
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนเลย จขกท. ชื่อแมมนะคะ ตอนนี้เรียนอยู่ปี 2 (2019) สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ คณะบริหารธุรกิจ ภาคอินเตอร์ ช่วงระหว่างขึ้นเปลี่ยนปีการศึกษาใหม่ เขาจะส่งเด็กไปฝึกงานแต่ละที่ ซึ่งในส่วนของการเลือกบริษัทนั้นขึ้นอยู่กับว่า เราอยากทำที่ไหน(และเค้ารับเราด้วย) หรือถ้าไม่มีในใจก็ให้มหาลัยส่งไป

แมมสนใจอยากเข้าฝึกงานที่ Dale Carnegie เพราะเคยเรียน Human Resource กับเทรนเนอร์จากสถาบันนี้ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้แมมรู้สึกว่า คนที่ทำงานนี้ จะต้องอบอุ่นและเข้าใจซึ่งกันและกันแน่เลย และอะไรหลายๆ อย่างที่แมมคิดว่าเราเข้ากับเค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง ตำแหน่งที่แมมอยากสมัครนั่นก็คือ Digital Marketing ทัศนคติของบริษัท ที่ต้องการพัฒนาคน Soft Skill รวมไปถึงการใช้จิตวิทยาในการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวจิตใจ และเข้าถึงเพื่อกระตุ้นการปรับปรุง เลยทำให้คิดว่าที่นี่แหละ คือที่ที่เราจะไปฝึกงาน ถึงแม้จะรู้ว่าการเดินทางจะหฤหรรษ์มาก 😂
Dale Carnegie ตั้งอยู่ที่ตึก Athenee Tower ชั้น 5 ค่ะ เป็นตึกที่สวยสมกับตึกรับแขกการประชุมสุดยอดอาเซียนเลย การเดินทางก็ง่ายๆค่ะ กระโดดขึ้น BTS เพลินจิตมา แต่แมมอยู่แจ้งวัฒนะมันก็เลยจะ 😭 นิดนึง

ภายในสถานที่ทำงานเป็นกึ่งๆ Living Office ปนๆ กันไป อุปกรณ์ข้าวของทุกอย่างเพิ่งจะ renovate ใหม่เมื่อปีที่แล้ว ทุกอย่างก็จะดูสวยสะอาดตา เก็บข้าวของเป็นที่เรียบร้อย เวลาจะใช้อะไรก็หาง่าย ห้องด้านในเป็นทั้งห้องประชุม และห้องเทรนนิ่ง ซึ่งปกติแล้วก็จะใช้เป็นที่ทานอาหารกลางวันด้วย ก็นั่งเล่นนอนเล่นบีนแบค
อีกอย่างหนึ่ง เจ้าของที่นี่เป็นคนคิดถึงคนอื่นมากค่ะ เวลาเลือกซื้อของอะไรก็จะหาของดีๆ มาให้ เก้าอี้ที่ต้องสั่งประกอบใหม่ให้เข้าสรีระ โต๊ะน้ำหนักเบาที่ไว้ใช้เคลื่อนย้ายเข้าออกได้สะดวก โซนกาแฟก็จัดเตรียมไว้ให้ไม่มีขาด มีโปรเจคอยากจะทำ YouTube ก็ไปซื้อกล้องวีดีโออย่างดีมาให้ ทั้งยังมีขนมแจกให้กินทั้งบริษัทที่มีกันอยู่ 6 คน เดือนละ 2,000 อีก หนำซ้ำยังชอบพาคนในที่ทำงานออกไปเลี้ยงอาหารโรงแรมหัวเป็นพันๆ หรือในแต่ละเดือนก็จะมี คือที่นี่บอกเลยว่า สวัสดิการดีจริงๆ 💕

สำหรับงานที่แมมกับเพื่อน 4 คนอินเทิร์นได้รับ 2 เดือน ก็คือ โปรเจค 2 อย่าง อย่างแรกคือ การจัดอีเว้นท์
AI: Preparing People for Human-Machine Partnership for the Future ที่จัดขึ้นและสำเร็จไปได้ด้วยดีแล้วที่ Athenee Hotel
งานที่แมมได้ลงมือทำ คือการโทรชวนลูกค้าที่เป็นระดับผู้บริหาร ทำสื่อ ภาพโปสเตอร์ หาของชำร่วย ออกแบบและจัดซื้อถุงผ้า และงานในส่วนรายละเอียดอื่นๆ

