ปริศนาเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่ขยันเรียนตั้งแต่เด็กเพราะมีความตั้งใจเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อครั้งยังเป็นนิสิตเธอมีฝันที่จะประกอบอาชีพเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นธุรกิจทางบ้านเริ่มไม่ค่อยดี แต่ก็มีความมุ่งมั่นเรียนต่อพร้อมกับทำงานพิเศษไปด้วยจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแถวสามย่าน และต้องเร่งหางานประจำเพื่อมาทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัวในฐานะลูกคนโต ด้วยความเมตตาของอาจารย์ที่ได้แนะนำงานให้ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในช่วงกำลังพัฒนาและยังขาดแคลนบุคลากรในบางสาขา การสมัครงานและการสอบเข้าทำงานในตำแหน่งอาจารย์ผ่านไปได้ด้วยดี ถึงแม้สถานที่ตั้งของที่ทำงานแห่งนี้จะอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดและไม่มีญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงเลยก็ตาม แต่ก็เป็นงานที่ใฝ่ฝัน จึงทำให้ปริศนาตัดสินใจไปเริ่มต้นชีวิตการทำงานเพียงลำพัง
ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับตัวเมืองของจังหวัดทางภาคเหนือตอนล่าง ปริศนาลงรถตู้โดยสารแล้วเดินจากถนนใหญ่เข้ามาด้านในของมหาวิทยาลัย เธอเห็นบรรยากาศโดยรอบที่ดูแปลกตา มีนกพิราบทำรังที่ขอบระเบียงของอาคารเรียนซึ่งตั้งอยู่ติดกับทุ่งนาและแปลงผัก ใกล้กันมีกระบือสองสามตัวนอนพักอยู่ตามท้องร่อง สองข้างทางเป็นทางเดินเท้าที่ทอดยาวไปถึงหอประชุมซึ่งด้านหน้ามีเสาธงชาติขนาดใหญ่ตั้งอยู่ไกลแต่เห็นได้ชัดเจน เธอเดินมาจนกระทั่งถึงหอประชุมสีเหลืองทอง มองดูคล้ายศาลาทรงไทยขนาดใหญ่ วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศอาจารย์ใหม่และวันเริ่มงานวันแรก แม้จะดีใจที่ได้งานตามความตั้งใจแต่ก็ยังรู้สึกอ้างว้างกับสถานที่ใหม่ซึ่งยังไม่รู้จักใคร
“สวัสดีครับ ผมขอต้อนรับอาจารย์ใหม่ทุกท่านสู่มหาวิทยาลัยชุมชนแห่งศตวรรษที่ 21 องค์กรของเราให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือให้ผู้เรียนทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาเพื่อไปประกอบอาชีพในอนาคตได้อย่างภาคภูมิ ดั่งปณิธาน มหาวิทยาลัยแห่งปัญญา พัฒนาชุมชนสู่สากล นำคนดีสู่อนาคตใหม่ อาจารย์ทุกท่านในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีภารกิจต่าง ๆ ตามที่กฎระเบียบได้กำหนดไว้ในเอกสารที่แจกไปแล้ว ขณะนี้ผมมีนโยบายพัฒนามหาวิทยาลัยให้ทัดเทียมกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอาจารย์ให้มีตำแหน่งทางวิชาการเพื่อให้จำนวนอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละศาสตร์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสะท้อนถึงศักยภาพขององค์กร รวมไปถึงการส่งอาจารย์ไปออกแนะแนวหลักสูตรตามโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อให้มีผู้เรียนมาสมัครเรียนมหาวิทยาลัยของเรากันให้มากขึ้น ขอให้อาจารย์ทุกคนช่วยกันพัฒนามหาวิทยาลัย เราจะก้าวไปพร้อมกันครับ”
