สวัสดีค่าาาา ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นหน่อยว่านี่เป็นกระทู้แรกของเรา...
หลังจากแอบซุ่มอยู่ในพันทิปมานาน ได้ข้อมูลและความรู้ต่างๆ จากในนี้มามาก
ถึงวันนี้ได้กลับมาตอบแทนพระคุณ ? ทุกท่านด้วยการมาแชร์ข้อมูลที่ (เผื่อ) จะเป็นประโยชน์สำหรับคนไทยในเกาหลีคนอื่นๆ ได้บ้างนะคะ ^^
เนื่องจากตัวเราเองพึ่งแต่งงานกับโอป้าเมื่อปี 2019 และได้รับวีซ่าแต่งงาน (F-6) หลังจากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่เกาหลีแบบ(น่าจะ)ถาวร พอมาอยู่เกาหลีก็มีชวนโอป้าไปเที่ยวในประเทศบ้าง ไปไทยบ้าง (โอป้าชอบประเทศไทยมาก หาเรื่องไปตลอด 55) หรือแม้กระทั่งมีแว๊บไปเที่ยวญี่ปุ่นประเทศคู่แค้นแสนรักที่อยู่ใกล้ๆ กับเกาหลีบ้าง แต่ก่อนแต่งงานเราก็ไปญี่ปุ่นหรือประเทศในแถบเอเชียมาเยอะแล้ว อยากออกไปทวีปอื่นดูบ้าง วันหนึ่งนั่งดูยูทูปกับโอป้าแล้วเห็นยูทูปเบอร์ชาวเกาหลีเค้าไปเที่ยวฮาวายแล้วขาเที่ยวอย่างเราสองคนก็ตื่นเต้นตามไปด้วย จังหวะที่หันไปสบตากับโอป้านางก็พูดขึ้นมาว่า ‘อะโลฮ่า~’ โอป้าอยากไปฮาวาย ไปกันมั้ย ? จองตั๋วกันๆๆ ในใจคือดีใจมาก เพราะเราก็อยากไปเหมือนกัน แต่เดี๋ยววววว เดี๋ยวก่อน เหมือนโอป้าจะยังไม่รู้ว่าภรรยาชาวไทยตาดำๆคนนี้ ไม่สามารถซื้อตั๋วแล้วบินไปฮาวายได้ทันทีเหมือนคนเกาหลีแบบเธอ~~~ ก็เลยบอกโอป้าว่า ไม่ต้องห่วงทริปฮาวายของเราจะไม่ล่ม ชั้นจะทำวีซ่าให้ได้ !!!
เริ่มจากหาข้อมูลในพันทิปเจอกระทู้นึงสอนวิธีกรอกแบบฟอร์ม DS-160 ได้ละเอียดมาก >>
วิธีกรอก DS-160 กราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ^^
( ตอนกรอกแบบฟอร์มให้เลือกสถานที่สัมภาษณ์ที่ โซล, เกาหลีใต้ )
.....อ้อ ลืมบอกไปว่าคนไทยที่สามารถขอวีซ่าเมกาในเกาหลีได้ต้องเป็นผู้ที่มีวีซ่าระยะยาวของเกาหลีอยู่แล้ว เช่น วีซ่านักเรียน, วีซ่าแต่งงาน หรือวีซ่าทำงาน เป็นต้น (วีซ่าท่องเที่ยวไม่ได้นะคะ) ตอนที่เราสมัครขอวีซ่า ค่าธรรมเนียมอยู่ที่192,000₩ สามารถใช้แอพโอนเงินของธนาคารเกาหลีจ่ายได้เลยค่ะ หลังจากกรอกแบบฟอร์มและทำการชำระเงินเรียบร้อยแล้วจะได้อีเมลตอบกลับจากสถานทูตมาแบบนี้
**เราปริ้นส์ใบนี้ไปเผื่อด้วยในวันสัมภาษณ์**
จากนั้นเข้าสู่ระบบและทำการเลือกวัน-เวลาที่ต้องการไปสัมภาษณ์ค่ะ หลังจากเลือกวัน และเวลาที่ต้องการแล้ว กดยืนยันและจะได้อีเมลยืนยันการจองวันนัดสัมภาษณ์มาอีกค่ะ (สามารถเข้าไปเปลี่ยนวันสัมภาษณ์ได้ จำนวนครั้งจำไม่ได้ น่าจะได้อีก 2 ครั้งหลังจากกดยืนยันไปแล้ว)