สำหรับการทำงานนี้ แมมรู้สึกว่าถึงแม้เขาจะสั่งให้เด็กอินเทิร์นเป็นคนทำ เขาก็ไม่ได้ปล่อยเราลอยแพ หรือกีดกั้นความคิดของเราเลย เพราะเขาจะช่วยคอยสนับสนุนเราตลอด แม้กระทั่งงานก่อนวันจริงเขาก็อยู่จนดึก เพื่อช่วยตรวจสอบว่างานเรียบร้อยดี โดยไม่เกี่ยงว่านี่เป็นงานของเด็กฝึกงานที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งแมมรู้สึกว่า เค้าให้เกียรติการทำงาน ใส่ใจ และดูแลเราดีมากๆ
อีกเรื่องนึงที่ประทับใจ ก็คือ การที่เขาจัดเราเป็น Priority ที่นั่งแรกๆ ในการทานบุฟเฟ่ต์อาหารกลางวันภายใจงาน ซึ่งปกติแล้ว บริษัทอื่นก็จะไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดความรู้สึกของลูกน้องแบบนี้ ยิ่งโดยเฉพาะการที่เราเป็นแค่เด็กฝึกงาน
ส่วน project ที่ 2 คือการทำ marketing เจาะกลุ่มตลาดวัยรุ่น เพื่อเปิดคอร์ส Dale Carnegie แบบวัยรุ่นขึ้น ในจุดนี้พวกเราก็นั่งวางแผนกัน บางจุดที่รั่วไหลก็มีพี่ๆคอยช่วยเติมแนะให้ ซึ่งตรงนี้ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก เพราะบางสิ่งที่เรียนมาจากในห้องเรียนก็สามารถที่เอามาใช้ได้จริง แล้วก็ค่อนข้างเปิดกว้างทางความคิด ให้อิสระในการตัดสินใจแต่ต้องมีเหตุผลและ KPI มารองรับงานที่เราทำก็จะเป็นในส่วนของสื่อ ทำโฆษณา ทำรีวิว แล้วก็ออกบูธ
10 สิ่งที่ชอบของที่นี่
มีหลายอย่างมากค่ะ ทั้งตัวสถานที่ วัฒนธรรม คนในองค์กร หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ของบริษัท ที่พยายามจะเสริมสร้างคนเราให้ดีขึ้น แล้วก็การที่เขาปฏิบัติกับเราเทียบเท่าพนักงาน ให้สวัสดิการที่ดีเหมือนกัน รวมไปถึงความใจกว้างต่างๆ ที่แสดงออกมาให้เห็นเรื่อยๆ เช่น
1. Starbuck Insight
จะเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้คุยกับเจ้าของเป็นการส่วนตัวเลยประมาณชั่วโมงนึง ที่สตาร์บัคฝ.ชั้น G เขาก็จะเลี้ยงน้ำแล้วแก้วนึง สั่งได้โล้ด
อย่างวันนั้นเป็นวันที่ซื้อ 1 แถม 1 คนเยอะ เขาก็เลยเปลี่ยนร้านให้ไปกินที่ coffee club แทน รู้สึกใจป๋ามาก55555555555
แมมรู้สึกว่าการทำแบบนี้มันเป็นการใส่ใจลูกน้องมากๆ เลย ลองมานั่งคิดว่าลูกน้องมีอยู่ 10 กว่าคน นั่งฟังคนละชั่วโมงๆ รับฟัง และให้คำแนะนำอย่างจริงใจ มันเป็นอะไรที่กินใจมากๆ เป็นอีกครั้งที่มันรู้สึกว่า การปฏิบัติที่พิเศษที่แม้กระทั่งเด็กฝึกงานก็ยังได้รับ เค้าได้ใจเราไปแล้ว
2. เข้าออกงานเมื่อไหร่ก็ได้ให้ครบ 9 ชั่วโมง
เป็นอะไรที่ตอบโจทย์คนเดินทางไกลแบบเรามาก เพราะถ้าเข้างาน 08:00 น. เลิกงาน 5:00 น ก็ต้องไปแย่งรถติดแหงกกันอยู่ที่ท่ารถตู้ ป้ายรถเมล์ ทำแบบนี้มันจะได้ออกแบบการใช้ชีวิตบนรถให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
