หลังจากประชุมผู้ปกครองในกรณีที่ ลูก รับเงินค่าอ่านหนังสือให้เพื่อนฟัง
ได้เข้าไปสังเกตุการณ์ ครูที่สอบสวน สะสาง หลายๆคดีที่เด็กๆในห้องทำๆกัน
มี คดีรับเงินค่าสอนพิเศษ 10 บาท(ลูกชาย)
คดีขู่ไถเงินเพื่อน 5 บาท และ 20 บาท(เพื่อๆลูกชาย)
คดีรวมกลุ่มกันซื้อของกิน(ลูกชายกับ เพื่อนๆ)
สังเกตได้ชัดว่า ลูกจะยอมรับอย่างเต็มปาก ถ้าตัวเองผิด และ ชี้แจงชัดเจน ว่าผิดยังไง ตอนไหน(อาจจะจำวันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามประสาเด็ก ป.1)
ในขณะเดียวกันก็เห็นแม่ น้องอีกคน คาดคั้นเอาความผิดจากลูก จนน้องเกือบจะร้องให้ในห้อง
รวมความว่า คดี ไต้เติ้ล รับเงินจากเพื่อน 10 บาท กรณี อ่านสอนเพื่อนหนังสืออ่านหนัง ก็คืนตังค์ 10 บาทให้เพื่อน แล้วรับปากว่าจะไม่ทำอีก(ถ้าไม่ลืมซะก่อนนะ)
คดีขู่ไถเงินเพื่อน 5 บาท และ 20 บาท สรุปคือไถไปแค่ 5 บาท แล้วก็ซื้อขนมมาแบ่งกันกิน
ส่วน 20 บาท น้องเขาโกหกแม่ว่าเพื่อไถตังค์ แม่น้องที่รับตังค์เพื่อนมาก็คืนตังค์ 5 บาท ให้น้องไป
ทางแม่น้องที่โกหกว่าไถเพิ่มอีก 20 บาท ก็ต้องมาขอโทษ แม่น้องที่รับตังค์ ก็เคลียกันไป
คดีรวมกลุ่มกันซื้อของกิน เป็นคดีที่ถกกันนาน เพราะ บางคนก็ยอมรับ ว่าทำ บางคนก็ไม่ยอมรับ
คือเด็กๆเราๆ ก็รู้อยู่ บางทีกลัวความผิดบ้าง บางทีลืมบ้าง ตามประสาเขา
ช่วงจะพักเที่ยง มีการรวมกลุ่มกัน 4 คน แล้วก็แปะมือกัน ออกตังค์คนละ 5 บาท เพื่อเอามารวมกันซื้อขนม
ทางครูมองว่ามันไม่เหมาะ กลัวตังค์หายด้วย กลัวมีปัญหาหลายๆอย่าง เลยตัดว่า ซื้อใครซื้อมัน
พกตังค์ไม่เกิน 15 บาท ให้ไปเยอะ บางทีทำหล่น ซื้อของไม่รับตังค์ทอน สาระพัดที่ครูจะเจอ
พอได้เห็นลูกกลัายอมรับผิด มีความรับผิดชอบตั้งแต่เด็กๆ เราที่เป็นพ่อ ก็ภูมิใจ และ ดีใจนะครับ
ที่บ้านไม่ตีลูกมา 3 ปี แล้ว แต่จะเน้นให้เหตุผล ชี้แจงโดย ให้เขาเข้าใจความจริง หรือ เปรียบเราเป็นเขาดู
บางทีก็เหนื่อย กว่าจะฟังเขาถามเสร็จกว่าจะตอบเขาหมด ร่ายซะยาว แต่เห็นแล้วว่าต้องทำ
เวลาคุยกับเขาก็มักจะคุยเหมือนคุยกับผู้ใหญ่ ให้เขามีเหตุผลชี้แจงตลอด
จนวันหนึ่งเห็นผลสำเร็จ ก็ดีใจไม่เสียแรงที่วางแผนแล้ววางแผนอีก เวลาครูถามตอบฉะฉาน
