JJNY : เปิดชื่อ ส.ส.โหวตผ่านซื้อเรือดำน้ำ/แบงก์ชาติสอนมวยคลังถังแตก/กยท.โอดแบกค่าเช่าโกดัง/เช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ใหม่ซึมยาว

ฝ่ายค้าน เดือด แถลงเปิดชื่อ ส.ส.โหวตผ่านซื้อเรือดำน้ำ ซัดถลุงงบ กลางความอดอยากคน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2317046

 
ฝ่ายค้าน แถลงเปิดชื่อ 5 ส.ส.รบ.โหวตผ่านงบซื้อเรือดำน้ำ ด้าน “ยุทธ์พงศ์-ครูมานิตย์” ลุกค้านต่อ ถาม “บิ๊กตู่” อาวุธ กับ ประชาชนอดตาย อะไรสำคัญกว่ากัน
 
เมื่อเวลา 14.50 น. ที่รัฐสภา นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ปี 64 แถลงข่าวภายหลังประชุมเพื่อพิจารณางบจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน ของกองทัพเรือ จำนวน 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาทว่า เป็นการพิจารณางบประมาณจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ครั้งแรก ทางคณะอนุกมธ.แขวนไว้ เพราะยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า จะให้ซื้อหรือไม่ โดยทางกองทัพเรือได้ให้เหตุผลว่า จำเป็นต้องซื้อเรือดำน้ำ เพราะไทยได้ลงนามในเอ็มโอยูกับจีนไว้แล้วว่า ต้องซื้อ 3 ลำ โดยลำแรกได้จัดซื้อไปแล้วด้วยงบประมาณปี 2560 ซึ่งจะได้รับเรือในปี 2567 อย่างไรก็ตาม อีก 2 ลำ ที่จะใช้งบปี 2564 นั้น ทางอนุกมธ.สอบถามว่า ยังไม่ซื้อได้หรือไม่ จะถูกฟ้องร้องหรือไม่ ซึ่งในที่ประชุมกองทัพเรือได้นำเอ็มโอยูซื้อเรือลำน้ำลำแรกมา ปรากฏว่า ในเอ็มโอยูที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เซ็นไว้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของประเทศจีนนั้น ไม่ได้เขียนว่าไทยจะต้องซื้อลำที่ 2 และลำที่ 3 ไม่ได้ผูกพันธ์กันไว้ มีแต่เพียงระบุว่า ถ้าเกิดปัญหาในข้อตกลง หรือเกิดความขัดแย้งให้เจรจากันอย่างฉันท์มิตร ไม่มีการขึ้นศาลหรือคดีต่อกันได้
 
“ผมอยู่ในฝั่งที่ไม่ให้ซื้อ โดยบอกว่า เมื่อไม่ได้มีข้อตกลงให้ซื้อลำ 2 ลำ 3 ทางกองทัพอ้างอย่างเดียวว่า เพื่อความมั่นคงทางทะเล ทางผมสู้ว่ามีปัญหาด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลกู้จนเต็มเพดาน ประชาชนเดือดร้อน สังคมมีปัญหาอาชญากรรม เพราะคนตกงานไม่มีอันจะกิน ทางกมธ.ในส่วนที่ไม่ให้ซื้อ บอกว่า ยังไม่จำเป็นต้องซื้อในปีนี้ ให้เลื่อนออกไปก่อน แต่ที่ประชุมตกลงกันไม่ได้ ทำให้ นายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะอนุกมธ. สั่งพักการประชุม และเริ่มอีกครั้งในเวลา 14.15 น. พร้อมสั่งให้ลงมติ 

โดยในฝั่งที่ลงมติไม่ให้จัดซื้อเรือดำน้ำ ประกอบด้วย ผม นายเรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย น.ส.วรรณวรี ตะล่อมสิน ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล 
 
ส่วนผู้ที่โหวตให้ผ่าน ได้แก่ นายชยุต ภุมมะกาญจนะ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคภูมิใจไทย นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กทม. นายจีรเดช ศรีวิราช ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ 

ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายมีเสียงเท่ากัน สุดท้ายประธานคณะอนุกมธ.ออกอีกเสียงหนึ่งเห็นชอบให้ซื้อเรือดำน้ำ เป็นอันว่าประเทศไทยซื้อเรือดำน้ำจีนอีก 2 ลำในภาวะที่คนไทยกำลังอดอยาก ” นายยุทธพงศ์ กล่าว
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า อย่างก็ไรตาม จากนี้ ตนและนายครูมานิตย์จะขอคัดค้านการซื้อเรือดำน้ำดังกล่าว เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน เพราะเห็นว่า ไม่จำเป็นในการซื้อ อีกทั้งลำที่หนึ่งที่ได้ซื้อไปแล้วยังไม่ได้ของ ซึ่งกว่าจะได้ก็ปี 2567 เรื่องนี้นายกฯ ต้องเลือกระหว่างซื้อเรือดำน้ำกับความอดอยากของประชาชน ชาวบ้านบอกให้ช่วยเนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด รัฐบาลบอกไม่มีเงิน เห็นเรือดำน้ำสำคัญกว่าชีวิตประชาชนได้อย่างไร
 