3. จัดระบบ Buddy
หลังจากที่ทำงานไป 1 สัปดาห์ พี่ๆเขาก็จับคู่กับน้องๆ เพื่อให้เป็นโค้ชส่วนตัว และเพื่อนสนิทต่างวัยในที่ทำงาน ซึ่งมันจะช่วยทำให้เราเปิดใจ ที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ผ่านคนที่เราไว้ใจ และคอยสังเกตเราอยู่ตลอด 😁
4. พาไปเลี้ยงอยู่บ่อยๆ
ที่นี่เจ้าของเขาเป็นคนใจดี เวลาพาพนักงานไปกิน ก็จะพาเด็กฝึกงานไปด้วย แล้วก็จะเลือกร้านดีๆ อยู่เสมอ ชอบมีโอกาสให้ไป เช่น วันแรกที่ฝึกงาน ก็ได้ไปกิน Hide and Seek วันที่รู้สึกแฮปปี้ๆ ก็จะสั่งพิซซ่ามากิน วันที่จัดงาน AI ก็เลี้ยงบุฟเฟ่ต์ Athenee Hotel วันจบฝึกงาน ก็พาไปเลี้ยงที่ Goji คือ คนในออฟฟิศยังบอกเลยว่ามาอยู่ที่นี่ไม่เท่าไหร่ก็น้ำหนักขึ้นเป็นโลๆ ทุกสัปดาห์ 😂

5. ได้รับการโค้ชอยู่เสมอๆ
พี่ๆ ในที่ทำงานจะมี feedback ให้กับสิ่งที่เราทำอยู่เสมอ มีทั้งการชื่นชม และการโค้ช ที่ไม่ใช่การบ่นหรือว่า แต่เป็นการสอนให้คิด เปิดใจให้เราเรียนสิ่งใหม่ๆ ที่นี่เขาจะมีวัฒนธรรมองค์กรให้มีความจริงใจซึ่งกันและกัน รักกัน และช่วยเหลือแบ่งปันกัน วิธีการพูดของเขาจะไม่ทำร้ายจิตใจ แต่จะเป็นการใช้หลักจิตวิทยาให้เรารู้สึกว่า มันควรจะเปลี่ยนไปในทางทิศทางไหน และใช้ความคิดของเราวิเคราะห์มันออกมา รู้สึกว่าการอยู่ที่นี่ได้เรียนและเติบโตขึ้นทุกวัน
6. การปฏิบัติกับเราที่เหมือนพนักงานจริง
เริ่มวันแรกก็พาเราไปทำบัตร เข้าออกได้ตามสะดวก ไม่มีเอกกสารไหนที่มีการปิดบังกัน เวลาเราถามเขาก็จะตอบตลอด ยังมีตอนนึงที่แมมเข้าประชุม เขาก็สรุปวาระการเงินของทั้งปี รายรับ รายจ่าย ค่าเงินออกมาเลย หรือยังตอนนั้น ที่แมมได้เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกการประชุมเพื่อคัดเลือกบริษัท Marketing เขาก็ถามความคิดเห็นของเรา และนำเสียงของเราไปพิจารณา โดยไม่คำนึงว่าเราเป็นเพียงแค่เด็กฝึกงานคนนึง

7. ได้เข้าร่วมการสอนของ Dale Carnegie
ครั้งแรกที่ไปคือไปช่วย CSR ที่โรงเรียนพระดาบส ที่นี่เขาจะสอนทางโรงเรียนให้ฟรี แล้วเราก็ได้ไปเป็นผู้สังเกตการณ์ ซึ่งก็ทำให้เห็นและเข้าใจ ถึงบริการที่เดลเป็นคนให้มากขึ้น รวมไปถึงบางครั้งที่เขาให้เราไปดูการสอนของบริษัทต่างๆ อย่างของแมมเอง ก็ได้ไปดูของ Nestle เลยมีโอกาสได้ไปดูบริษัทอื่นๆ ด้วย ซึ่งมันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีอีกอย่างหนึ่งเลย
8. ให้เราได้เรียนคอร์ส High Impact Presentation ซึ่งปกติราคาหลักหมื่น ฟรี
ตอนแรกที่รู้คือดีใจมาก มีความรู้สึกเกรงใจปนสงสัยถึงความใจกว้างนี้ เขาไม่ได้ให้เรามาฝึกงานเพื่อเอาประสบการณ์แค่นั้น แต่ยังพยายามจะสร้างเราให้ดีขึ้นกว่าเดิม