แต่จากที่ถามครูนอกรอบ ได้ความว่า ไตเติ้ลเป็นแบบนี้แหละ ในห้องเวลาครูถามอะไรก็ยกมือตอบแบบนี้ประจำ
ตอบร่ายยาวจนกลายเป็นฝอย เติ้ลคิดว่า ยังโง้น ยังงี้ บางทีว่างเกิน ชวนเพื่อนเล่นในห้อง
จนครูแยกไปคนละ มุมห้อง(ก็ 4 คนที่อยู่ในคดีนี่แหละ) 3 คนเขาไม่มีปัญหานิ่งแล้ว เหลือยุคนเดียว
ยังเอาไม้บรรทัดมาทำปืน ยิง ปิ้วๆๆๆ อยู่ ครูเลย ย้ายไปอยู่หลังห้อง
แต่เวลาครูสอน ครูก็จะตั้งเด็กๆที่พอรู้เรื่องบ้างมาเป็น teacher เพื่อไปสอนเพื่อนๆ
ไตเติ้ลนี่ อ่านหนังสือคล่องมาก เลยให้ไปสอนเพื่อนอ่าน ก็เพิ่งมารู้นี่แหละว่ามีการให้ตังค์กันด้วย(ครูแจ้งมาแบบนี้)
ครู ร่ายมาซักพัก ครูบอกก็ว่า
ปกติครูไม่เคยเล่นนะมืออือ ห้ามเอามือถือเข้าห้อง
ไตเติ้ลยกมือขึ้นแล้วพูดเสียงดังๆตามปกติว่า
ครูเล่นแค่ไลน์
ครูต้องชี้แจงเป็นพัลวัน
การตี การด่า การดุ
แบบผิดๆ ไม่ช่วยให้ลูกโตมาเป็นดีครับ สู้การใส่ใจเขาจะดีกว่า
นอกจากจะสร้างความรักให้กับลูกแล้ว ยังช่วยเสริมพัฒนาการลูกในด้านต่างๆได้ง่ายๆด้วยครับ
เปลี่ยนจาก ตีลูก มาเป็นใส่ใจ และเข้าใจเขากันดีกว่า
ได้เข้าไปสังเกตุการณ์ ครูที่สอบสวน สะสาง หลายๆคดีที่เด็กๆในห้องทำๆกัน
มี คดีรับเงินค่าสอนพิเศษ 10 บาท(ลูกชาย)
คดีขู่ไถเงินเพื่อน 5 บาท และ 20 บาท(เพื่อๆลูกชาย)
คดีรวมกลุ่มกันซื้อของกิน(ลูกชายกับ เพื่อนๆ)
สังเกตได้ชัดว่า ลูกจะยอมรับอย่างเต็มปาก ถ้าตัวเองผิด และ ชี้แจงชัดเจน ว่าผิดยังไง ตอนไหน(อาจจะจำวันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามประสาเด็ก ป.1)
ในขณะเดียวกันก็เห็นแม่ น้องอีกคน คาดคั้นเอาความผิดจากลูก จนน้องเกือบจะร้องให้ในห้อง
รวมความว่า คดี ไต้เติ้ล รับเงินจากเพื่อน 10 บาท กรณี อ่านสอนเพื่อนหนังสืออ่านหนัง ก็คืนตังค์ 10 บาทให้เพื่อน แล้วรับปากว่าจะไม่ทำอีก(ถ้าไม่ลืมซะก่อนนะ)
คดีขู่ไถเงินเพื่อน 5 บาท และ 20 บาท สรุปคือไถไปแค่ 5 บาท แล้วก็ซื้อขนมมาแบ่งกันกิน
ส่วน 20 บาท น้องเขาโกหกแม่ว่าเพื่อไถตังค์ แม่น้องที่รับตังค์เพื่อนมาก็คืนตังค์ 5 บาท ให้น้องไป