ด้าน นายครูมานิตย์ ระบุว่า วันนี้ยังไม่มีความจำเป็นในการจัดซื้อเมื่อเทียบกับความอดอยากของประชาชนทุกภาค เราไม่ได้คัดค้านไม่ให้ซื้อ แค่อยากให้ชะลอไว้ก่อน ถ้าประชาชนไม่อดอยาก จะซื้อ 4-5 ลำก็ซื้อไป แต่ช่วง 4-5 ปีมานี้ ทหารใช้งบประมาณแทบจะมากกว่าทุกกระทรวงอยู่แล้ว
 

 
แบงก์ชาติ สอนมวย คลังถังแตก จี้รัฐจริงจังหารายได้ เผยรายจ่ายมือเติบ
https://www.khaosod.co.th/economics/news_4753051
 
แบงก์ชาติ สอนมวย คลังถังแตก จี้รัฐจริงจังหารายได้ เผยรายจ่ายมือเติบ
 
วันที่ 21 ส.ค. นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในภาวะวิกฤตคนที่มีความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจคือ ภาครัฐ ดังนั้นสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่ใกล้ระดับ 60% ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล ถ้าการใช้จ่ายเงินกู้นำไปใช้กับโครงการที่ดี โครงการที่มีประสิทธิผลต่อการกระตุ้นการจ้างงาน ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานสอดคล้องวิถีชีวิตใหม่ (นิวนอร์มอล) ในสถานการณ์โควิด-19 ที่ภาคเศรษฐกิจได้รับผลกระทบ บทบาทการคลังก็สามารถเพิ่มได้อีก
 
ทั้งนี้ เรื่องสำคัญ ต้องพิจารณาว่าเงินกู้ที่ได้มาจะนำไปใช้กับโครงการอะไร ซึ่งควรจะเน้นให้เกิดการจ้างงาน ใช้ในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะภาคเศรษฐกิจหลังจากช่วงวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) และต้องเป็นโครงการที่ช่วยให้ภาคธุรกิจขยายตัว
 
"ไม่อยากให้เราไปติดกับเกณฑ์อย่างที่ใช้ในภาวะเศรษฐกิจปกติ เช่น การก่อหนี้ต้องไม่เกิน 60% ของจีดีพี เพราะขณะนี้เศรษฐกิจหดตัว เป็นเรื่องที่เป็นกันทั่วโลก เราก็ต้องทบทวนตามสถานการณ์ ไม่อยากให้ยึดตัวเลขเป็นหลัก บทบาทภาคการคลังยังมีความจำเป็น เพื่อรักษาระดับไม่ให้เศรษฐกิจไหลลงแรงกว่านี้"
 
อย่างไรก็ตาม นอกจากการเพิ่มบทบาทการใช้จ่ายภาครัฐ มีประเด็นที่ต้องคิดอย่างจริงจังถึงเรื่องความสามารถในการหารายได้ในอนาคต ซึ่งมีหลายเรื่องที่ทำได้ เช่น เรื่องของฐานภาษีทรัพย์สินซึ่งปัจจุบันมีการเก็บในสัดส่วนที่น้อยมาก การเพิ่มประสิทธิภาพฐานภาษี ซึ่งหลายประเทศมีการหารายได้จากทรัพย์สินของภาครัฐ
 
นอกจากนี้ ต้องลดบทบาทของภาครัฐในระยะยาว รายจ่ายภาครัฐบางประเภทจะต้องมีการปรับลดลง โดยเฉพาะรายจ่ายประจำ จะต้องปรับให้เหมาะสม สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และจะต้องนำไปใช้ในการลงทุนเพื่อปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัลมากขึ้น
 
นายวิรไท กล่าวว่า ต้องสร้างความเข้าใจให้ถูกต้อง บทบาทรัฐ การนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเรื่องจำเป็น หากต้องทำเพิ่มจากเกณฑ์ที่วางเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับบริบทกับสถานการณ์หากโควิดกระทบเศรษฐกิจกว้างและยาวขึ้น
 
คลังเป็นภาคเดียวที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้ไหลลงแรง เกณฑ์ กรอบบางอย่างตั้งในภาวะปกติ แต่เมื่อจะใช้การคลังเพิ่มขึ้น ก็ต้องทำควบคู่กับแผนการหาราสยได้ในอนาคต ที่ได้จากหลากหลายวิธี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่