คอร์สนี้เป็นคอร์สที่จะทำให้แมมได้ประโยชน์ในหลายๆอย่างมาก ทั้งในเรื่องการเรียน หรือการสัมภาษณ์งานในอนาคต เป็นคอร์ส 2 วันที่แม่ไม่อยากเชื่อว่ามันจะทำให้มันเปลี่ยนได้จริงๆ หลังจากที่ตัวเองได้ดูวีดีโอคลิปที่ 1 กับคลิปที่ 6 ก็เห็นชัดได้ถึงความต่างที่ดีขึ้นมาก และถ้ามีโอกาส ก็ว่าจะทำรีวิวตัวนี้แยกออกมาต่างหากค่ะ 😁
9. พาเราไปเที่ยวก่อนจบฝึกงานที่เขาใหญ่ 3 วัน 2 คืน
ณ จุดๆ นี้คือพูดไม่ออกจริงๆ รู้สึกว่าการที่เขาไม่ให้เราไปดูเป็นเรื่องปกติกว่าด้วยซ้ำ เพราะพอให้ไปแล้วมันรู้สึกว่าทำไมตัวเองเป็นคนที่โชคดีขนาดนี้ ถึงได้มาเลือก็ที่นี่และเข้ามาถูกเวลาช่วงเที่ยวประจำปีของบริษัทพอดี
ที่ๆ เราไปพักกันอยู่ที่ปากช่อง ชื่อ Thame Valley เป็นรีสอร์ทที่สวยมากกกกกกๆๆๆ แบบสไตล์อังกฤษ พูดแบบนี้ก็น่าจะรู้แล้วถึงความใจป๋าของ MD 555555555555
ชุดนี้บันทึกพักผ่อนที่แท้ทรู เพราะตื่นเมื่อไหร่ก็ได้ เจอกัน 11 โมง เที่ยวกัน กินต่อ เที่ยวอีกนิก ป้ะ กิน นอนกัน
....
ชิวมากกกกกกกกกกกก ขอตั้งให้เป็นทริปที่ชิวสุดๆ ในสามโลก
แอบอยากจะนับเป็นประสบการณ์หนึ่งของชีวิตเลย55555555555 ที่นี่เขาก็จะมี concept ให้แต่งตัวเป็นผู้ดีอังกฤษแบบสไตล์ 50s แล้วก็มาแข่งประกวดกัน ซึ่งคนชนะก็แน่นอนเป็นพี่เลี้ยงของเราเอง นางแต่งเป็น มาริลีน มอนโร 😂
10. วันสุดท้ายกับการอำลาที่น่าประทับใจ
เปิดตัวมาสวยตลอดกับการทำงานที่นี่ และตบท้ายกับความสุขที่รู้สึกปลื้มปริ่มและตื้นตันกับ 1 ชม. สุดท้ายหลังการกินเลี้ยงที่ Goji พี่ๆทุกคนในทีมก็จะพูดถึงน้องแต่ละคนคนละ 2-3 นาทีถึงความในใจความรู้สึกที่เขามีต่อน้องแต่ละคนนั้นๆ เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างใช้เวลามาก แต่เรากลับรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็ว เพราะการกระทำทั้งหมดนั้นมันมาจากความจริงใจ เราฟังและรับความรู้สึกของเขา ยิ้มไปจนแก้มปริ พระหลังจากจบพัดของเราเราก็จะพูดถึงทุกคนรวมๆ ทีละคน ส่วนแมมเองก็แอบทำการ์ดเขียนถึงแต่ละคน มอบให้เป็นของขวัญทำมือเนื่องในโอกาสจากลานี้

ท้ายนี้ แมมอยากบอกว่า การฝึกงานที่นี่ทำให้มันได้รู้โลกกว้างขึ้นเยอะ ได้รู้ว่าการทำงานออฟฟิศเป็นแบบไหน ได้รู้ว่าถ้าเราอยู่ในองค์กรที่ดีเราก็จะรู้สึกดี และอยากทำงานต่อไปในแต่ละวัน รวมไปถึงการเรียนรู้ที่จะเป็นหัวหน้าที่ดี สร้างวัฒนธรรมที่ใช่ให้กับลูกน้อง เพื่อที่ว่าคนในทีมของเรา จะมีความขยันและทุ่มเทกับองค์กรเป็นอย่างไร
หวังว่ารีวิวนี้อาจจะเป็นข้อมูลเล็กๆ ที่จะทำให้รู้จักบริษัทนี้มากขึ้น หรือเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนออกมาเล่า
[CR] ฝึกงานที่ Dale Carnegie 2 เดือน กับ 10 ข้อความสุขในบ้านหลังเล็กๆ