ทางแม่น้องที่โกหกว่าไถเพิ่มอีก 20 บาท ก็ต้องมาขอโทษ แม่น้องที่รับตังค์ ก็เคลียกันไป
คดีรวมกลุ่มกันซื้อของกิน เป็นคดีที่ถกกันนาน เพราะ บางคนก็ยอมรับ ว่าทำ บางคนก็ไม่ยอมรับ
คือเด็กๆเราๆ ก็รู้อยู่ บางทีกลัวความผิดบ้าง บางทีลืมบ้าง ตามประสาเขา
ช่วงจะพักเที่ยง มีการรวมกลุ่มกัน 4 คน แล้วก็แปะมือกัน ออกตังค์คนละ 5 บาท เพื่อเอามารวมกันซื้อขนม
ทางครูมองว่ามันไม่เหมาะ กลัวตังค์หายด้วย กลัวมีปัญหาหลายๆอย่าง เลยตัดว่า ซื้อใครซื้อมัน
พกตังค์ไม่เกิน 15 บาท ให้ไปเยอะ บางทีทำหล่น ซื้อของไม่รับตังค์ทอน สาระพัดที่ครูจะเจอ
พอได้เห็นลูกกลัายอมรับผิด มีความรับผิดชอบตั้งแต่เด็กๆ เราที่เป็นพ่อ ก็ภูมิใจ และ ดีใจนะครับ
ที่บ้านไม่ตีลูกมา 3 ปี แล้ว แต่จะเน้นให้เหตุผล ชี้แจงโดย ให้เขาเข้าใจความจริง หรือ เปรียบเราเป็นเขาดู
บางทีก็เหนื่อย กว่าจะฟังเขาถามเสร็จกว่าจะตอบเขาหมด ร่ายซะยาว แต่เห็นแล้วว่าต้องทำ
เวลาคุยกับเขาก็มักจะคุยเหมือนคุยกับผู้ใหญ่ ให้เขามีเหตุผลชี้แจงตลอด
จนวันหนึ่งเห็นผลสำเร็จ ก็ดีใจไม่เสียแรงที่วางแผนแล้ววางแผนอีก เวลาครูถามตอบฉะฉาน
แต่จากที่ถามครูนอกรอบ ได้ความว่า ไตเติ้ลเป็นแบบนี้แหละ ในห้องเวลาครูถามอะไรก็ยกมือตอบแบบนี้ประจำ
ตอบร่ายยาวจนกลายเป็นฝอย เติ้ลคิดว่า ยังโง้น ยังงี้ บางทีว่างเกิน ชวนเพื่อนเล่นในห้อง
จนครูแยกไปคนละ มุมห้อง(ก็ 4 คนที่อยู่ในคดีนี่แหละ) 3 คนเขาไม่มีปัญหานิ่งแล้ว เหลือยุคนเดียว
ยังเอาไม้บรรทัดมาทำปืน ยิง ปิ้วๆๆๆ อยู่ ครูเลย ย้ายไปอยู่หลังห้อง
แต่เวลาครูสอน ครูก็จะตั้งเด็กๆที่พอรู้เรื่องบ้างมาเป็น teacher เพื่อไปสอนเพื่อนๆ
ไตเติ้ลนี่ อ่านหนังสือคล่องมาก เลยให้ไปสอนเพื่อนอ่าน ก็เพิ่งมารู้นี่แหละว่ามีการให้ตังค์กันด้วย(ครูแจ้งมาแบบนี้)
ครู ร่ายมาซักพัก ครูบอกก็ว่า ปกติครูไม่เคยเล่นนะมืออือ ห้ามเอามือถือเข้าห้อง
ไตเติ้ลยกมือขึ้นแล้วพูดเสียงดังๆตามปกติว่า ครูเล่นแค่ไลน์
ครูต้องชี้แจงเป็นพัลวัน
การตี การด่า การดุ แบบผิดๆ ไม่ช่วยให้ลูกโตมาเป็นดีครับ สู้การใส่ใจเขาจะดีกว่า
นอกจากจะสร้างความรักให้กับลูกแล้ว ยังช่วยเสริมพัฒนาการลูกในด้านต่างๆได้ง่ายๆด้วยครับ