ให้ปริ้นส์ใบนี้ไปด้วยในวันสัมภาษณ์นะคะ***สำคัญ
มาถึงวันสัมภาษณ์
เราเลือกเวลาไว้ตอน 8 โมงครึ่ง แต่ไปถึงสถานทูตตอน 7โมงครึ่ง (ตื่นเต้น เพราะกลัวไปผิด 55) สถานทูตเมกาอยู่ใกล้กับพระราชวังคยองบุกกุง ถ้าไปรถไฟใต้ดินให้ขึ้นสายสีม่วง(หมายเลข5) ไปลงสถานี กวังฮวามุน (광화문역) แล้วไปออกที่ทางออกหมายเลข 2 เดินตรงไปต่ออีกนิดเดียว จะเจอสถานทูตอยู่ขวามือ เราเห็นมีประตูทางเข้าด้านหน้าก็เลยลองไปผลักๆ ดู เอ้า เปิดไม่ได้ สักพักมีคุณ รปภ. ของสถานทูตชาวเกาหลีแกบอก ‘이쪽 아닙니다!! ‘(ไม่ใช่ทางนี้ครับ!!) เราก็เหวอ คนเกาหลีอีกสองสามคนที่กำลังจะเดินตามเราเข้าไปต่างก็เหวอกันหมด 55 สุดท้ายคุณลุงแกก็บอกว่า ให้เดินเข้าซอยเลียบกำแพงของสถานทูตไปจะเจอทางเข้า เรากับคนเกาหลีก็เดินๆ ไปตามที่แกบอก เลียบกำแพงเข้าไปไม่ถึง 100เมตรก็เจอทางเข้า ที่มีคนมาต่อคิวรออยู่แล้วประมาณ 10 กว่าคน เราก็เดินไปต่อคิวกับเค้า
**จากแผนที่ให้เดินออกจากทางออกที่ 2 ตรงไปเจอซอยข้างสถานทูตแล้วให้เลี้ยวขวาเข้าไป
เอกสารที่เตรียมมา
-มีใบยืนยันการสมัครขอวีซ่า, ใบยืนยันการนัดสัมภาษณ์ (สองอย่างนี้ได้มาจากอีเมลของสถานทูต)
-รูปถ่ายพื้นหลังสีขาวรูปเดียวกับที่อัพใส่แบบฟอร์ม DS-160 ที่เตรียมมา (แต่จริงๆไม่ได้ใช้เลย งื้อออ)
-พาสปอร์ตเล่มปัจจุบันที่มีอายุเหลือมากกว่า6เดือน และเล่มเก่าอีก 1 เล่ม (เผื่อเค้าขอดูประวัติการเดินทางประเทศอื่นๆ)
-เอกสารส่วนตัวที่เตรียมไปประกอบการสัมภาษณ์ อาทิ ใบทะเบียนสมรสเกาหลี ใบทะเบียนบ้านเกาหลี เอกสารรับรองการทำงานของสามี (เนื่องจากเราไม่ได้ทำงาน) สเตทเม้นของสามี สรุปเอกสารที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ของสามีล้วนๆจ้า ^o^
พอถึงคิวเราก็เจอกับ จนท. ชาวเกาหลี แกขอตรวจดูซองเอกสารว่าเราเอาอะไรไปบ้าง จากนั้นให้บัตรผู้มาติดต่อสถานทูตกับเราในนั้นมีหมายเลขด้วย เวลาฝากของๆเราก็จะถูกเก็บไว้ในช่องหมายเลขเดียวกับในบัตรนี้
