าน ๆ คือ อยากให้ลูกมีความสุข มีความรับผิดชอบ ได้มีโอกาสได้ลองทำสิ่งต่าง ๆ และค้นหาสิ่งที่ตัวเองรัก และท้ายที่สุดคือ อยู่กับความเป็นจริงและมีความสุขได้ตามอัตภาพ
ขออนุญาตแทรกคลิปนี้ของคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ประกอบกระทู้ เป็นคลิปที่ทรงพลังมากสำหรับดิฉัน เพราะเน้นย้ำว่า “ขอให้ฟังลูก และเปิดโอกาสให้ลูกได้เลือกได้ตัดสินใจ”
ลูก 3 คนของดิฉันเป็นผู้หญิงทั้งหมด 3 คนก็ 3 นิสัย 3 โรงเรียน
สิ่งที่ดิฉันตั้งข้อและใช้ในการเลี้ยงลูก (ซึ่งอาจถูกหรือผิดสำหรับครอบครัวอื่นก็ได้นะคะ) คือ
1. เด็กแต่ละคนนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน เราไม่อาจเอาวิธีการที่ใช้กับคนนั้นมาใช้กับคนนี้ได้ตลอด และแม้ว่าวิธีการปลีกย่อยจะไม่เหมือนกัน แต่หลักการควรจะอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน
2. ความรู้สึกว่าเป็นที่รัก ที่ต้องการ ที่ภูมิใจของพ่อแม่ สำคัญกับเด็ก ๆ มาก เช่นเดียวกับความรู้สึกว่าได้รับความยุติธรรม แต่ความยุติธรรมในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า คนนี้ได้ 100 อีกคนต้องได้ 100 ด้วยเช่นกันนะคะ ความยุติธรรมในสายตาของเด็ก ๆ คือ บทลงโทษ ของรางวัล หรือสิ่งที่ได้ หากแม้ว่า จะไม่เท่ากัน แต่สิ่งสำคัญคือ คำอธิบายประกอบที่เหมาะสมว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
ลูกคนโตคนรองดิฉันเรียนโรงเรียนรัฐบาล ลูกคนเล็กเรียนโรงเรียนนานาชาติ ค่าเล่าเรียนต่างกันประมาณ 60 เท่า มีเหตุผลที่ต้องเป็นแบบนั้น ต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจเพื่อที่ลูกจะไม่รู้สึกว่าชีวิตไม่ยุติธรรม
3. ดิฉันชอบให้ลูกเถียงค่ะ แต่เถียงอย่างสุภาพและใช้เหตุผล การสื่อสารสำคัญมาก พูดความต้องการของตัวเองออกมา ได้ไม่ได้ เรามาต่อรองกัน อย่าดราม่า บางทีเวลาเด็ก ๆ คัดง้างดิฉัน แล้วดิฉันแกล้งขู่จะไม่ให้โน่นนี่นั่นที่เป็นของพิเศษกว่าปกติหน่อย หากเด็ก ๆ แสดงทีท่ายืนยันในจุดยืน ดิฉันจะชอบใจมาก
โดยส่วนตัวดิฉันเชื่อว่า ถ้าเรากดให้เด็ก ๆ ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าคัดง้างเราเลย อีกหน่อย เราจะสื่อสารกันน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความห่างเหินและช่องว่างระหว่างจิตใจที่ยากจะแก้ไข
เราเห็นไม่ตรงกันได้ แต่คุยกันดี ๆ บางทีถ้าเป็นเรื่องซีเรียสและลูกเริ่มโตแล้ว ดิฉันจะบอกว่า
“อันนี้ แม่ขออนุญาตไม่เห็นด้วยนะคะ หม่ามี้มีมุมมองแบบนี้ค่ะ ...” หรือบางที ลูกก็แย้งดิฉันมาตรง ๆ เลยนะคะว่า
“เหตุผลอันนี้ ... ลูกไม่ซื้อค่ะ”
แหม้... ใหม่ ๆ นี่แม่โกรธปี๊ดเลยนะ พอได้ยิน ต้องรีบตั้งสติเลย
4. อย่าคาดหวังว่า ลูกแต่ละคนจะมีความสามารถเท่ากันในทุกเรื่อง หรืออย่าเปรียบเทียบกับลูกบ่อยจนเกินไปว่า “ตอนแม่อายุเท่าลูก แม่ทำนู่น ทำนี่ ทำนั่นได้แล้ว” เงื่อนไขชีวิตมันต่างกัน เติบโตมาไม่เหมือนกัน การจะเล่าบ้างว่าตอนเด็ก ๆ คุณผ่านความลำบากอะไรมาบ้าง บางครั้งก็เป็นเรื่องสร้างแรงบันดาลใจ แต่มากเกินไป มันไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นเลย