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนเลย จขกท. ชื่อแมมนะคะ ตอนนี้เรียนอยู่ปี 2 (2019) สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ คณะบริหารธุรกิจ ภาคอินเตอร์ ช่วงระหว่างขึ้นเปลี่ยนปีการศึกษาใหม่ เขาจะส่งเด็กไปฝึกงานแต่ละที่ ซึ่งในส่วนของการเลือกบริษัทนั้นขึ้นอยู่กับว่า เราอยากทำที่ไหน(และเค้ารับเราด้วย) หรือถ้าไม่มีในใจก็ให้มหาลัยส่งไป
แมมสนใจอยากเข้าฝึกงานที่ Dale Carnegie เพราะเคยเรียน Human Resource กับเทรนเนอร์จากสถาบันนี้ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้แมมรู้สึกว่า คนที่ทำงานนี้ จะต้องอบอุ่นและเข้าใจซึ่งกันและกันแน่เลย และอะไรหลายๆ อย่างที่แมมคิดว่าเราเข้ากับเค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง ตำแหน่งที่แมมอยากสมัครนั่นก็คือ Digital Marketing ทัศนคติของบริษัท ที่ต้องการพัฒนาคน Soft Skill รวมไปถึงการใช้จิตวิทยาในการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวจิตใจ และเข้าถึงเพื่อกระตุ้นการปรับปรุง เลยทำให้คิดว่าที่นี่แหละ คือที่ที่เราจะไปฝึกงาน ถึงแม้จะรู้ว่าการเดินทางจะหฤหรรษ์มาก 😂
Dale Carnegie ตั้งอยู่ที่ตึก Athenee Tower ชั้น 5 ค่ะ เป็นตึกที่สวยสมกับตึกรับแขกการประชุมสุดยอดอาเซียนเลย การเดินทางก็ง่ายๆค่ะ กระโดดขึ้น BTS เพลินจิตมา แต่แมมอยู่แจ้งวัฒนะมันก็เลยจะ 😭 นิดนึง
ภายในสถานที่ทำงานเป็นกึ่งๆ Living Office ปนๆ กันไป อุปกรณ์ข้าวของทุกอย่างเพิ่งจะ renovate ใหม่เมื่อปีที่แล้ว ทุกอย่างก็จะดูสวยสะอาดตา เก็บข้าวของเป็นที่เรียบร้อย เวลาจะใช้อะไรก็หาง่าย ห้องด้านในเป็นทั้งห้องประชุม และห้องเทรนนิ่ง ซึ่งปกติแล้วก็จะใช้เป็นที่ทานอาหารกลางวันด้วย ก็นั่งเล่นนอนเล่นบีนแบค
อีกอย่างหนึ่ง เจ้าของที่นี่เป็นคนคิดถึงคนอื่นมากค่ะ เวลาเลือกซื้อของอะไรก็จะหาของดีๆ มาให้ เก้าอี้ที่ต้องสั่งประกอบใหม่ให้เข้าสรีระ โต๊ะน้ำหนักเบาที่ไว้ใช้เคลื่อนย้ายเข้าออกได้สะดวก โซนกาแฟก็จัดเตรียมไว้ให้ไม่มีขาด มีโปรเจคอยากจะทำ YouTube ก็ไปซื้อกล้องวีดีโออย่างดีมาให้ ทั้งยังมีขนมแจกให้กินทั้งบริษัทที่มีกันอยู่ 6 คน เดือนละ 2,000 อีก หนำซ้ำยังชอบพาคนในที่ทำงานออกไปเลี้ยงอาหารโรงแรมหัวเป็นพันๆ หรือในแต่ละเดือนก็จะมี คือที่นี่บอกเลยว่า สวัสดิการดีจริงๆ 💕
สำหรับงานที่แมมกับเพื่อน 4 คนอินเทิร์นได้รับ 2 เดือน ก็คือ โปรเจค 2 อย่าง อย่างแรกคือ การจัดอีเว้นท์ AI: Preparing People for Human-Machine Partnership for the Future ที่จัดขึ้นและสำเร็จไปได้ด้วยดีแล้วที่ Athenee Hotel
งานที่แมมได้ลงมือทำ คือการโทรชวนลูกค้าที่เป็นระดับผู้บริหาร ทำสื่อ ภาพโปสเตอร์ หาของชำร่วย ออกแบบและจัดซื้อถุงผ้า และงานในส่วนรายละเอียดอื่นๆ