พอเข้ามาด้านใน ก็เจอกับจุดตรวจสัมภาระ มีเครื่องเอกซเรย์ต่างๆ ถึงจุดนี้เราต้องฝากกระเป๋า โทรศัพท์มือถือ ( ได้แค่1 เครื่องนะคะ) เราทำการบ้านมาเยอะ เลยไม่ได้พกอะไรมามาก มีแค่กระเป๋าสะพายเล็กๆ 1 ใบ แล้วก็ซองเอกสารเท่านั้น อ้อ อย่าลืมพกปากกาไปเผื่อจดเลข tracking ด้วยนะคะ พอผ่านจุดเอกซเรย์แล้ว ก็ขึ้นบันไดไปที่ชั้น 2 ในใจแบบตื่นเต้น ฉันจะได้สัมภาษณ์แล้วๆๆๆ พอขึ้นไปถึงชั้น 2 อ้าว ยังมีคนต่อคิวอยู่อีก 3จุด จุดแรกเค้าจะให้เลข tracking กับเรามาในกรณีที่เราเลือกส่งพาสปอร์ตไปที่บ้าน เราก็จดค่ะ จดใส่กระดาษที่เหลือๆ ในซองเอกสารนั้น ตรงนี้ใช้เวลาไม่นานมาก 1 นาทีเสร็จ ไปต่อค่ะ จุดที่ 2 คนเยอะมากกก อยู่ในคิวนั้นประมาณ 1 ชม ได้ - -“ ระหว่างที่ต่อคิวก็ชะเง้อมองหนุ่มๆ โอป้าทั้งหลายที่มาขอวีซ่า... งานดีจริงๆ เอ๊ย มาขอวีกันเยอะจริงๆ 5555 แล้วก็ชะเง้อไปดูจุดที่ 3 ที่เป็นจุดสัมภาษณ์ด้วยว่ามีคนผ่านเยอะมั้ย (ดูจากการเก็บ-คืน พาสปอร์ต) ตอนนั้นเป็นเวลา 9 โมงแล้ว เราก็ทั้งหิวทั้งง่วง เมื่อไหร่จะถึงคิวดิชั้นสักที มือถือก็ไม่มีให้เล่นฆ่า พอใกล้ๆ ถึงคิวเราถึงรู้ว่า อ่ออ !! จุดที่ 2 คือจุดที่ต้องถ่ายรูปและสแกนนิ้วมือนี่เอง พอถึงคิวเรา จนท. ผู้หญิงชาวเกาหลีก็ถามเราว่าพูดภาษาเกาหลีได้มั้ย? เราตอบทันทีว่า ‘ได้ค่ะ’ จากนั้นเค้าก็ถามว่า ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาคุณได้ไปประเทศจีนมามั้ย ? ( ช่วงที่เราไปขอวีซ่าคือเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ที่เป็นช่วงไวรัสโคโรน่ากำลังระบาดหนักที่จีนแต่ที่เกาหลีตอนนั้นยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 400กว่าคน) เราก็ตอบว่าไม่ค่ะ จากนั้นก็ถ่ายรูป , สแกนนิ้ว จนท. ก็บอกให้ไปจุดต่อไปได้ ถ้าขอวีซ่าท่องเที่ยวจะให้ไปอีกฝั่ง ถ้าเป็นวีซ่าอพยพย้ายถิ่นฐานหรือวีซ่านักเรียนต่างๆ จะให้ไปอีกทาง เห็นทางนั้นมีคนเกาหลีไปต่อคิวเยอะอยู่เหมือนกัน
ตัดมาที่ฝั่งของเรา จุดที่ 3 นี้มีคนรอสัมภาษณ์อยู่ประมาณ 7-8 คน มี จนท. สัมภาษณ์อยู่ทั้งหมด 5 ช่อง เป็นคนอเมริกันทั้งหมดเราก็ยืนดูว่าช่องไหนผ่านง่าย ผ่านยาก แต่เอาจริงๆ เราเลือกไม่ได้หรอกนะคะว่าอยากสัมภาษณ์กับคนไหนแล้วแต่คิวมันจะรันไปเรื่อยๆให้เอง คนเกาหลีไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษกันเยอะ ในนั้นจะมีล่ามเป็นอาจุมม่าชาวเกาหลีคอยช่วยแปลให้ด้วย พอถึงคิวเราเจอ จนท. ผู้หญิงหน้าตาดูไม่ได้ดุแต่ก็ไม่ได้ดูใจดีซะทีเดียว - -“
บทสัมภาษณ์ (ภาษาอังกฤษ)
เรา : สวัสดีค่ะ (ยื่นพาสปอร์ตให้)
จนท : สวัสดี คุณชื่อ.... ใช่มั้ย?