5. เมื่อลูกยังเล็กและยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ลองหาอะไรให้ลูกลองทำหลาย ๆ อย่าง ถ้าลองแล้วไม่ชอบ ก็เลิกได้ แต่อย่างน้อยถ้าพอจ่ายไหว ลูกควรมีโอกาสได้ลอง มันเป็นโอกาสที่น่าจะลองหยิบยื่นให้ลูกได้ ดีกว่าเอาแต่บ่นว่าลูกเล่นแต่มือถือ แต่ไม่ลองหาอะไรให้ลูกทำเลย
ดิฉันอยากให้ลูกแข็งแรง เลยให้ลูกเลือกระหว่างบัลเลต์กับมวยไทย ใจดิฉันเอนไปทางมวยไทย เพราะบ้านเราอยู่ใกล้ Fairtex เคยบอกลูกว่า ถ้าเลือกมวยไทย เดี๋ยวจะขับรถพาลูกไปลงนวมเองจะซื้อนวมสีชมพูหรือสีม่วงอ่อนให้ด้วย แม่ชอบมวยไทยมากกกกกกก แต่ต่อยไม่เป็น
ปรากฎว่า เด็ก ๆ เลือกบัลเลต์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามและให้เวลากับมันพอสมควร เรียนไปไม่นานลูกบางคนก็อยากเลิก แต่ดิฉันเองก็ต้องบังคับว่าถ้าเลือกที่จะเรียนแล้ว ไม่ควรรีบเลิก อย่างน้อยควรเรียนจนสอบประมาณสักเกรด 5 คือประมาณชั้นกลาง ๆ ถ้าไม่ชอบค่อยเลิก
6. แชร์เรื่องสำคัญกับลูกบ้าง ขอโทษลูกบ้างหากทำผิด เพื่อให้ลูกรู้สึกว่าได้รับความไว้วางใจ และเป็นคนสำคัญ เมื่อคุณทำแบบนั้น ลูกก็จะแชร์เรื่องของเค้ากับคุณด้วย
ดิฉันแชร์เรื่องเงินทองให้ลูกฟัง ไม่เคยปิดบังว่าเราเคยมีปัญหาอะไรบ้าง และกำลังจัดการกับอะไรอยู่ เรามีงบสำหรับอะไรแต่ละอย่างเท่าไร มากบ้าง น้อยบ้าง ตามสภาพของแต่ละช่วงชีวิต สำหรับดิฉัน เงินทองเป็นของต้องรู้ และควรต้องรู้ตั้งแต่เด็ก ๆ ด้วยค่ะ
บางที ดิฉันก็แชร์เรื่องผิดพลาดของตัวเองในวัยเด็ก เช่น ตอนเด็ก ๆ เราอาจจะเคยหยาบคาย ขี้เม้า มองและตัดสินคนอื่นในชั่วพริบตา ซึ่งเป็นเรื่องที่กัดกร่อนการสร้างอุปนิสัยที่ดี บางเรื่องมันก็ทำให้เรารู้สึกผิดมาจนบัดนี้ เรื่องพวกนี้ ดิฉันก็แชร์ให้ฟังค่ะ เลือกเรื่องที่เหมาะกับช่วงอายุที่เขาจะเข้าใจ และมันก็ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น
7. ลองหาสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับลูก ที่แนะนำข้อนี้ ก็ไม่ใช่ว่าดิฉันจะทำสำเร็จหมดสำหรับลูกทุกคนนะคะ บางคน จนป่านนี้ ก็ยังดูไม่ออกว่า มีอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับพวกเธอบ้าง (ฮา)
มันสำคัญจริง ๆ ค่ะ ลูก ๆ คนที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรสำหรับดิฉัน ตอนเด็ก ๆ ไม่ได้เรียนพิเศษเชิงวิชาการเลย แต่เรียนบัลเลต์ ดนตรี กันมากพอสมควร มาเริ่มเรียนพิเศษกันจริง ๆ น่าจะประมาณ ม. ต้น หรือ ม.ปลาย ซึ่งเด็ก ๆ ขอไปเรียนเอง
