วัตถุที่มีสถานะ “ดาวเคราะห์แคระ” (Dwarf planets) อย่างเป็นทางการ

ดาวเคราะห์แคระ (Dwarf planets) คือดวงดาวที่มีลักษณะคล้ายดาวเคราะห์ หรือดาวเคราะห์น้อย โดยมีคุณสมบัติที่สำคัญ 4 ประการ คือ

1) โคจรรอบดวงอาทิตย์
2) มีมวลมากพอที่ก่อให้เกิดสมดุลไฮโดรสแตติก (Hydrostatic equilibrium) จากการต้านกันระหว่างแรงโน้มถ่วงของดวงดาวและแรงที่กระทำต่อวัตถุแข็งเกร็ง (Rigid body forces) ซึ่งทำให้ดวงดาวมีรูปร่างเป็นทรงกลม หรือ ทรงกลมเกือบสมบูรณ์
3) มีวงโคจรไม่แน่ชัด และไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของวัตถุต่างๆ ที่อยู่รอบวงโคจรของตัวเองได้
4) ไม่เป็นดวงจันทร์บริวารของดาวดวงอื่น

ดาวเคราะห์แคระได้รับการเสนอขึ้นโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (International Astronomical Union หรือ IAU) ตามการจำแนกชนิดดาวเคราะห์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ปี 2006 เช่นเดียวกับการเปลี่ยนสถานะของดาวพลูโตจากดาวเคราะห์เป็นดาวเคราะห์แคระ หลังการค้นพบวัตถุแข็งและดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากในระบบสุริยะชั้นนอก (Outer solar system) ผสานกับคุณสมบัติของดาวพลูโตที่มีวงโคจรไม่สมบูรณ์เหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่น ซึ่งดาวพลูโตนั้นโคจรเป็นวงรีและมีบางส่วนของวงโคจรซ้อนทับกับวงโคจรของดาวเนปจูน อีกทั้ง ดาวพลูโตยังเป็นดวงดาวที่ไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดของตัวเองได้อีกด้วย
ขณะนี้ นอกจากดาวเคราะห์ 8 ดวง ในระบบสุริยะยังมี ดาวเคราะห์แคระ ซึ่งในปัจจุบันมีสถานะอย่างเป็นทางการ 5 ดวงได้แก่  ดาวพลูโต (Pluto) ดาวซีรีส (Ceres) ดาวอีริส (Eris) ดาวเฮาเมอา (Haumea) และดาวมาคีมาคี (Makemake) โดยดาวเคราะห์แคระซีรีส ซึ่งอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อย (Asteroid Belt) ส่วนดาวเคราะห์แคระอีก 4 ดวง จัดอยู่ในระบบสุริยะชั้นนอก หรือ แถบไคเปอร์ (Kuiper Belt)

Ceres
ซีรีส เป็นดาวเคราะห์แคระที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด และเป็นดาวเคราะห์แคระดวงเดียวที่อยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อย (Asteroid Belt) หรือ อยู่ในระบบสุริยะชั้นใน (Inner solar system) และยังเป็นดวงดาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแถบดาวเคราะห์น้อยอีกด้วย

ซีริสเป็นดาวเคราะห์แคระดวงแรกที่ได้รับการสำรวจในปี 2013 โดยมีรัศมีราว 476 กิโลเมตร ใช้เวลาหมุนรอบตัวเองเพียง 9 ชั่วโมง แต่ใช้เวลาถึง 4 ปีครึ่งโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์แคระซีรีสไม่มีชั้นบรรยากาศ ทำให้มีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ลบ 105 องศาเซลเซียส มีไอน้ำพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นผิวของดวงดาวเป็นระยะ
เนื่องจากองค์ประกอบหลักเป็นหินและน้ำแข็ง นักวิทยาศาสตร์จึงสันนิษฐานว่า ภายในแก่นดาวซีริสอาจมีสสารความหนาแน่นต่ำ อย่างน้ำ อยู่ภายในจนทำให้เกิดปฏิกิริยาของไอน้ำที่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจากพื้นผิวของดวงดาว ดาวซีริสไม่มีดวงจันทร์บริวารและไม่มีวงแหวน