หลังจากได้ฟังคำแถลงของผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยแล้ว ปริศนาก็เริ่มวางแผนชีวิตการทำงานและมีความมุ่งมั่นทุ่มเทที่จะปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลัง
“นี่คือโต๊ะทำงานของเธอนะ” ชนิดาเพื่อนร่วมงานกล่าวพร้อมกับยื่นสิ่งของบางอย่างมาวางไว้
“ส่วนนี่...แฟ้มเอกสารต่าง ๆ ที่สาขาเราได้รวบรวมไว้ให้อาจารย์ใหม่ได้ศึกษา เธอก็ลองอ่านดูละกัน”
ช่วงเช้าวันแรกของการสอนในห้องเรียนขนาดกลางซึ่งเริ่มมีนักศึกษาทยอยเข้ามาจับจองที่นั่งกันบ้างแล้ว ปริศนาเข้าสอนก่อนเวลาเผื่อว่าจะได้ตรวจดูอุปกรณ์ที่มีให้ เครื่องขยายเสียงเปิดตรงไหน ไมโครโฟนมีหรือไม่ คอมพิวเตอร์ที่ตั้งไว้ไม่น่าจะใช้งานได้แล้ว เธอรู้สึกแปลกใจและบอกกับตัวเอง “ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้า ฉันคงต้องหามาเองบ้างล่ะ” ช่วงบ่ายของการสอนในห้องเรียนขนาดเล็กซึ่งมีสื่อการสอนเป็นกระดานดำและชอล์ก เธอรู้สึกใจหายแต่ก็บอกกับตัวเอง “ไม่เป็นไร สัปดาห์ถัดไป ฉันต้องปรับเปลี่ยนวิธีสอนแล้วล่ะ”
สุดสัปดาห์หลังเลิกงานหัวหน้าสาขาจัดงานเลี้ยงต้อนรับอาจารย์ใหม่ที่ร้านอาหารชื่อดังห่างออกไปไม่ไกล ภายในร้าน อาจารย์นั่งใกล้กันเป็นกลุ่มตามความสนิทสนม หัวหน้าสาขากล่าวชื่นชมปริศนาที่เพิ่งจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย ชนิดาได้ยินเช่นนั้นก็หยุดคุยกับกลุ่มเพื่อนแล้วหันมาพูดกับปริศนา
“เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังแถวสามย่าน มาหรอ”
“ใช่จ้ะ ฉันเพิ่งจะรับปริญญาได้ไม่กี่วันก่อนจะมาเริ่มงานที่นี่”
ปริศนาสังเกตได้ว่าสีหน้าและท่าทางของชนิดาเปลี่ยนไป ในขณะนั้น ผศ.ดร.สุทิพา รุ่นพี่คนหนึ่งในสาขาก็เข้ามาทักทายพอดี
“มีอะไรสงสัยเรื่องงานปรึกษาได้เลยนะคะ พี่ยินดีช่วยเหลือทุกเรื่องค่ะ” พี่สุทิพากล่าวด้วยท่าทีสุภาพและเป็นกันเอง
“ขอบคุณค่ะพี่” ปริศนาตอบพร้อมยกมือไหว้
“แล้วปริศนาพักอยู่แถวไหน เดินทางมายังไงคะ”
“หนูอยู่หอพักเอกชนไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยค่ะ ปกติหนูจะเดินมาทำงานแล้วก็เดินกลับเองทุกวันค่ะ”
“ไม่หารถไว้ใช้ซักคันเหมือนฉันล่ะ” ชนิดาพูดขึ้น
"หอพักที่อยู่ก็เดินทางมาสะดวกดี ช่วงนี้ฉันต้องส่งเงินให้ที่บ้านด้วยน่ะ” ปริศนาตอบไปตามจริง
“ถ้างั้น หลังงานเลี้ยง พี่อาสาไปส่งนะคะ พี่ต้องกลับทางนั้นพอดีค่ะ”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ”
