ขยายความว่า...ทำไม “ผู้ไม่ทำอะไร” ทำไมถึงสอดคล้องกับธรรมชาติมากกว่า “ผู้หวังดีในโลก พยายามจะช่วยคนอื่นๆ” ?
“ผู้ไม่ทำอะไร” คือ ผู้เข้าใจและเป็นส่วนหนึ่งสภาวะแห่งความจริงที่เป็นแกนกลางของทุกสิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในมนุษย์ สัตว์อื่นๆ ในหมู่มวลพฤกษา. รู้ว่าทุกสรรพสิ่งมันก็ดำเนินไปของมันอย่างนั้นด้วยเสียงกระซิบของแกนนั่น. เราอาจจะพูดแทนสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นว่า "เต๋า" , "ธรรม" , "พระเจ้า" (แต่คำนี้ถูกใช้กันในความหมายแคบ เป็นบุคคลไป แต่ในทีนี้จะไว้ในความหมายแบบเดียวกับเต๋าและธรรม). เขาใช้ชีวิตอย่างเป็นผู้มีศิลปะที่สุดเพราะเข้าใจทุกสิ่ง.**เขาไม่ยึดติดในอะไรเพราะเขาเข้าใจมัน
คนเหล่านี้จึงรู้ชัดว่าสิ่งที่มนุษย์ควรถวิลหามีสิ่งเดียว คือ "การเข้าใจสิ่งนี้พอ ที่เป็นประธานในตัวมนุษย์" สิ่งอื่นนั้นไม่มีประโยชน์ใดๆสำหรับมนุษย์เลย เป็นเพียงของเกินจำเป็น. ที่มนุษย์ยิ่งทำอะไรมากมายสร้างขึ้นมาไม่จบสิ้น ยิ่งซับซ้อนมากเท่าไหร่ ปัญหาให้แก้ก็ยิ่งมาก แต่นี่จะดำรงอยู่ตลอดกาล.
ปัญหาในโลกมีหัวใจที่ "มนุษย์หมู่มากนั่นเอง" ที่ดำรงอยู่ในสภาวะของสัตว์ กิน-กาม-เกียรติ คนเหล่านี้ไม่อาจจะเข้าใจสภาวะนี้ได้ มีความคิดตื้นลึกหนาบางไม่เท่ากัน และมีความยึดถือมั่นอยู่เต็มเปี่ยม...เขาจึงไม่พยายามยัดเยียดอะไรให้แก่ใคร เพียงแต่ประกาศถึงการมีอยู่ของตัวเอง
“ผู้หวังดีในโลก พยายามจะช่วยคนอื่นๆ” คือ คนที่สังคมหมู่มากยกย่องอาจเป็นรัฐบุรุษ บุคคลสำคัญต่างๆที่มีอุดมคติอยากมนุษย์เห็นแก่ส่วนรวม หรือสังคมอุดมคติ...ก็เป็นแต่ตะเกียกตะกายให้สังมนุษย์ไม่สูญพันธ์ และถ้าสังเกตให้ดีคนกลุ่มนี้เกิดจากสถานการณ์ที่กำลังเหลวแหลกในสังคมนั้นๆ พร้อมทั้งคนเหล่านี้มักมีอุดมการณ์ยึดมั่นในจิตใจแรงกล้า(สถานการณ์หล่อหลอม)
ดั่งคำสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ...แต่ถ้าสังคมสงบสุข วีรบุรุษจะมีไปทำไมเล่า?
ถ้าสังคมมีแต่คนดี...ความดีก็ไม่สูงส่งอะไร
ถ้าสังคมมีแต่คนซื่อสัตย์...ใครจะมานั่งเชิดบูชาความซื่อสัตย์เป็นของเลิศเล่า?
คนเหล่านี้พยายามสร้างหลักการสำเร็จรูปตายตัวที่คิดว่าดีแล้วมอบแก่คนประเภทที่พึ่งตนเองไม่ได้ แต่ก็ใช้ได้เฉพาะกาลและเทศะนั้น ยกเว้นมันเป็นหลักการที่ตรงกับธรรมชาติก็จะดำรงอยู่...ส่วนเปลือกอื่นๆ ต่อไปก็จะใช้ไม่ได้เนื่องจากกระแสความคิดมนุษย์เปลี่ยน ปัญหาที่แท้จริง คือ "มนุษย์นั้นล่ะตัวปัญหาไม่สิ้นสุด" ...มนุษย์ให้ค่าสิ่งใหนสิ่งนั้นก็มีค่า แต่ไม่ได้แปลว่ามันดีที่สุด
- เพิ่มเติม คือ การที่กระแสความคิดของมนุษย์หมู่ใหญ่จะโน้มไปในทิศเดียวกันเสมอ เพราะมนุษย์เหล่านั้น ขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้งในตนเองและไม่เข้าถึงสัจธรรมที่ลึกซึ้ง ชีวิตจึงถูกผูกอยู่ปัจจัยภายนอกที่หล่อหลอมความคิดตลอดเวลา เช่นวัฒนธรรม จารีต ค่านิยมต่างๆ ภูมิศาสตร์ อื่นๆ...เช่น แนวคิดประชาธิปไตย แนวคิดสิทธิมนุษยชน เป็นตัวอย่าง ที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้
สรุปว่า..."ทุกสิ่งดำเนิน ภายใต้สิ่งนามธรรมอันหนึ่ง(กฏ,ธรรม,เต๋า,พระเจ้า) มันมีรูปแบบของมัน ที่เป็น 'เป็นเหตุ-เป็นปัจจัย' , ผู้ไม่ทำอะไร คือคนที่หลอมรวมกับสภาวะนี้ จึงไม่ยึดถืออะไร. ใช้ชีวิตในวิถีแห่งความสอดคล้องที่มาจากความเข้าใจนี้ ไร้รูปแบบตายตัว.โลกไหลไปเหมือนสายน้ำเราไม่ใช่ผู้กำหนด เราทำได้เพียงดำเนินไปเท่านั้น"
ขยายความผู้ไม่ทำอะไรกับผู้พยายามทำ...สายชล