ล่าสุด ทีมนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้วิเคราะห์ภาพที่จับได้จากดาวเคราะห์ดวงน้อยนี้ในระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร ซึ่งทีมมุ่งความสนใจไปที่หลุมอุกกาบาตออกเคเตอร์ (Occator) อายุ 20 ล้านปี และพิจารณาว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะมีแหล่งกักเก็บของเหลวที่กว้างใหญ่อยู่ใต้พื้นผิว ทีมได้ค้นพบการปรากฏตัวของสารประกอบไฮโดรฮาไลต์ (hydrohalite) ซึ่งเป็นแร่ที่พบได้ทั่วไปในน้ำแข็งในทะเล แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่เคยมีใครสังเกตเห็นจากโลก
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติอิตาลี ในกรุงโรม เผยว่าไฮโดรฮาไลต์เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าซีรีสเคยมีน้ำทะเล และตอนนี้สามารถพูดได้ว่าดาวเคราะห์แคระซีรีสเป็นโลกแห่งมหาสมุทรเช่นเดียวกับดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์ และดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี.

ดอว์น (Dawn) ที่แปลว่า "อรุณรุ่ง" เป็นชื่อยานอวกาศที่องค์การนาซาส่งออกไปนอกโลกเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2007 เพื่อเดินทางไปในภารกิจสำรวจดาวเคราะห์น้อยสองดวงคือซีรีส (Ceres) กับเวสตา (Vesta)

Pluto
พลูโต เป็นดาวเคราะห์แคระลำดับที่สองจากดวงอาทิตย์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกจำแนกเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ในระบบสุริยะ ก่อนการเปลี่ยนสถานะในปี 2006  ดาวพลูโตมีขนาดเพียงสองในสามของดวงจันทร์โลก รัศมีประมาณ 1,137 กิโลเมตร มีวงโคจรเป็นวงรี ดาวพลูโตใช้เวลาถึง 248 ปีโคจรรอบดวงอาทิตย์ และแสงจากดวงอาทิตย์เดินทางไปถึงพื้นผิวดาวพลูโตใช้เวลาราว 5.5 ชั่วโมง

ซึ่งการอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ ทำให้ดาวพลูโตมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ลบ 226 องศาเซลเซียส ชั้นบรรยากาศสีฟ้าเบาบาง โดยมีไนโตรเจน มีเทน และคาร์บอนมอนออกไซด์ เป็นองค์ประกอบหลัก มีหมอกหลายชั้น และพื้นผิวดาวส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ดาวพลูโตไม่มีวงแหวน แต่มีดวงจันทร์บริวาร  5 ดวง ซึ่งดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ แครอน (Charon) มีขนาดใกล้เคียงกับดาวพลูโต จนดูเหมือนดาวทั้ง 2 ดวงโคจรรอบกันและกัน

ในอดีตดาวพลูโตถูกค้นพบโดย ไคลค์ ทอมบอห์ (Clyde Tombaugh) แห่งหอดูดาวโลเวล รัฐอริโซนา (Lowell Observatory,Flagstaff, Arizona) เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1930 และยานอวกาศที่ได้รับภารกิจเกี่ยวกับการสำรวจดาวพลูโตและวัตถุบริเวณขอบเขตด้านนอกถัดจากวงโคจรของดาวเนปจูนออกไปนอกระบบสุริยะคือ  นิวฮอร์ไรซอนส์ (New Horizons)  ยานอวกาศลำนี้ไม่ได้ไปลงจอดบนพื้นผิวของดาวพลูโต แต่เพียงเป็นการบินผ่านในระยะประมาณ 12,500 กิโลเมตร เพื่อศึกษารายละเอียดต่างๆ ของดาวพลูโต เช่น การเก็บข้อมูลภาพถ่ายที่มีความละเอียดสูงหรือแม้แต่วัดองค์ประกอบทางเคมีของชั้นบรรยากาศของดาว เป็นต้น 