ระหว่างที่ปริศนายืนรอพี่สุทิพาอยู่ด้านหลังของร้านก็มีรถคันหนึ่งผ่านมาหยุดอยู่ตรงหน้าในระยะไม่ไกลแต่ไม่ค่อยสว่าง กระจกรถยนต์ด้านหน้าข้างคนขับก็ลดระดับลงมาจนเกือบสุด แล้วก็มีเสียงตะโกนออกมา “เสนอหน้ามาทำไม” จากนั้นรถคันดังกล่าวก็เคลื่อนตัวออกไป เธอก็แปลกใจว่าคนในรถคันนั้นพูดกับใคร
“โทษทีนะคะ รอนานไหม พอดีพี่เข้าห้องน้ำมาน่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็เพิ่งออกมาเอง”
“งั้นไปกันเลย รถของพี่จอดอยู่ตรงนั้นค่ะ”
ระหว่างทางที่ปริศนานั่งรถไปกับพี่สุทิพา ปริศนาก็พูดขึ้นว่า
“ชนิดาเขาเป็นคนหน้าตาดีแล้วก็มีเพื่อนเยอะจังเลยค่ะ”
“เขาเป็นคนอัธยาศัยดีน่ะ ยิ้มง่าย ชอบเข้าสังคม แต่งตัวก็เก่งด้วย แต่หลายคนที่รู้จักชนิดาเป็นอย่างดี มักจะบอกตรงกันว่า เขาไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเห็นนะ”
วันหนึ่งขณะที่ปริศนาตรวจงานนักศึกษาอยู่ ชนิดาก็เข้ามาถาม
“พอดีฉันกำลังทำเอกสารประกอบการสอนอยู่น่ะ แต่สงสัยเรื่องการเขียนอ้างอิง คิดว่าเธอน่าจะพอรู้เลยลองมาถามดู ช่วยอธิบายให้ฟังได้ไหมจ้ะ” ปริศนาจึงอธิบายให้เพื่อนร่วมงานด้วยความยินดีแม้ว่าตนเองจะมีงานที่ทำอยู่ก็ตามแต่ก็ใช้เวลาอธิบายไปประมาณยี่สิบนาที
“อ๋อ เข้าใจแล้ว เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันไปทำงานต่อก่อนนะ” ชนิดาพูดก่อนจะเดินจากไป
วันถัดมาชนิดาก็ถามเรื่องเดิม แต่ไม่ใช่คำถามเดิม สัปดาห์ต่อมาชนิดาก็ยังคงถามเรื่องนี้อีก แต่เปลี่ยนคำถาม ปริศนาก็ยังคงตอบตามที่ได้ศึกษามาได้ทุกครั้งและอธิบายให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจได้เช่นเคย
ตลอดระยะเวลาห้าเดือนมานี้ หากเจอหน้ากัน ชนิดาก็จะถามแต่เรื่องนี้ แต่หากไม่เจอกันก็จะโทรมาถาม อาจเป็นเวลาหลังเวลาเลิกงานบ้าง บางครั้งก็เป็นเวลากลางคืน กระทั่งวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ปริศนาก็คงรับสายและยินดีตอบคำถามของเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่สนิทกันทุกครั้งแม้ว่าจะเป็นเวลาส่วนตัวก็ตาม
วันนี้ก็เช่นกัน “ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเขียนบรรณานุกรมเลย ช่วยดูให้หน่อยนะ” ชนิดาเข้ามาถามขณะปริศนากำลังจะออกไปสอนชั่วโมงถัดไป ปริศนาจึงขอตัวไปสอนก่อน แต่ก็ยังคงกลับมาตอบคำถามของชนิดาเหมือนเช่นเคย ครั้งนี้ปริศนาได้ถ่ายสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องมาด้วยเพราะน่าจะเป็นประโยชน์ต่อชนิดา