เรา : ใช่ค่ะ
จนท. :ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนเกาหลีของคุณได้มั้ย?
เรา: ได้ค่ะ (ยื่นบัตรตัวจริงให้)
จนท. : (พลิกดูวันหมดอายุของบัตรที่ด้านหลัง) คุณแต่งงานกับชาวเกาหลี?
เรา: ใช่ค่ะ (ยิ้ม^^)
จนท. เปิดดูข้อมูลที่เรากรอกแบบฟอร์มทางออนไลน์ไว้แล้วก็เริ่มเปิดคำถาม...
จนท. : คุณจะไปเที่ยวที่ไหนใน USA?
เรา: ฮาวายค่ะ
จนท. : ไปกับใครและไปกี่วัน?
เรา : ไปกับสามีและเพื่อนๆ ของสามี ประมาณ 5 วันค่ะ (ตอบตามที่กรอกเป้ะๆ)
จนท. : คุณไม่ได้ทำงานแล้วสามีของคุณทำงานอะไร?
เรา: ทำงานบริษัทเกี่ยวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในเครือของ LG ค่ะ (ยื่นใบรับรองการทำงานฉบับภาษาอังกฤษของโอป้าให้ไป)
จนท. (หยิบไปอ่านแล้วแล้วพยักหน้า) นอกจากเกาหลีและไทย คุณเคยไปเที่ยวประเทศไหนมาบ้างแล้ว?
เรา: เคยไปสิงคโปร์ มาเลเชีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง แล้วก็ญี่ปุ่นค่ะ (อันนี้ก็ตอบตามข้อมูลที่กรอกออนไลน์ไว้เช่นกัน)
จนท. ฟังและดูข้อมูลในคอมไปด้วยว่าเราตอบตรงกันมั้ย จากนั้นก็หันมายิ้มให้แล้วบอกว่า ‘เราจะจัดส่งพาสปอร์ตไปให้คุณที่บ้าน’ พร้อมกับเก็บพาสปอร์ตของเราไป เย้ ~!! (สรุปเอกสารอื่นๆที่เตรียมมา ไม่ได้ใช้เลยจ้า)
จากนั้นเราก็ลงไปรับของคืนที่ชั้น 1 พอได้ของคืนเปิดมือถือดู สามีทัก KakaoTalk มาถามว่า เสร็จรึยัง ? เป็นยังไงบ้าง? สงสัยกลัวทริปฮาวายจะล่ม ฮ่าๆ พอกลับมาบ้านอีกวัน (วันเสาร์) ก็มีคนมาส่งของให้เราบอกขอดูบัตร ปชช ก่อนด้วยเราก็เอ๊ะ แปลกใจ ปกติคนส่งของเกาหลีเค้าก็แค่วางของไว้หน้าบ้านแล้วไปนี่นา พอรับของมาหน้าซองเขียนว่าจากสถานทูตเมกาเท่านั้นละ เห้ยยย ไวไปมั้ย พึ่งทำเมื่อวานตอนเช้า อีกวันพาสปอร์ตมาส่งที่บ้านละ ? โอป้าก็ถามอะไรหรอ มันคืออะไรหรอ?? พอบอกพาสปอร์ตชั้นเองล่ะ นางก็บอกเปิดดูๆ คือลุ้นกันมากว่าจะได้กี่ปี แกะซองไปมือสั่นไปทางสถานทูตแปะวีซ่ามาให้กลางเล่มของพาสปอร์ตเป้ะๆ ในนั้นเขียนวันหมดอายุของวีซ่าคือปี 2030 หื้มมม ได้มา 10 ปีเลยจ้า >< !!
