แชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นอเมริกา...กลั่นมาจากประสบการณ์กว่า 6 ปี - By Billionaire VI

แชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นอเมริกา...กลั่นมาจากประสบการณ์กว่า 6 ปี
ในช่วงปลายปี 2014 ผมเริ่มมีความคิดว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงเรื่อยๆ ทั้งจากปัญหาโครงสร้าง และประชากรสูงวัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังซื้อจะลดลงในอนาคต
หุ้นเดิมๆเช่น CPALL Home Pro BDMS PTT และตัวอื่นๆ คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้อีกต่อไป
ผมได้เริ่มศึกษาการลงทุนในประเทศอเมริกาและได้ซื้อหุ้นตัวแรกในช่วงเดือนมกราคม ปี 2015
หลังจากนั้นผมก็รู้สึกชอบและสนุกกับการลงทุนที่นั่นมาก ติดตามและอยู่กับตลาดทุกวันจนทุกวันนี้
ผมเลยอยากจะแชร์ประสบการณ์การลงทุนให้เพื่อนๆได้ศึกษา เพื่อเป็นทางเลือกหาผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในไทยเพียงอย่างเดียว
ผมไม่ได้บอกว่าหุ้นไทยไม่ดี แต่อยากแชร์ว่าหุ้นในตลาดอันดับหนึ่งของโลก มีอะไรดีๆหลายอย่างดังนี้
1. ผมเน้นลงทุนหุ้นระยะยาวในธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง เช่น ธุรกิจที่มีแพล็ตฟอร์มให้บริการไปทั่วโลก คู่แข่งเข้ามาแย่งลูกค้าไปได้ยากมาก และมีการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง 
#ที่สำคัญที่สุดซื้อต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมมากๆ
#ผมไม่เคยขายหุ้นทิ้งเลยตั้งแต่ลงทุนมาต้นปี 2015 เพราะเชื่อว่าธุรกิจแข็งแกร่ง สามารถผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปได้ 
พอร์ตลงทุนกองหน้าให้ผลตอบแทนมากกว่า 20% ต่อปีได้แก่ Facebook Alphabet (Google) และ Microsoft
หุ้นกองกลางที่เติบโตอย่างมั่นคง เช่นหุ้น Visa ที่ลงทุนมา 3 ปีแล้ว และหุ้น Disney ที่เพิ่งลงทุนช่วงโควิด
ส่วนกองหลังได้หุ้นอย่าง Berkshire Hathaway ที่เพิ่งลงทุนไปเมื่อเดือนที่แล้ว
ทั้งหมดนี้เชื่อมั่นว่าจะเป็นพอร์ตที่สามารถถือลงทุนระยะยาวและเปลี่ยนชีวิตผมได้
2. อย่าตื่นตระหนกขายหุ้นเพียงเพราะว่านักวิเคราะห์หรือเซียนหุ้นแนะนำให้ขายหุ้นทิ้ง ผมยังจำได้เลยว่ามีผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า Dow Jones จะลงไปที่ 5,000 จุดโดยดูจากกราฟ 
คนติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น เศรษฐกิจอเมริกาจะพังแล้ว คนประท้วงเต็มเมือง ไม่รอดแน่ 