ลูกคนโตชอบอ่านหนังสือ เธออ่านเพชรพระอุมายกชุดจบไปสองสามรอบตั้งแต่ตอนอยู่ประถม ตอนโตขึ้นมาหน่อย ก็ขยับขยายไปอ่าน Harry Potter ดิฉันก็ซื้อหนังสือให้ยกชุด ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อุ้มทั้ง box set ยกไปให้เลย ลูกคนนี้ตอน ป.6 สอบ O Net ภาษาอังกฤษได้เต็มโดยไม่ได้เรียนพิเศษที่ไหน เธอดิ้นรนไปสอบเข้าโรงเรียนรัฐกลางเมืองในแผนกภาษาสายหนึ่ง เข้าได้ในลำดับเลขตัวเดียว เข้าโปรแกรม Gift ภาษาอังกฤษได้ และสนุกกับการเรียนมาก ดิฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากไปส่งเธอที่สนามสอบตรงเมืองทอง แถม...วันไปแจ้งยืนยันผลสอบ พาเธอไปรับการบูมก้นหอยไม่ทันอีกต่างหาก รถติดมาก เธอเอาเงินไปซื้อชุดนักเรียน ทำอะไรต่อมิอะไรเอง แล้วเดินกลับมาหาแม่ที่ร้าน Red Sun ใกล้ ๆ โรงเรียน
8. ยอมรับความหัวดื้อ ไม่ฟังใคร ในช่วงวัยรุ่นของลูกและอย่าด่าทอสาดเสียเทเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าด่าลูกสาววัยรุ่นด้วยคำที่มีนัยยะทางเพศ เช่น สิบเอ็ดรอดอ หรืออะไรทำนองนั้น

ไม่ใช่ว่าดิฉันไม่เคยหงุดหงิดกับลูกเลยนะคะ บางเรื่อง เช่น ไม่เก็บห้อง ใส่กางเกงขาสั้นออกไปข้างนอก อะไรทำนองนี้ ทำเอาดิฉันหัวเสียพอสมควร แถมบางที เวลาเราท้วง แม่คุณเถียงกลับซะแบบ ...
เช่น “ลูกคะ ทำไมใส่ขาสั้นแบบนี้ออกไปข้างนอกคะ หม่ามี้ว่ามันสั้นไป”
ลูกเงียบค่ะ บ่นหลาย ๆ ครั้งเข้า ลูกบอกว่า “หม่ามี้บ่นอีก เดี๋ยวลูกไปตัดให้สั้นกว่านี้อีกนะคะ”
ดู ดู๋ ... เด็กน้อยของแม่ กล้าเถียงขนาดนี้เชียวรึ
จนต้องลองมาใช้วิธีอื่น ๆ เช่น ทั้งอธิบายดี ๆ ถึงกาละ ถึงเทศะ ถึงความเสี่ยงของการนุ่งสั้นจนเกินไป ทั้งต้องเปิดใจและปลอบใจตัวเองว่า มันก็ไม่ได้สั้นแนวเสมอหูขนาดนั้น แค่สั้นประมาณครึ่งแข้ง ใคร ๆ เขาก็ใส่กัน หรือกระทั่งบางที ต้องไปทำตลกกอดลูก พูดอ้อน ๆ ว่า “อย่าสั้นอย่างนั้นสิคะ ... ลูกสาวแม่ แม่เลี้ยงมา แม่ก็หวง”
แล้วลูกเลิกนุ่งสั้นไหมคะ ? คิดว่าไม่ค่ะ แต่อาจจะนุ่งน้อยลง หรืออย่างน้อยก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น
แต่อย่าไปด่าลูกวัยรุ่นนะคะว่า “แต่งตัวเหมือน ...” “สิบเอ็ดรอดอ...” คำด่าที่มีนัยยะทางเพศแบบนี้สร้างบาดแผลในใจที่ยิ่งใหญ่ให้กับลูกสาวค่ะ อย่าพูดออกไป
ถ้าห่วงก็ให้เตือนดี ๆ อธิบายด้วยเหตุผลดี ๆ ลูกจะเข้าใจได้ค่ะ แต่แน่นอนว่าคุณก็ต้องใช้ความอดทนสูงเหมือนกันนะคะ
9. เด็ก ๆ เมื่อยังแบเบาะจนถึงเริ่มตั้งไข่ เห็นพ่อแม่เป็นพระเจ้า เข้าโรงเรียนชั้นอนุบาลเห็นครูเป็นพระเจ้า ขึ้นประถมปลายถึงมัธยมเห็นเพื่อนเป็นพระเจ้า เข้ามหาวิทยาลัย ถ้ามีแฟนอาจเห็นแฟนเป็นพระเจ้า โตไปอีกหน่อย เห็นตัวเองเป็นพระเจ้า
บางที เราก็ต้องทำใจนะคะว่า ลูกที่เริ่มโตแล้ว อาจไม่ได้เชื่อเราไปทุกอย่างชนิดชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้เหมือนตอนเด็ก ๆ แล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไป มันเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตค่ะ
10. ปล่อยให้ลูกลองตัดสินใจด้วยตัวเองค่ะ อย่างคลิปของที่คุณภิญโญพูดนั่นแหละค่ะ หลังจากที่คุณทำตัวเป็นที่ปรึกษา ชี้แนะแล้ว ของขวัญชิ้นสำคัญที่คุณให้ลูกได้ คือ การเชื่อใจ เชื่อมั่นและปล่อยให้เค้าตัดสินใจเอง
อ้าว...แล้วถ้าตัดสินใจผิดล่ะ ...