Haumea
เฮาเมอาเป็นดาวเคราะห์แคระลำดับที่สามในระบบสุริยะ ถูกค้นพบในเดือนธันวาคม ค.ศ.2004 มีขนาดใกล้เคียงกับดาวพลูโต มีรัศมีราว 620 กิโลเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ลบ 241 องศาเซลเซียส ดาวเฮาเมอาได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในวัตถุขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะที่หมุนรอบตัวเองเร็วที่สุด โดยใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้รูปร่างของดาวคล้ายรูปวงรี ถูกตั้งชื่อตามเทพีแห่งการให้กำเนิดของชาวฮาวาย

แต่ดาวเฮาเมอาโคจรอยู่ในระบบสุริยะชั้นนอก จึงส่งผลให้ดาวเฮาเมอาใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ยาวนานถึง 285 ปี แสงจากดวงอาทิตย์ต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงในการเดินทางถึงดาวเฮาเมอา บนพื้นผิวดาวดวงนี้ มีจุด สีแดงขนาดใหญ่ (Dark red spot) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดจากการสะสมของแร่ธาตุและคาร์บอนหนาแน่นกว่าพื้นผิวส่วนอื่นๆ ของดวงดาว

องค์ประกอบหลักของดาวเฮาเมอา คือ ของแข็งที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ชั้นบรรยากาศและพื้นผิวของดาวเฮาเมอายังไม่ได้รับการสำรวจอย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม ดาวเฮาเมอามีดวงจันทร์บริวาร 2 ดวงและเป็นดาวเคราะห์แคระดวงเดียวในแถบไคเปอร์ที่มีวงแหวน

Makemake
มาคีมาคี เป็นดาวเคราะห์แคระลำดับที่สี่จากดวงอาทิตย์ อยู่ในแถบไคเปอร์เช่นเดียวกัน เป็นดาวเคราะห์แคระขนาดเล็ก โดยมีรัศมีอยู่ที่ 715 กิโลเมตร มีความสว่างเป็นอันดับสองรองจากดาวพลูโต มาคีมาคีใช้เวลาหมุนรอบตัวเองราว 22.5 ชั่วโมง ซึ่งใกล้เคียงกับโลก แต่ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ยาวนานถึง 305 ปี มีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ลบ 239 องศาเซลเซียส ถูกค้นพบโดยกล้อง Wide Field Camera 3 ของกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล 

ดาวเคราะห์แคระมาคีมาคี มีองค์ประกอบหลักเป็นน้ำแข็งและของแข็ง เช่นเดียวกับดาวดวงอื่นในแถบไคเปอร์ที่ก่อกำเนิดมาตั้งแต่ในยุคแรกเริ่มของระบบสุริยะเมื่อ 4.5 พันล้านปีก่อน พื้นผิวของดาวเคราะห์แคระมาคีมาคี มองเห็นเป็นสีน้ำตาลแดงคล้ายดาวพลูโต โดยมีองค์ประกอบหลัก คือ มีเทนและอีเทนแข็ง มาคีมาคี มีชั้นบรรยากาศไนโตรเจนเบาบาง มีดวงจันทร์บริวารที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน (Provisional moon) หนึ่งดวง และไม่มีวงแหวนเป็นของตัวเอง

สหภาพดาราศาสตร์นานาชาติได้รวมมาคีมาคีไว้ในรายชื่อวัตถุที่มีสภาพเหมาะสมที่จะได้รับสถานะ "พลูตอยด์" (Plutoid) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกประเภทของดาวเคราะห์แคระที่อยู่เลยวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป บริเวณเดียวกับดาวพลูโตและดาวอีริส ในที่สุดมาคีมาคีก็ได้รับการจัดให้เป็นพลูตอยด์อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม  2008