ทั้งหมดนี้เนื่องจากผมลงทุนในฐานะเจ้าของธุรกิจ ถ้าเรามั่นใจว่ามันผ่านวิกฤตไปได้ หน้าที่เราคือคอยหาโอกาสลงทุนเพิ่มในช่วงวิกฤต ไม่ใช่ขายหุ้นทิ้งเพราะกลัว
3. ใครบอกว่าหุ้นอเมริกาแพงแล้ว อย่าลงทุน ผมได้ยินคำพูดนี้มาจากเซียนหรือนักวิเคราะห์ตั้งแต่ปี 2017 ตอนที่ไปพูดในงานสัมมนาหรือแม้กระทั่งได้คุยกับเซียนแบบตัวต่อตัว 
#ผมไม่อยากให้เอาคำพูดประโยคเดียวว่าหุ้นแพงมาเหมารวมหุ้นทุกตัวในตลาด แต่อยากให้นักลงทุนทำการบ้านศึกษาหาหุ้นดีราคาถูกรายตัวมากกว่า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีโอกาสลงทุนในหุ้นอเมริกามากมาย เพราะธุรกิจของเขาเติบโตจริงๆ ไม่ใช่แค่ออกข่าวสร้างกระแสเพื่อสร้างราคา
แม้กระทั่งช่วงเดือนที่แล้วที่ใครๆก็บอกว่าแพงมากแล้ว ผมยังหาโอกาสลงทุนในหุ้น Berkshire Hathaway ได้เลย
4. ไม่มีตลาดหุ้นในโลกที่ไหนที่สมบูรณ์แบบแม้แต่ตลาดหุ้นอเมริกา การฉ้อโกงของผู้บริหารยังมีให้เห็นอย่างเช่นหุ้น Luckin Coffee ที่หลังจากไอพีโอราคาหุ้นขึ้นไปสูงถึง $50 
แต่หลังจากข่าวการตกแต่งบัญชียอดขายให้ดูสวยกว่าความเป็นจริง 10,000 ล้านบาท เลยทำให้ราคาหุ้นลดลงมาเหลือแค่ $2 เท่านั้น
การลงทุนในหุ้น ต้องรู้ทันคน ผู้บริหารบางท่านให้สัมภาษณ์เก่งมาก ฟังแล้วเคลิ้ม แต่สุดท้ายไม่เป็นไปตามที่พูดเลยก็มี
5. เคล็ดลับที่ผมใช้ลงทุนมาตลอดแล้วคิดว่าประสบความสำเร็จจนปัจจุบันคือการเข้าซื้อในจังหวะที่เต็มไปด้วยข่าวร้าย เราจะได้หุ้นซุปเปอร์สต๊อกที่ราคาซุปเปอร์ชีป 
ยกตัวอย่างตอนที่ซื้อหุ้น Google ที่ราคา $520 ช่วงนั้นหลายๆคนก็กังวลว่าธุรกิจการค้นหาข้อมูลของ Google จะไม่เติบโตแล้วมีคู่แข่งอย่าง Facebook เข้ามาแย่งค่าโฆษณา 
รวมทั้งตอนที่ซื้อ Facebook ตอนที่มีปัญหาเรื่องข้อมูลรั่วไหล Cambridge Analytic หุ้นลงจากเกือบ $200 เหลือแค่ $125
6. ผมเคยผิดพลาดไม่ลงทุนในหุ้น Amazon เมื่อปี 2015 ในตอนนั้นเทียบกับหุ้น Google แล้วงบสู้ไม่ได้ บริษัทยังไม่มีกำไร พีอี 200 กว่าเท่า 
ในขณะที่ Google งบดี กำไรสูงและต่อเนื่อง สุดท้ายเราไม่เข้าใจธุรกิจอย่าง Amazon ที่เน้นลงทุนสูงเพื่อเป็นที่หนึ่งในตลาดแล้วกำไรจะมาเองทีหลัง
ตอนนั้นหุ้น Amazon ราคา $300 กว่าเอง ตอนนี้ $3,200 แล้ว
ผมซื้อ Google ที่ $530 ตอนนี้ใกล้ๆ $1,500 ผลตอบแทนต่างกันเยอะมาก
หุ้นอีกหนึ่งตัวที่ผมพลาดโอกาสลงทุนไปคือหุ้น Apple ตั้งแต่ปี 2016 ช่วงที่ลงทุนใหม่ๆ