สุดท้ายนี้ คิดว่าที่เราได้วี 10 ปีมาทั้งๆที่เราไม่ได้ทำงานอะไร ส่วนใหญ่ต้องยกเครดิตให้กับสามี เพราะเราใช้เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสามีล้วนๆ และอาจจะเป็นเพราะประวัติการเดินทางครั้งก่อนในประเทศอื่นๆของเราด้วย รวมถึงความสัมพันธ์ที่ดีของสหรัฐอเมริกาและประเทศเกาหลีใต้ที่เค้ามีกันมาตั้งแต่สมัยสงครามเกาหลีแล้ว (ใครเคยอ่านเรื่องสงครามเกาหลีคงจะทราบดี) และการที่ได้มาแต่งงานกับคนเกาหลีก็ถือว่าได้เพิ่มเครดิตไปในตัวด้วย เพราะอย่างน้อยเค้าก็ไม่กลัวว่าเราจะโดดไปทำงานที่นั่นแน่นอน ? [ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ 55] ส่วนแม่บ้านเกาหลีคนไหนที่เคยไปขอวีฝั่งเชงเก้นมารบกวนมาแชร์เป็นความรู้ทีนะคะ ^^
สุดท้ายจริงๆ ละ ><
เราไปขอวีตอนเดือน กุมภาพันธ์ กำหนดเดินทางไปฮาวายคือเดือนเมษายนปีเดียวกัน แต่เพราะโควิด ทำให้ชีวิตเราสะดุด สุดท้ายทริปอะโลฮ่าฮาวายของเราก็ล่มอยู่ดี ㅠ_ㅠ
สามีมีความมาปลอบใจว่าไม่เป็นไรนะ วีซ่าของเธอมีอายุตั้ง 10 ปี ถึงไปปี 2025 ก็ยังไม่สาย.... (เดี๋ยวนะ นานไปไหม )
#ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ #คัมซาฮัมนีดา~
#แม่บ้านเกาหลี2020
แชร์ประสบการณ์ขอวีซ่าเมกาที่เกาหลีใต้ (แม่บ้านไทยในเกาหลี)
**เราปริ้นส์ใบนี้ไปเผื่อด้วยในวันสัมภาษณ์**
จากนั้นเข้าสู่ระบบและทำการเลือกวัน-เวลาที่ต้องการไปสัมภาษณ์ค่ะ หลังจากเลือกวัน และเวลาที่ต้องการแล้ว กดยืนยันและจะได้อีเมลยืนยันการจองวันนัดสัมภาษณ์มาอีกค่ะ (สามารถเข้าไปเปลี่ยนวันสัมภาษณ์ได้ จำนวนครั้งจำไม่ได้ น่าจะได้อีก 2 ครั้งหลังจากกดยืนยันไปแล้ว)
ให้ปริ้นส์ใบนี้ไปด้วยในวันสัมภาษณ์นะคะ***สำคัญ
มาถึงวันสัมภาษณ์
เราเลือกเวลาไว้ตอน 8 โมงครึ่ง แต่ไปถึงสถานทูตตอน 7โมงครึ่ง (ตื่นเต้น เพราะกลัวไปผิด 55) สถานทูตเมกาอยู่ใกล้กับพระราชวังคยองบุกกุง ถ้าไปรถไฟใต้ดินให้ขึ้นสายสีม่วง(หมายเลข5) ไปลงสถานี กวังฮวามุน (광화문역) แล้วไปออกที่ทางออกหมายเลข 2 เดินตรงไปต่ออีกนิดเดียว จะเจอสถานทูตอยู่ขวามือ เราเห็นมีประตูทางเข้าด้านหน้าก็เลยลองไปผลักๆ ดู เอ้า เปิดไม่ได้ สักพักมีคุณ รปภ. ของสถานทูตชาวเกาหลีแกบอก ‘이쪽 아닙니다!! ‘(ไม่ใช่ทางนี้ครับ!!) เราก็เหวอ คนเกาหลีอีกสองสามคนที่กำลังจะเดินตามเราเข้าไปต่างก็เหวอกันหมด 55 สุดท้ายคุณลุงแกก็บอกว่า ให้เดินเข้าซอยเลียบกำแพงของสถานทูตไปจะเจอทางเข้า เรากับคนเกาหลีก็เดินๆ ไปตามที่แกบอก เลียบกำแพงเข้าไปไม่ถึง 100เมตรก็เจอทางเข้า ที่มีคนมาต่อคิวรออยู่แล้วประมาณ 10 กว่าคน เราก็เดินไปต่อคิวกับเค้า