ได้รับการตั้งชื่อตามชื่อของเทพผู้สร้างพระองค์หนึ่ง โดยชื่อมาคีมาคี (Makemake) เทพเจ้าผู้ให้กำเนิดมนุษยชาติและเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ในเทวตำนานของชาวราปานุยซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของเกาะอีสเตอร์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาความเชื่อมโยงระหว่างดาวดวงนี้กับวันอีสเตอร์ไว้

Eris
อีรีส เป็นดาวเคราะห์แคระที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ที่สุด มีมวลมากที่สุด รัศมีของดวงดาวประมาณ 1,163 กิโลเมตร ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์ของโลกเล็กน้อย ดาวอีรีส มีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -231 องศาเซลเซียส จากการที่อยู่ห่างจากไกลจากดวงอาทิตย์ที่สุด แสงสว่างจากดวงอาทิตย์จึงใช้เวลากว่า 9 ชั่วโมงในการเดินทางถึงพื้นผิวดาวอีรีส ดาวอีริสใช้เวลาหมุนรอบตัวเองราว 25.9 ชั่วโมง แต่ใช้เวลาถึง 557 ปี ในการโคจรรอบดวงอาทิตย์

เนื่องจากระยะทางที่ห่างไกล ส่งผลให้ยังไม่มีการสำรวจโครงสร้างและองค์ประกอบของดวงดาวที่แน่ชัด นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าบนพื้นผิวดาวส่วนใหญ่เป็นของแข็งและน้ำแข็ง รวมถึงการมีชั้นบรรยากาศเบาบาง ประกอบกับการอยู่ห่างไกลจากแสงสว่าง อาจทำให้ชั้นบรรยากาศยุบตัวและแข็งตัว แต่เมื่อดาวอีริสโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น ชั้นบรรยากาศอาจเกิดการละลายได้ ดาวอีริสไม่มีวงแหวนเป็นของตัวเอง แต่มีดวงจันทร์บริวารหนึ่งดวง เป็นดวงจันทร์ขนาดเล็กที่มีชื่อว่า ดิสโนเมีย (Dysnomia)

อีริสถูกค้นพบโดย ไมเคิล อี. บราวน์และคณะ ด้วยกล้องโทรทรรศน์ของหอดูดาวพาโลมาร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ชื่อ อีริส มาจากชื่อของเทพเจ้าแห่งความวุ่นวาย ผู้วางอุบายโดยใช้แอปเปิ้ลทองคำ เพื่อทำให้เฮรา อาเธน่า และอโฟรไดท์ ซึ่งเป็นสามเทวีพรหมจรรย์ในบรรดาเทพแห่งโอลิมปัสแตกคอกัน
เพราะว่าไม่ได้เชิญนางมางานเลี้ยงของเทพ ส่วนชื่อ ดิสนอเมีย คือชื่อธิดาของอีริส

(ดาวเคราะห์แคระและวัตถุอื่นที่อาจขึ้นสถานะเป็นดาวเคราะห์แคระได้ในอนาคต)
Credit: Wikipedia
ที่มา http://www.xn--b3clnjcm3dcbfd0a3m8b9iwa2bk5mh.com/content/1909615
       http://thaiastro.nectec.or.th/library/article/213/
       https://sites.google.com/site/thitinannui15/hea-me-xa-kab-ma-khi-ma-khi
       https://sites.google.com/site/thitinannui15/xi-ris
       https://sites.google.com/site/kikkoom/ma-khi-ma-khi

Cr.https://ngthai.com/science/23178/dwarfplanet/
Cr.https://sites.google.com/site/apinyajaisoosuk/
Cr.http://1.179.181.174/index.php/2017-11-25-10-50-19/2017-12-07-04-56-44/2017-12-09-02-59-16/2017-12-09-12-17-11
Cr.http://old.narit.or.th/index.php/astronomy-article/2114-new-horizons-pluto-surway

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่