สำหรับการทำงานนี้ แมมรู้สึกว่าถึงแม้เขาจะสั่งให้เด็กอินเทิร์นเป็นคนทำ เขาก็ไม่ได้ปล่อยเราลอยแพ หรือกีดกั้นความคิดของเราเลย เพราะเขาจะช่วยคอยสนับสนุนเราตลอด แม้กระทั่งงานก่อนวันจริงเขาก็อยู่จนดึก เพื่อช่วยตรวจสอบว่างานเรียบร้อยดี โดยไม่เกี่ยงว่านี่เป็นงานของเด็กฝึกงานที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งแมมรู้สึกว่า เค้าให้เกียรติการทำงาน ใส่ใจ และดูแลเราดีมากๆ
อีกเรื่องนึงที่ประทับใจ ก็คือ การที่เขาจัดเราเป็น Priority ที่นั่งแรกๆ ในการทานบุฟเฟ่ต์อาหารกลางวันภายใจงาน ซึ่งปกติแล้ว บริษัทอื่นก็จะไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดความรู้สึกของลูกน้องแบบนี้ ยิ่งโดยเฉพาะการที่เราเป็นแค่เด็กฝึกงาน
ส่วน project ที่ 2 คือการทำ marketing เจาะกลุ่มตลาดวัยรุ่น เพื่อเปิดคอร์ส Dale Carnegie แบบวัยรุ่นขึ้น ในจุดนี้พวกเราก็นั่งวางแผนกัน บางจุดที่รั่วไหลก็มีพี่ๆคอยช่วยเติมแนะให้ ซึ่งตรงนี้ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก เพราะบางสิ่งที่เรียนมาจากในห้องเรียนก็สามารถที่เอามาใช้ได้จริง แล้วก็ค่อนข้างเปิดกว้างทางความคิด ให้อิสระในการตัดสินใจแต่ต้องมีเหตุผลและ KPI มารองรับงานที่เราทำก็จะเป็นในส่วนของสื่อ ทำโฆษณา ทำรีวิว แล้วก็ออกบูธ
10 สิ่งที่ชอบของที่นี่
มีหลายอย่างมากค่ะ ทั้งตัวสถานที่ วัฒนธรรม คนในองค์กร หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ของบริษัท ที่พยายามจะเสริมสร้างคนเราให้ดีขึ้น แล้วก็การที่เขาปฏิบัติกับเราเทียบเท่าพนักงาน ให้สวัสดิการที่ดีเหมือนกัน รวมไปถึงความใจกว้างต่างๆ ที่แสดงออกมาให้เห็นเรื่อยๆ เช่น
1. Starbuck Insight
จะเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้คุยกับเจ้าของเป็นการส่วนตัวเลยประมาณชั่วโมงนึง ที่สตาร์บัคฝ.ชั้น G เขาก็จะเลี้ยงน้ำแล้วแก้วนึง สั่งได้โล้ด
อย่างวันนั้นเป็นวันที่ซื้อ 1 แถม 1 คนเยอะ เขาก็เลยเปลี่ยนร้านให้ไปกินที่ coffee club แทน รู้สึกใจป๋ามาก55555555555
แมมรู้สึกว่าการทำแบบนี้มันเป็นการใส่ใจลูกน้องมากๆ เลย ลองมานั่งคิดว่าลูกน้องมีอยู่ 10 กว่าคน นั่งฟังคนละชั่วโมงๆ รับฟัง และให้คำแนะนำอย่างจริงใจ มันเป็นอะไรที่กินใจมากๆ เป็นอีกครั้งที่มันรู้สึกว่า การปฏิบัติที่พิเศษที่แม้กระทั่งเด็กฝึกงานก็ยังได้รับ เค้าได้ใจเราไปแล้ว
2. เข้าออกงานเมื่อไหร่ก็ได้ให้ครบ 9 ชั่วโมง
เป็นอะไรที่ตอบโจทย์คนเดินทางไกลแบบเรามาก เพราะถ้าเข้างาน 08:00 น. เลิกงาน 5:00 น ก็ต้องไปแย่งรถติดแหงกกันอยู่ที่ท่ารถตู้ ป้ายรถเมล์ ทำแบบนี้มันจะได้ออกแบบการใช้ชีวิตบนรถให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