**จากแผนที่ให้เดินออกจากทางออกที่ 2 ตรงไปเจอซอยข้างสถานทูตแล้วให้เลี้ยวขวาเข้าไป
เอกสารที่เตรียมมา
-มีใบยืนยันการสมัครขอวีซ่า, ใบยืนยันการนัดสัมภาษณ์ (สองอย่างนี้ได้มาจากอีเมลของสถานทูต)
-รูปถ่ายพื้นหลังสีขาวรูปเดียวกับที่อัพใส่แบบฟอร์ม DS-160 ที่เตรียมมา (แต่จริงๆไม่ได้ใช้เลย งื้อออ)
-พาสปอร์ตเล่มปัจจุบันที่มีอายุเหลือมากกว่า6เดือน และเล่มเก่าอีก 1 เล่ม (เผื่อเค้าขอดูประวัติการเดินทางประเทศอื่นๆ)
-เอกสารส่วนตัวที่เตรียมไปประกอบการสัมภาษณ์ อาทิ ใบทะเบียนสมรสเกาหลี ใบทะเบียนบ้านเกาหลี เอกสารรับรองการทำงานของสามี (เนื่องจากเราไม่ได้ทำงาน) สเตทเม้นของสามี สรุปเอกสารที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ของสามีล้วนๆจ้า ^o^
พอถึงคิวเราก็เจอกับ จนท. ชาวเกาหลี แกขอตรวจดูซองเอกสารว่าเราเอาอะไรไปบ้าง จากนั้นให้บัตรผู้มาติดต่อสถานทูตกับเราในนั้นมีหมายเลขด้วย เวลาฝากของๆเราก็จะถูกเก็บไว้ในช่องหมายเลขเดียวกับในบัตรนี้
พอเข้ามาด้านใน ก็เจอกับจุดตรวจสัมภาระ มีเครื่องเอกซเรย์ต่างๆ ถึงจุดนี้เราต้องฝากกระเป๋า โทรศัพท์มือถือ ( ได้แค่1 เครื่องนะคะ) เราทำการบ้านมาเยอะ เลยไม่ได้พกอะไรมามาก มีแค่กระเป๋าสะพายเล็กๆ 1 ใบ แล้วก็ซองเอกสารเท่านั้น อ้อ อย่าลืมพกปากกาไปเผื่อจดเลข tracking ด้วยนะคะ พอผ่านจุดเอกซเรย์แล้ว ก็ขึ้นบันไดไปที่ชั้น 2 ในใจแบบตื่นเต้น ฉันจะได้สัมภาษณ์แล้วๆๆๆ พอขึ้นไปถึงชั้น 2 อ้าว ยังมีคนต่อคิวอยู่อีก 3จุด จุดแรกเค้าจะให้เลข tracking กับเรามาในกรณีที่เราเลือกส่งพาสปอร์ตไปที่บ้าน เราก็จดค่ะ จดใส่กระดาษที่เหลือๆ ในซองเอกสารนั้น ตรงนี้ใช้เวลาไม่นานมาก 1 นาทีเสร็จ ไปต่อค่ะ จุดที่ 2 คนเยอะมากกก อยู่ในคิวนั้นประมาณ 1 ชม ได้ - -“ ระหว่างที่ต่อคิวก็ชะเง้อมองหนุ่มๆ โอป้าทั้งหลายที่มาขอวีซ่า... งานดีจริงๆ เอ๊ย มาขอวีกันเยอะจริงๆ 5555 แล้วก็ชะเง้อไปดูจุดที่ 3 ที่เป็นจุดสัมภาษณ์ด้วยว่ามีคนผ่านเยอะมั้ย (ดูจากการเก็บ-คืน พาสปอร์ต) ตอนนั้นเป็นเวลา 9 โมงแล้ว เราก็ทั้งหิวทั้งง่วง เมื่อไหร่จะถึงคิวดิชั้นสักที มือถือก็ไม่มีให้เล่นฆ่า