ไม่เป็นไรค่ะ อย่างน้อยเราก็ได้ให้โอกาสเค้าในการกล้าตัดสินใจ และการตัดสินใจผิดแต่เนิ่น ๆ จะเป็นบทเรียนสำคัญให้ลูกเรียนรู้ที่จะรอบคอบมากขึ้น
ลูกดิฉันเอง เลือกเรียนภาษาที่ดิฉันมองแล้วว่า ลูกน่าจะชอบอีกภาษาหนึ่งมากกว่า แต่แน่นอนว่า ลูกย่อมมีหัวขบถต่อสิ่งที่แม่แนะนำอยู่แล้วในวัยนี้ เมื่อเข้าไปเรียนสักพัก มันก็เป็นไปอย่างที่ดิฉันคาดไว้จริง ๆ ดิฉันเคยเผลอคอมเมนต์ออกไปแบบไม่ใช้ความคิดและแบบสะใจว่า “แม่บอกแล้วเห็นไหม ?” แต่พอมานึกได้ ดิฉันก็บอกลูกไปตรง ๆ ว่า
“ภูมิใจในความกล้าที่จะตัดสินใจของลูกค่ะ ... เลือกพลาดไปก็ไม่เป็นไร หาทางแก้ปัญหานะ”
11. น้ำเสียงดี ๆ กอดดี ๆ สัก 20 วินาที ช่วยเยียวยาทุกสิ่งค่ะ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกไว้ว่า หาเวลากอดกันให้ได้สักประมาณ 20 วินาทีเป็นอย่างน้อย มันจะช่วยปลอบประโลมและทำให้อะไร ๆ ในความสัมพันธ์มันดีขึ้น บางทีเวลาลูกเสียใจผิดหวังอะไรมา เราก็ปลอบใจไม่ค่อยถูกนะคะ ไม่แน่ใจว่าจะใช้คำพูดไหน พูดอย่างไรให้ลูกรู้สึกดี แค่กอดนิ่ง ๆ ก็ช่วยให้อะไร ๆ มันดีขึ้นมากแล้วค่ะ
12. ท้ายสุด หลังจากที่คุณได้ใช้ความรัก ความเข้าใจ ความปรารถนาดีอย่างถึงที่สุดแล้ว ต้องปล่อยวาง และอย่าโทษตัวเองค่ะ ทุกคนมีกรรมเป็นของของตน เมื่อเมตตา กรุณา มุทิตา อย่างถึงที่สุดแล้ว วางอุเบกขาให้ได้ แล้วต้องปล่อยให้นกบินขึ้นท้องฟ้าไปค่ะ เราเพียงแต่แค่เตรียมรังที่อบอุ่นรอรับเค้าแวะกลับมาหา
มาแชร์ประสบการณ์เลี้ยงลูกกันค่ะ
สำหรับดิฉัน อยากแลกเปลี่ยนมุมมองของตัวเองกับคนอื่นบ้าง
สิ่งที่ทำให้ดิฉันกล้าออกมาแชร์วิธีการเลี้ยงของตัวเอง ไม่ใช่เพราะลูกดิฉันประสบความสำเร็จอย่างสูงในด้านการเรียน ไม่ใช่เพราะลูกมีเกียรติประวัติดีเด่นเป็นพิเศษ หรือไม่ใช่เพราะดิฉันมั่นใจในวิธีการเลี้ยงลูกของตัวเองขนาดนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้กล้าออกมาเชียนแชร์คือ วันก่อนหน้า คุยกับลูกคนโตแล้วเธอบอกว่า
“หม่ามี้ ลูกมีความสุขจัง ลูกชอบชีวิตช่วงนี้จัง ลูกไม่อยากโตเลย ชอบชีวิตแบบนี้อ่ะ เฮ้อ...”