3. จัดระบบ Buddy
หลังจากที่ทำงานไป 1 สัปดาห์ พี่ๆเขาก็จับคู่กับน้องๆ เพื่อให้เป็นโค้ชส่วนตัว และเพื่อนสนิทต่างวัยในที่ทำงาน ซึ่งมันจะช่วยทำให้เราเปิดใจ ที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ผ่านคนที่เราไว้ใจ และคอยสังเกตเราอยู่ตลอด 😁
4. พาไปเลี้ยงอยู่บ่อยๆ
ที่นี่เจ้าของเขาเป็นคนใจดี เวลาพาพนักงานไปกิน ก็จะพาเด็กฝึกงานไปด้วย แล้วก็จะเลือกร้านดีๆ อยู่เสมอ ชอบมีโอกาสให้ไป เช่น วันแรกที่ฝึกงาน ก็ได้ไปกิน Hide and Seek วันที่รู้สึกแฮปปี้ๆ ก็จะสั่งพิซซ่ามากิน วันที่จัดงาน AI ก็เลี้ยงบุฟเฟ่ต์ Athenee Hotel วันจบฝึกงาน ก็พาไปเลี้ยงที่ Goji คือ คนในออฟฟิศยังบอกเลยว่ามาอยู่ที่นี่ไม่เท่าไหร่ก็น้ำหนักขึ้นเป็นโลๆ ทุกสัปดาห์ 😂
5. ได้รับการโค้ชอยู่เสมอๆ
พี่ๆ ในที่ทำงานจะมี feedback ให้กับสิ่งที่เราทำอยู่เสมอ มีทั้งการชื่นชม และการโค้ช ที่ไม่ใช่การบ่นหรือว่า แต่เป็นการสอนให้คิด เปิดใจให้เราเรียนสิ่งใหม่ๆ ที่นี่เขาจะมีวัฒนธรรมองค์กรให้มีความจริงใจซึ่งกันและกัน รักกัน และช่วยเหลือแบ่งปันกัน วิธีการพูดของเขาจะไม่ทำร้ายจิตใจ แต่จะเป็นการใช้หลักจิตวิทยาให้เรารู้สึกว่า มันควรจะเปลี่ยนไปในทางทิศทางไหน และใช้ความคิดของเราวิเคราะห์มันออกมา รู้สึกว่าการอยู่ที่นี่ได้เรียนและเติบโตขึ้นทุกวัน
6. การปฏิบัติกับเราที่เหมือนพนักงานจริง
เริ่มวันแรกก็พาเราไปทำบัตร เข้าออกได้ตามสะดวก ไม่มีเอกกสารไหนที่มีการปิดบังกัน เวลาเราถามเขาก็จะตอบตลอด ยังมีตอนนึงที่แมมเข้าประชุม เขาก็สรุปวาระการเงินของทั้งปี รายรับ รายจ่าย ค่าเงินออกมาเลย หรือยังตอนนั้น ที่แมมได้เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกการประชุมเพื่อคัดเลือกบริษัท Marketing เขาก็ถามความคิดเห็นของเรา และนำเสียงของเราไปพิจารณา โดยไม่คำนึงว่าเราเป็นเพียงแค่เด็กฝึกงานคนนึง
7. ได้เข้าร่วมการสอนของ Dale Carnegie
ครั้งแรกที่ไปคือไปช่วย CSR ที่โรงเรียนพระดาบส ที่นี่เขาจะสอนทางโรงเรียนให้ฟรี แล้วเราก็ได้ไปเป็นผู้สังเกตการณ์ ซึ่งก็ทำให้เห็นและเข้าใจ ถึงบริการที่เดลเป็นคนให้มากขึ้น รวมไปถึงบางครั้งที่เขาให้เราไปดูการสอนของบริษัทต่างๆ อย่างของแมมเอง ก็ได้ไปดูของ Nestle เลยมีโอกาสได้ไปดูบริษัทอื่นๆ ด้วย ซึ่งมันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีอีกอย่างหนึ่งเลย
8. ให้เราได้เรียนคอร์ส High Impact Presentation ซึ่งปกติราคาหลักหมื่น ฟรี
ตอนแรกที่รู้คือดีใจมาก มีความรู้สึกเกรงใจปนสงสัยถึงความใจกว้างนี้ เขาไม่ได้ให้เรามาฝึกงานเพื่อเอาประสบการณ์แค่นั้น แต่ยังพยายามจะสร้างเราให้ดีขึ้นกว่าเดิม