พอใกล้ๆ ถึงคิวเราถึงรู้ว่า อ่ออ !! จุดที่ 2 คือจุดที่ต้องถ่ายรูปและสแกนนิ้วมือนี่เอง พอถึงคิวเรา จนท. ผู้หญิงชาวเกาหลีก็ถามเราว่าพูดภาษาเกาหลีได้มั้ย? เราตอบทันทีว่า ‘ได้ค่ะ’ จากนั้นเค้าก็ถามว่า ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาคุณได้ไปประเทศจีนมามั้ย ? ( ช่วงที่เราไปขอวีซ่าคือเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ที่เป็นช่วงไวรัสโคโรน่ากำลังระบาดหนักที่จีนแต่ที่เกาหลีตอนนั้นยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 400กว่าคน) เราก็ตอบว่าไม่ค่ะ จากนั้นก็ถ่ายรูป , สแกนนิ้ว จนท. ก็บอกให้ไปจุดต่อไปได้ ถ้าขอวีซ่าท่องเที่ยวจะให้ไปอีกฝั่ง ถ้าเป็นวีซ่าอพยพย้ายถิ่นฐานหรือวีซ่านักเรียนต่างๆ จะให้ไปอีกทาง เห็นทางนั้นมีคนเกาหลีไปต่อคิวเยอะอยู่เหมือนกัน
ตัดมาที่ฝั่งของเรา จุดที่ 3 นี้มีคนรอสัมภาษณ์อยู่ประมาณ 7-8 คน มี จนท. สัมภาษณ์อยู่ทั้งหมด 5 ช่อง เป็นคนอเมริกันทั้งหมดเราก็ยืนดูว่าช่องไหนผ่านง่าย ผ่านยาก แต่เอาจริงๆ เราเลือกไม่ได้หรอกนะคะว่าอยากสัมภาษณ์กับคนไหนแล้วแต่คิวมันจะรันไปเรื่อยๆให้เอง คนเกาหลีไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษกันเยอะ ในนั้นจะมีล่ามเป็นอาจุมม่าชาวเกาหลีคอยช่วยแปลให้ด้วย พอถึงคิวเราเจอ จนท. ผู้หญิงหน้าตาดูไม่ได้ดุแต่ก็ไม่ได้ดูใจดีซะทีเดียว - -“
บทสัมภาษณ์ (ภาษาอังกฤษ)
เรา : สวัสดีค่ะ (ยื่นพาสปอร์ตให้)
จนท : สวัสดี คุณชื่อ.... ใช่มั้ย?
เรา : ใช่ค่ะ
จนท. :ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนเกาหลีของคุณได้มั้ย?
เรา: ได้ค่ะ (ยื่นบัตรตัวจริงให้)
จนท. : (พลิกดูวันหมดอายุของบัตรที่ด้านหลัง) คุณแต่งงานกับชาวเกาหลี?
เรา: ใช่ค่ะ (ยิ้ม^^)
จนท. เปิดดูข้อมูลที่เรากรอกแบบฟอร์มทางออนไลน์ไว้แล้วก็เริ่มเปิดคำถาม...
จนท. : คุณจะไปเที่ยวที่ไหนใน USA?
เรา: ฮาวายค่ะ
จนท. : ไปกับใครและไปกี่วัน?
เรา : ไปกับสามีและเพื่อนๆ ของสามี ประมาณ 5 วันค่ะ (ตอบตามที่กรอกเป้ะๆ)
จนท. : คุณไม่ได้ทำงานแล้วสามีของคุณทำงานอะไร?
เรา: ทำงานบริษัทเกี่ยวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในเครือของ LG ค่ะ (ยื่นใบรับรองการทำงานฉบับภาษาอังกฤษของโอป้าให้ไป)
จนท. (หยิบไปอ่านแล้วแล้วพยักหน้า) นอกจากเกาหลีและไทย คุณเคยไปเที่ยวประเทศไหนมาบ้างแล้ว?