“พี่ว่าเขาแปลกนะ ทำไมมาถามหนูบ่อยจัง แล้วไม่เห็นพูดขอบคุณ สักครั้งเลย” พี่สุทิพาซึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่มาสักระยะแล้วก็ถามขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูช่วยเหลือนิดหน่อยเอง เราอยู่สาขาเดียวกันก็ต้องช่วยกันอยู่แล้วค่ะ” ปริศนาตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“แต่พี่ว่า ตามมารยาทแล้วก็ควรพูดสักหน่อยนะ เห็นถามมาตั้งหลายครั้งแล้ว อ้อ...แล้วตอนพี่ตรวจงานของเขา พี่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเอาสิ่งที่หนูแนะนำไปใช้อะไรเลย” พี่สุทิพาพูดพร้อมกับนำผลงานของชนิดามาให้ดู ปริศนาได้อ่านผลงานของชนิดาแล้วก็พบว่าเป็นจริงตามที่พี่สุทิพาบอก อันที่จริงตามจรรยาบรรณทางวิชาการแล้วนั้นการเขียนอ้างอิงเป็นสิ่งจำเป็นและถือเป็นมารยาททางวิชาการอย่างหนึ่งด้วย แต่ผู้เขียนต้องเลือกรูปแบบการอ้างอิงเพียงรูปแบบเดียว แล้วใช้ให้เหมือนกันตลอดทั้งเล่ม ไม่จำเป็นต้องใช้การอ้างอิงหลายรูปแบบ
หลังจากนั้นเมื่อชนิดาโทรมาถามอีก ปริศนาจึงถามอย่างสงสัยว่า
“เธอไม่ได้เอาคำตอบของฉันไปใช้เลย แล้วทำไมช่วงหลายเดือนมานี้เธอถึงถามฉันเรื่องเดิมตลอดล่ะ”
“ก็แค่อยากลองถามน่ะ เห็นเธอจบมาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแถมยังได้เกียรตินิยมมาด้วย” ชนิดาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ถ้าเช่นนั้น ต่อไปนี้ฉันจะไม่ตอบคำถามของเธอเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะว่ารูปแบบการอ้างอิงของแต่ละสถาบันไม่เหมือนกัน เธอก็น่าจะได้เรียนรู้เรื่องนี้มาจากสถาบันของเธอแล้วด้วย” ปริศนาพูดไปตามตรง
สัปดาห์ถัดมามีคนโทรมาหาปริศนา เมื่อเธอรับสายแล้วพูด “สวัสดีค่ะ” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เธอถามว่า “ต้องการพูดกับใครคะ” แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบแม้จะถามซ้ำอีกสองครั้ง จึงวางสายไป สักครู่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก เธอดูแล้วก็เป็นหมายเลขเดิม ปริศนารับสายแล้วพูดเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีเสียงตอบอีกเช่นเคย ครั้งต่อมาก็ยังเป็นเช่นนี้อีก เธอก็นึกได้ว่าคงมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว
ช่วงหลังมานี้ปริศนาสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานหลายคนมีท่าทีแปลกไป โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ในกลุ่มของชนิดา มีบางคนที่ปริศนากล่าวทักทายแล้วทำเป็นมองไม่เห็น บางคนมองด้วยสายตาเชิงเหยียดหยาม บางคนก็พูดจาประชดประชัน บางคนที่เดินตามหลังปริศนามาก็กระแทกเท้าให้เกิดเสียงดัง บางคนก็ทำสีหน้าถทึงบึ้งตึงเมื่อปริศนาพูดด้วย จนกระทั่งพี่สุทิพามากระซิบกับปริศนาว่า “ยัยชนิดาคงไปพูดอะไรแน่ล่ะ”