เฮ้ย... ทำไมยังงั้นอ่ะคะ ?
ฟังแล้วมีความสุขจัง ตอนอายุเท่ากัน ดิฉันอยากโตตลอดเวลา อยากรีบๆ ปีกกล้าขาแข็ง เรียนจบ ออกจากบ้าน ออกไปยืนด้วยตัวเองให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งนั่นอาจเป็นแรงบันดาลใจในอีกแบบหนึ่งก็ได้นะคะ
อีกเหตุผลหนึ่งที่อยากมาแชร์คือ ดิฉันมีลูก 3 คนที่ต่างกันไป 3 แบบ มีทั้งแบบที่เป็นเด็กปกติ และแบบที่ตอนเล็ก ๆ เคยชัก ไม่ค่อยสบาย ป่วยด้วยอะไรกระจุกกระจิกมากมายและคุณหมอวินิจฉัยว่าเป็น slow learner หรือเรียนรู้ช้ากว่าปกติ
หลักของการเลี้ยงลูกดิฉันก็ง่าย ๆ บ้าน ๆ คือ อยากให้ลูกมีความสุข มีความรับผิดชอบ ได้มีโอกาสได้ลองทำสิ่งต่าง ๆ และค้นหาสิ่งที่ตัวเองรัก และท้ายที่สุดคือ อยู่กับความเป็นจริงและมีความสุขได้ตามอัตภาพ
ขออนุญาตแทรกคลิปนี้ของคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ประกอบกระทู้ เป็นคลิปที่ทรงพลังมากสำหรับดิฉัน เพราะเน้นย้ำว่า “ขอให้ฟังลูก และเปิดโอกาสให้ลูกได้เลือกได้ตัดสินใจ”
ลูก 3 คนของดิฉันเป็นผู้หญิงทั้งหมด 3 คนก็ 3 นิสัย 3 โรงเรียน
สิ่งที่ดิฉันตั้งข้อและใช้ในการเลี้ยงลูก (ซึ่งอาจถูกหรือผิดสำหรับครอบครัวอื่นก็ได้นะคะ) คือ
1. เด็กแต่ละคนนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน เราไม่อาจเอาวิธีการที่ใช้กับคนนั้นมาใช้กับคนนี้ได้ตลอด และแม้ว่าวิธีการปลีกย่อยจะไม่เหมือนกัน แต่หลักการควรจะอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน
2. ความรู้สึกว่าเป็นที่รัก ที่ต้องการ ที่ภูมิใจของพ่อแม่ สำคัญกับเด็ก ๆ มาก เช่นเดียวกับความรู้สึกว่าได้รับความยุติธรรม แต่ความยุติธรรมในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า คนนี้ได้ 100 อีกคนต้องได้ 100 ด้วยเช่นกันนะคะ ความยุติธรรมในสายตาของเด็ก ๆ คือ บทลงโทษ ของรางวัล หรือสิ่งที่ได้ หากแม้ว่า จะไม่เท่ากัน แต่สิ่งสำคัญคือ คำอธิบายประกอบที่เหมาะสมว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
ลูกคนโตคนรองดิฉันเรียนโรงเรียนรัฐบาล ลูกคนเล็กเรียนโรงเรียนนานาชาติ ค่าเล่าเรียนต่างกันประมาณ 60 เท่า มีเหตุผลที่ต้องเป็นแบบนั้น ต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจเพื่อที่ลูกจะไม่รู้สึกว่าชีวิตไม่ยุติธรรม
3. ดิฉันชอบให้ลูกเถียงค่ะ แต่เถียงอย่างสุภาพและใช้เหตุผล การสื่อสารสำคัญมาก พูดความต้องการของตัวเองออกมา ได้ไม่ได้ เรามาต่อรองกัน อย่าดราม่า บางทีเวลาเด็ก ๆ คัดง้างดิฉัน แล้วดิฉันแกล้งขู่จะไม่ให้โน่นนี่นั่นที่เป็นของพิเศษกว่าปกติหน่อย หากเด็ก ๆ แสดงทีท่ายืนยันในจุดยืน ดิฉันจะชอบใจมาก