เรา: เคยไปสิงคโปร์ มาเลเชีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง แล้วก็ญี่ปุ่นค่ะ (อันนี้ก็ตอบตามข้อมูลที่กรอกออนไลน์ไว้เช่นกัน)
จนท. ฟังและดูข้อมูลในคอมไปด้วยว่าเราตอบตรงกันมั้ย จากนั้นก็หันมายิ้มให้แล้วบอกว่า ‘เราจะจัดส่งพาสปอร์ตไปให้คุณที่บ้าน’ พร้อมกับเก็บพาสปอร์ตของเราไป เย้ ~!! (สรุปเอกสารอื่นๆที่เตรียมมา ไม่ได้ใช้เลยจ้า)
จากนั้นเราก็ลงไปรับของคืนที่ชั้น 1 พอได้ของคืนเปิดมือถือดู สามีทัก KakaoTalk มาถามว่า เสร็จรึยัง ? เป็นยังไงบ้าง? สงสัยกลัวทริปฮาวายจะล่ม ฮ่าๆ พอกลับมาบ้านอีกวัน (วันเสาร์) ก็มีคนมาส่งของให้เราบอกขอดูบัตร ปชช ก่อนด้วยเราก็เอ๊ะ แปลกใจ ปกติคนส่งของเกาหลีเค้าก็แค่วางของไว้หน้าบ้านแล้วไปนี่นา พอรับของมาหน้าซองเขียนว่าจากสถานทูตเมกาเท่านั้นละ เห้ยยย ไวไปมั้ย พึ่งทำเมื่อวานตอนเช้า อีกวันพาสปอร์ตมาส่งที่บ้านละ ? โอป้าก็ถามอะไรหรอ มันคืออะไรหรอ?? พอบอกพาสปอร์ตชั้นเองล่ะ นางก็บอกเปิดดูๆ คือลุ้นกันมากว่าจะได้กี่ปี แกะซองไปมือสั่นไปทางสถานทูตแปะวีซ่ามาให้กลางเล่มของพาสปอร์ตเป้ะๆ ในนั้นเขียนวันหมดอายุของวีซ่าคือปี 2030 หื้มมม ได้มา 10 ปีเลยจ้า >< !!
สุดท้ายนี้ คิดว่าที่เราได้วี 10 ปีมาทั้งๆที่เราไม่ได้ทำงานอะไร ส่วนใหญ่ต้องยกเครดิตให้กับสามี เพราะเราใช้เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสามีล้วนๆ และอาจจะเป็นเพราะประวัติการเดินทางครั้งก่อนในประเทศอื่นๆของเราด้วย รวมถึงความสัมพันธ์ที่ดีของสหรัฐอเมริกาและประเทศเกาหลีใต้ที่เค้ามีกันมาตั้งแต่สมัยสงครามเกาหลีแล้ว (ใครเคยอ่านเรื่องสงครามเกาหลีคงจะทราบดี) และการที่ได้มาแต่งงานกับคนเกาหลีก็ถือว่าได้เพิ่มเครดิตไปในตัวด้วย เพราะอย่างน้อยเค้าก็ไม่กลัวว่าเราจะโดดไปทำงานที่นั่นแน่นอน ? [ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ 55] ส่วนแม่บ้านเกาหลีคนไหนที่เคยไปขอวีฝั่งเชงเก้นมารบกวนมาแชร์เป็นความรู้ทีนะคะ ^^
สุดท้ายจริงๆ ละ ><
เราไปขอวีตอนเดือน กุมภาพันธ์ กำหนดเดินทางไปฮาวายคือเดือนเมษายนปีเดียวกัน แต่เพราะโควิด ทำให้ชีวิตเราสะดุด สุดท้ายทริปอะโลฮ่าฮาวายของเราก็ล่มอยู่ดี ㅠ_ㅠ
สามีมีความมาปลอบใจว่าไม่เป็นไรนะ วีซ่าของเธอมีอายุตั้ง 10 ปี ถึงไปปี 2025 ก็ยังไม่สาย.... (เดี๋ยวนะ นานไปไหม )
#ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ #คัมซาฮัมนีดา~
#แม่บ้านเกาหลี2020