ในตอนนั้นผมมองว่าหุ้นตัวนี่ค่อนข้างอิ่มตัว iPhone คงไม่มีอะไรใหม่ๆเพิ่มเติมมากเท่าไหร่
ตอนนั้นหุ้นมีค่าพีอีประมาณ 15 เท่า ราคาแถวๆ $100 งบการเงินก็ดูดี เงินสดเยอะ
แต่ผมมองว่าไม่มีการเติบโตเท่าไหร่ เลยพลาดการลงทุนไป
ทุกวันนี้ราคา $499 เข้าไปแล้ว ผมผิดพลาดเพราะมองหุ้นไม่ขาด 
#เสียดายดีกว่าเสียใจ  
7. การบริหารพอร์ตโดยยึดหลักการ “อย่าขาดทุน” ที่วอร์เรน บัฟเฟตต์สอนพวกเราช่วยให้ผมมีความระมัดระวัง แต่ไม่ได้กลัวจนไม่กล้าลงทุน 
เป็นการระมัดระวังในหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงๆภายในระยะเวลาสั้นๆเนื่องจากแรงเก็งกำไร 
ไม่เข้าลงทุนในหุ้นที่ไม่เข้าใจ หุ้นขึ้นดีอย่างไร ถ้าผมมองไม่ขาด ก็อยู่เฉยๆ
นักลงทุนวีไอชื่อดัง Howards Mark สอนพวกเราว่าการมีพอร์ตบวก 15-20% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง ดีกว่าการมีพอร์ตที่ดีปีเดียว 50% แต่ขาดทุนเยอะๆอีกปี
8. หุ้นที่ไม่คิดว่าจะขึ้นมาได้ขนาดนี้อย่าง Tesla เพราะกำไรไม่มีแถมยังขาดทุน (เพิ่งมามีกำไรไตรมาสหลังๆ)
จนช่วงต้นปีที่แล้วยังจำได้เลยว่าบริษัทขาดสภาพคล่องจน Elon Musk ต้องส่งเมลหาพนักงานทุกคนให้ระมัดระวังค่าใช้จ่าย 
การเบิกเงินทุกครั้งต้องผ่าน CFO หุ้นปรับตัวลดลงไปแถว $200 กว่า 
แต่หลังจากนั้นก็มีข่าวดีมาตลอด ทั้งขายดีที่จีนและการคิดนวัตกรรมใหม่ของแบตเตอรี่ ทำให้ราคาหุ้นวิ่งทะลุ $2,000 ไปแล้ว
9. นักลงทุนที่กังวลเรื่องค่าเงิน ตั้งแต่ที่ผมลงทุนมา ค่าเงินบาทก็อ่อนค่าระหว่าง 30-33 บาท แต่ด้วยการที่ลงทุนระยะยาว ต้นทุนค่าเงินผมอยู่ประมาณ 32 บาท ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากค่าเงินตอนนี้มาก ทั้งที่ผ่านมาแล้ว 6 ปี 
ถ้าเทียบกับผลตอบแทนที่ได้หลายเท่าตัวแล้ว ผมว่านักลงทุนอาจจะเน้นโฟกัสการเลือกหุ้นลงทุนมากกว่า หาจังหวะดีๆช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งเข้าลงทุน
10. หุ้นที่อเมริกาไม่มี Ceiling และ Floor ราคาหุ้นบางตัวปรับตัวลงแรงมากกว่า 50% ในหนึ่งวัน หรือปรับตัวขึ้นมากกว่า 30% ในหนึ่งวัน โดยเฉพาะวันที่ประกาศผลดำเนินงาน ตลาดจะลงโทษหรือให้คำชมที่รุนแรงมาก
สุดท้ายนี้ผมหวังว่าเนื้อหาทั้งหมดที่กลั่นมาจากประสบการณ์จะช่วยให้นักลงทุนไทยมีทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ และหวังว่าจะช่วยเปลี่ยนชีวิตของนักลงทุนให้ดีขึ้นครับ #InvestINUS #ลงทุนหุ้นอเมริกา

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่