โดยส่วนตัวดิฉันเชื่อว่า ถ้าเรากดให้เด็ก ๆ ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าคัดง้างเราเลย อีกหน่อย เราจะสื่อสารกันน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความห่างเหินและช่องว่างระหว่างจิตใจที่ยากจะแก้ไข
เราเห็นไม่ตรงกันได้ แต่คุยกันดี ๆ บางทีถ้าเป็นเรื่องซีเรียสและลูกเริ่มโตแล้ว ดิฉันจะบอกว่า
“อันนี้ แม่ขออนุญาตไม่เห็นด้วยนะคะ หม่ามี้มีมุมมองแบบนี้ค่ะ ...” หรือบางที ลูกก็แย้งดิฉันมาตรง ๆ เลยนะคะว่า
“เหตุผลอันนี้ ... ลูกไม่ซื้อค่ะ”
แหม้... ใหม่ ๆ นี่แม่โกรธปี๊ดเลยนะ พอได้ยิน ต้องรีบตั้งสติเลย
4. อย่าคาดหวังว่า ลูกแต่ละคนจะมีความสามารถเท่ากันในทุกเรื่อง หรืออย่าเปรียบเทียบกับลูกบ่อยจนเกินไปว่า “ตอนแม่อายุเท่าลูก แม่ทำนู่น ทำนี่ ทำนั่นได้แล้ว” เงื่อนไขชีวิตมันต่างกัน เติบโตมาไม่เหมือนกัน การจะเล่าบ้างว่าตอนเด็ก ๆ คุณผ่านความลำบากอะไรมาบ้าง บางครั้งก็เป็นเรื่องสร้างแรงบันดาลใจ แต่มากเกินไป มันไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นเลย
5. เมื่อลูกยังเล็กและยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ลองหาอะไรให้ลูกลองทำหลาย ๆ อย่าง ถ้าลองแล้วไม่ชอบ ก็เลิกได้ แต่อย่างน้อยถ้าพอจ่ายไหว ลูกควรมีโอกาสได้ลอง มันเป็นโอกาสที่น่าจะลองหยิบยื่นให้ลูกได้ ดีกว่าเอาแต่บ่นว่าลูกเล่นแต่มือถือ แต่ไม่ลองหาอะไรให้ลูกทำเลย
ดิฉันอยากให้ลูกแข็งแรง เลยให้ลูกเลือกระหว่างบัลเลต์กับมวยไทย ใจดิฉันเอนไปทางมวยไทย เพราะบ้านเราอยู่ใกล้ Fairtex เคยบอกลูกว่า ถ้าเลือกมวยไทย เดี๋ยวจะขับรถพาลูกไปลงนวมเองจะซื้อนวมสีชมพูหรือสีม่วงอ่อนให้ด้วย แม่ชอบมวยไทยมากกกกกกก แต่ต่อยไม่เป็น
ปรากฎว่า เด็ก ๆ เลือกบัลเลต์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามและให้เวลากับมันพอสมควร เรียนไปไม่นานลูกบางคนก็อยากเลิก แต่ดิฉันเองก็ต้องบังคับว่าถ้าเลือกที่จะเรียนแล้ว ไม่ควรรีบเลิก อย่างน้อยควรเรียนจนสอบประมาณสักเกรด 5 คือประมาณชั้นกลาง ๆ ถ้าไม่ชอบค่อยเลิก
6. แชร์เรื่องสำคัญกับลูกบ้าง ขอโทษลูกบ้างหากทำผิด เพื่อให้ลูกรู้สึกว่าได้รับความไว้วางใจ และเป็นคนสำคัญ เมื่อคุณทำแบบนั้น ลูกก็จะแชร์เรื่องของเค้ากับคุณด้วย
ดิฉันแชร์เรื่องเงินทองให้ลูกฟัง ไม่เคยปิดบังว่าเราเคยมีปัญหาอะไรบ้าง และกำลังจัดการกับอะไรอยู่ เรามีงบสำหรับอะไรแต่ละอย่างเท่าไร มากบ้าง น้อยบ้าง ตามสภาพของแต่ละช่วงชีวิต สำหรับดิฉัน เงินทองเป็นของต้องรู้ และควรต้องรู้ตั้งแต่เด็ก ๆ ด้วยค่ะ
บางที ดิฉันก็แชร์เรื่องผิดพลาดของตัวเองในวัยเด็ก เช่น ตอนเด็ก ๆ เราอาจจะเคยหยาบคาย ขี้เม้า มองและตัดสินคนอื่นในชั่วพริบตา ซึ่งเป็นเรื่องที่กัดกร่อนการสร้างอุปนิสัยที่ดี บางเรื่องมันก็ทำให้เรารู้สึกผิดมาจนบัดนี้ เรื่องพวกนี้ ดิฉันก็แชร์ให้ฟังค่ะ เลือกเรื่องที่เหมาะกับช่วงอายุที่เขาจะเข้าใจ และมันก็ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น
7. ลองหาสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับลูก ที่แนะนำข้อนี้ ก็ไม่ใช่ว่าดิฉันจะทำสำเร็จหมดสำหรับลูกทุกคนนะคะ บางคน จนป่านนี้ ก็ยังดูไม่ออกว่า มีอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับพวกเธอบ้าง (ฮา)
มันสำคัญจริง ๆ ค่ะ ลูก ๆ คนที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรสำหรับดิฉัน ตอนเด็ก ๆ ไม่ได้เรียนพิเศษเชิงวิชาการเลย แต่เรียนบัลเลต์ ดนตรี กันมากพอสมควร มาเริ่มเรียนพิเศษกันจริง ๆ น่าจะประมาณ ม. ต้น หรือ ม.ปลาย ซึ่งเด็ก ๆ ขอไปเรียนเอง
ลูกคนโตชอบอ่านหนังสือ เธออ่านเพชรพระอุมายกชุดจบไปสองสามรอบตั้งแต่ตอนอยู่ประถม ตอนโตขึ้นมาหน่อย ก็ขยับขยายไปอ่าน Harry Potter ดิฉันก็ซื้อหนังสือให้ยกชุด ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อุ้มทั้ง box set ยกไปให้เลย ลูกคนนี้ตอน ป.6 สอบ O Net ภาษาอังกฤษได้เต็มโดยไม่ได้เรียนพิเศษที่ไหน เธอดิ้นรนไปสอบเข้าโรงเรียนรัฐกลางเมืองในแผนกภาษาสายหนึ่ง เข้าได้ในลำดับเลขตัวเดียว เข้าโปรแกรม Gift ภาษาอังกฤษได้ และสนุกกับการเรียนมาก ดิฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากไปส่งเธอที่สนามสอบตรงเมืองทอง แถม...วันไปแจ้งยืนยันผลสอบ พาเธอไปรับการบูมก้นหอยไม่ทันอีกต่างหาก รถติดมาก เธอเอาเงินไปซื้อชุดนักเรียน ทำอะไรต่อมิอะไรเอง แล้วเดินกลับมาหาแม่ที่ร้าน Red Sun ใกล้ ๆ โรงเรียน
8. ยอมรับความหัวดื้อ ไม่ฟังใคร ในช่วงวัยรุ่นของลูกและอย่าด่าทอสาดเสียเทเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าด่าลูกสาววัยรุ่นด้วยคำที่มีนัยยะทางเพศ เช่น สิบเอ็ดรอดอ หรืออะไรทำนองนั้น
ไม่ใช่ว่าดิฉันไม่เคยหงุดหงิดกับลูกเลยนะคะ บางเรื่อง เช่น ไม่เก็บห้อง ใส่กางเกงขาสั้นออกไปข้างนอก อะไรทำนองนี้ ทำเอาดิฉันหัวเสียพอสมควร แถมบางที เวลาเราท้วง แม่คุณเถียงกลับซะแบบ ...
เช่น “ลูกคะ ทำไมใส่ขาสั้นแบบนี้ออกไปข้างนอกคะ หม่ามี้ว่ามันสั้นไป”
ลูกเงียบค่ะ บ่นหลาย ๆ ครั้งเข้า ลูกบอกว่า “หม่ามี้บ่นอีก เดี๋ยวลูกไปตัดให้สั้นกว่านี้อีกนะคะ”
ดู ดู๋ ... เด็กน้อยของแม่ กล้าเถียงขนาดนี้เชียวรึ
จนต้องลองมาใช้วิธีอื่น ๆ เช่น ทั้งอธิบายดี ๆ ถึงกาละ ถึงเทศะ ถึงความเสี่ยงของการนุ่งสั้นจนเกินไป ทั้งต้องเปิดใจและปลอบใจตัวเองว่า มันก็ไม่ได้สั้นแนวเสมอหูขนาดนั้น แค่สั้นประมาณครึ่งแข้ง ใคร ๆ เขาก็ใส่กัน หรือกระทั่งบางที ต้องไปทำตลกกอดลูก พูดอ้อน ๆ ว่า “อย่าสั้นอย่างนั้นสิคะ ... ลูกสาวแม่ แม่เลี้ยงมา แม่ก็หวง”
แล้วลูกเลิกนุ่งสั้นไหมคะ ? คิดว่าไม่ค่ะ แต่อาจจะนุ่งน้อยลง หรืออย่างน้อยก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น