คอร์สนี้เป็นคอร์สที่จะทำให้แมมได้ประโยชน์ในหลายๆอย่างมาก ทั้งในเรื่องการเรียน หรือการสัมภาษณ์งานในอนาคต เป็นคอร์ส 2 วันที่แม่ไม่อยากเชื่อว่ามันจะทำให้มันเปลี่ยนได้จริงๆ หลังจากที่ตัวเองได้ดูวีดีโอคลิปที่ 1 กับคลิปที่ 6 ก็เห็นชัดได้ถึงความต่างที่ดีขึ้นมาก และถ้ามีโอกาส ก็ว่าจะทำรีวิวตัวนี้แยกออกมาต่างหากค่ะ 😁
9. พาเราไปเที่ยวก่อนจบฝึกงานที่เขาใหญ่ 3 วัน 2 คืน
ณ จุดๆ นี้คือพูดไม่ออกจริงๆ รู้สึกว่าการที่เขาไม่ให้เราไปดูเป็นเรื่องปกติกว่าด้วยซ้ำ เพราะพอให้ไปแล้วมันรู้สึกว่าทำไมตัวเองเป็นคนที่โชคดีขนาดนี้ ถึงได้มาเลือก็ที่นี่และเข้ามาถูกเวลาช่วงเที่ยวประจำปีของบริษัทพอดี
ที่ๆ เราไปพักกันอยู่ที่ปากช่อง ชื่อ Thame Valley เป็นรีสอร์ทที่สวยมากกกกกกๆๆๆ แบบสไตล์อังกฤษ พูดแบบนี้ก็น่าจะรู้แล้วถึงความใจป๋าของ MD 555555555555
ชุดนี้บันทึกพักผ่อนที่แท้ทรู เพราะตื่นเมื่อไหร่ก็ได้ เจอกัน 11 โมง เที่ยวกัน กินต่อ เที่ยวอีกนิก ป้ะ กิน นอนกัน
....
ชิวมากกกกกกกกกกกก ขอตั้งให้เป็นทริปที่ชิวสุดๆ ในสามโลก
แอบอยากจะนับเป็นประสบการณ์หนึ่งของชีวิตเลย55555555555 ที่นี่เขาก็จะมี concept ให้แต่งตัวเป็นผู้ดีอังกฤษแบบสไตล์ 50s แล้วก็มาแข่งประกวดกัน ซึ่งคนชนะก็แน่นอนเป็นพี่เลี้ยงของเราเอง นางแต่งเป็น มาริลีน มอนโร 😂
10. วันสุดท้ายกับการอำลาที่น่าประทับใจ
เปิดตัวมาสวยตลอดกับการทำงานที่นี่ และตบท้ายกับความสุขที่รู้สึกปลื้มปริ่มและตื้นตันกับ 1 ชม. สุดท้ายหลังการกินเลี้ยงที่ Goji พี่ๆทุกคนในทีมก็จะพูดถึงน้องแต่ละคนคนละ 2-3 นาทีถึงความในใจความรู้สึกที่เขามีต่อน้องแต่ละคนนั้นๆ เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างใช้เวลามาก แต่เรากลับรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็ว เพราะการกระทำทั้งหมดนั้นมันมาจากความจริงใจ เราฟังและรับความรู้สึกของเขา ยิ้มไปจนแก้มปริ พระหลังจากจบพัดของเราเราก็จะพูดถึงทุกคนรวมๆ ทีละคน ส่วนแมมเองก็แอบทำการ์ดเขียนถึงแต่ละคน มอบให้เป็นของขวัญทำมือเนื่องในโอกาสจากลานี้
ท้ายนี้ แมมอยากบอกว่า การฝึกงานที่นี่ทำให้มันได้รู้โลกกว้างขึ้นเยอะ ได้รู้ว่าการทำงานออฟฟิศเป็นแบบไหน ได้รู้ว่าถ้าเราอยู่ในองค์กรที่ดีเราก็จะรู้สึกดี และอยากทำงานต่อไปในแต่ละวัน รวมไปถึงการเรียนรู้ที่จะเป็นหัวหน้าที่ดี สร้างวัฒนธรรมที่ใช่ให้กับลูกน้อง เพื่อที่ว่าคนในทีมของเรา จะมีความขยันและทุ่มเทกับองค์กรเป็นอย่างไร
หวังว่ารีวิวนี้อาจจะเป็นข้อมูลเล็กๆ ที่จะทำให้รู้จักบริษัทนี้มากขึ้น หรือเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนออกมาเล่า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น