แต่อย่าไปด่าลูกวัยรุ่นนะคะว่า “แต่งตัวเหมือน ...” “สิบเอ็ดรอดอ...” คำด่าที่มีนัยยะทางเพศแบบนี้สร้างบาดแผลในใจที่ยิ่งใหญ่ให้กับลูกสาวค่ะ อย่าพูดออกไป
ถ้าห่วงก็ให้เตือนดี ๆ อธิบายด้วยเหตุผลดี ๆ ลูกจะเข้าใจได้ค่ะ แต่แน่นอนว่าคุณก็ต้องใช้ความอดทนสูงเหมือนกันนะคะ
9. เด็ก ๆ เมื่อยังแบเบาะจนถึงเริ่มตั้งไข่ เห็นพ่อแม่เป็นพระเจ้า เข้าโรงเรียนชั้นอนุบาลเห็นครูเป็นพระเจ้า ขึ้นประถมปลายถึงมัธยมเห็นเพื่อนเป็นพระเจ้า เข้ามหาวิทยาลัย ถ้ามีแฟนอาจเห็นแฟนเป็นพระเจ้า โตไปอีกหน่อย เห็นตัวเองเป็นพระเจ้า
บางที เราก็ต้องทำใจนะคะว่า ลูกที่เริ่มโตแล้ว อาจไม่ได้เชื่อเราไปทุกอย่างชนิดชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้เหมือนตอนเด็ก ๆ แล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไป มันเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตค่ะ
10. ปล่อยให้ลูกลองตัดสินใจด้วยตัวเองค่ะ อย่างคลิปของที่คุณภิญโญพูดนั่นแหละค่ะ หลังจากที่คุณทำตัวเป็นที่ปรึกษา ชี้แนะแล้ว ของขวัญชิ้นสำคัญที่คุณให้ลูกได้ คือ การเชื่อใจ เชื่อมั่นและปล่อยให้เค้าตัดสินใจเอง
อ้าว...แล้วถ้าตัดสินใจผิดล่ะ ...
ไม่เป็นไรค่ะ อย่างน้อยเราก็ได้ให้โอกาสเค้าในการกล้าตัดสินใจ และการตัดสินใจผิดแต่เนิ่น ๆ จะเป็นบทเรียนสำคัญให้ลูกเรียนรู้ที่จะรอบคอบมากขึ้น
ลูกดิฉันเอง เลือกเรียนภาษาที่ดิฉันมองแล้วว่า ลูกน่าจะชอบอีกภาษาหนึ่งมากกว่า แต่แน่นอนว่า ลูกย่อมมีหัวขบถต่อสิ่งที่แม่แนะนำอยู่แล้วในวัยนี้ เมื่อเข้าไปเรียนสักพัก มันก็เป็นไปอย่างที่ดิฉันคาดไว้จริง ๆ ดิฉันเคยเผลอคอมเมนต์ออกไปแบบไม่ใช้ความคิดและแบบสะใจว่า “แม่บอกแล้วเห็นไหม ?” แต่พอมานึกได้ ดิฉันก็บอกลูกไปตรง ๆ ว่า
“ภูมิใจในความกล้าที่จะตัดสินใจของลูกค่ะ ... เลือกพลาดไปก็ไม่เป็นไร หาทางแก้ปัญหานะ”
11. น้ำเสียงดี ๆ กอดดี ๆ สัก 20 วินาที ช่วยเยียวยาทุกสิ่งค่ะ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกไว้ว่า หาเวลากอดกันให้ได้สักประมาณ 20 วินาทีเป็นอย่างน้อย มันจะช่วยปลอบประโลมและทำให้อะไร ๆ ในความสัมพันธ์มันดีขึ้น บางทีเวลาลูกเสียใจผิดหวังอะไรมา เราก็ปลอบใจไม่ค่อยถูกนะคะ ไม่แน่ใจว่าจะใช้คำพูดไหน พูดอย่างไรให้ลูกรู้สึกดี แค่กอดนิ่ง ๆ ก็ช่วยให้อะไร ๆ มันดีขึ้นมากแล้วค่ะ
12. ท้ายสุด หลังจากที่คุณได้ใช้ความรัก ความเข้าใจ ความปรารถนาดีอย่างถึงที่สุดแล้ว ต้องปล่อยวาง และอย่าโทษตัวเองค่ะ ทุกคนมีกรรมเป็นของของตน เมื่อเมตตา กรุณา มุทิตา อย่างถึงที่สุดแล้ว วางอุเบกขาให้ได้ แล้วต้องปล่อยให้นกบินขึ้นท้องฟ้าไปค่ะ เราเพียงแต่แค่เตรียมรังที่อบอุ่นรอรับเค้าแวะกลับมาหา