ปริศนาจึงย้อนคิดกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เคยพูดถึงสถาบันของชนิดาซึ่งอาจจะถูกนำไปตีความและบิดเบือนเจตนาไปในทางไม่ดี หากชนิดาจะนำไปพูดในกลุ่มเพื่อน ก็น่าจะมีผลให้หลายคนมีท่าทีประหลาดเช่นนั้น แต่เมื่อความจริงปรากฏ อาจารย์ผู้ใหญ่ในสาขาที่ทราบเรื่องก็ตำหนิการกระทำของชนิดา แม้ว่าเธอจะยอมรับแต่โดยดีแต่ในใจดั่งไฟสุมขอน เพราะเป็นครั้งแรกที่ถูกว่ากล่าวตักเตือนจึงรู้สึกเสียหน้า ส่วนอาจารย์ในสาขาที่เคยเข้าใจผิดหรือเคยทำตัวแปลก ก็เปลี่ยนมาทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีแม้แต่คำว่า “ขอโทษ” ให้ได้ยินเลยสักคนแม้เพียงสักครั้ง แต่กระนั้นปริศนาก็ไม่ได้ตำหนิหรือถือโทษโกรธใคร เธอก็เลือกที่จะทำตัวปกติเช่นกัน เพราะน่าจะเป็นการให้เกียรติเพื่อนร่วมงานที่อาจเข้าใจเจตนาของเธอผิดไปจากการฟังคำพูดของผู้ไม่ปรารถนาดี เหตุการณ์นี้เป็นข้อคิดว่า มารยาทในการฟังอย่างหนึ่งคือการฟังอย่างมีวิจารณญาณ ไม่รีบเชื่อ ไม่รีบบอกต่อ ก็ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญของอาจารย์ทุกคนในระดับมหาวิทยาลัยที่เรียกตัวเองว่าปัญญาชน
วันเปิดภาคการศึกษาใหม่ ตามระเบียบที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้ อาจารย์ต้องแจกเอกสารโครงการสอนให้นักศึกษาได้ทราบขอบเขตเนื้อหาและกติกาการเรียนของรายวิชา ปริศนาก็ได้เตรียมเอกสารดังกล่าวไว้ล่วงหน้า แล้วส่งไปถ่ายเอกสารตั้งแต่สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามปกติหลังจากร้านดำเนินการเสร็จแล้วก็จะนำเอกสารมาส่งที่สำนักงานคณะ แต่เมื่อเธอไปรับ กลับไม่พบ ปริศนาจึงไปถามเจ้าของร้านซึ่งชี้แจงว่าได้นำเอกสารส่งไปเก็บไว้ที่สำนักงานของคณะตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว ทำให้ปริศนาไม่มีโครงการสอนมาแจกผู้เรียน
“อาจารย์ขอโทษนักศึกษาทุกคนด้วยนะคะ ที่ไม่ได้นำโครงการสอนมาแจกตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอน” ปริศนาพูดขึ้นก่อนจะเริ่มชี้แจงรายละเอียดของวิชาซึ่งมีในสไลด์พาวเวอร์พอยต์ที่เตรียมมา
หลังจากสิ้นสุดวิชาแรก ดูจากตารางสอนก็มีเวลาเหลืออีกพอสมควรกว่าจะถึงวิชาถัดไป ปริศนาจึงเดินไปสอบถามจากเจ้าหน้าที่ในสำนักงานของคณะ ขณะนั้น ผศ.ดร.สุทิพาก็เข้ามาติดต่อเจ้าหน้าที่ด้วยพอดี จึงกล่าวทักทายและพูดคุยกัน
**มีต่อ**
ปัญญาชน
ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับตัวเมืองของจังหวัดทางภาคเหนือตอนล่าง ปริศนาลงรถตู้โดยสารแล้วเดินจากถนนใหญ่เข้ามาด้านในของมหาวิทยาลัย เธอเห็นบรรยากาศโดยรอบที่ดูแปลกตา มีนกพิราบทำรังที่ขอบระเบียงของอาคารเรียนซึ่งตั้งอยู่ติดกับทุ่งนาและแปลงผัก ใกล้กันมีกระบือสองสามตัวนอนพักอยู่ตามท้องร่อง สองข้างทางเป็นทางเดินเท้าที่ทอดยาวไปถึงหอประชุมซึ่งด้านหน้ามีเสาธงชาติขนาดใหญ่ตั้งอยู่ไกลแต่เห็นได้ชัดเจน เธอเดินมาจนกระทั่งถึงหอประชุมสีเหลืองทอง มองดูคล้ายศาลาทรงไทยขนาดใหญ่ วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศอาจารย์ใหม่และวันเริ่มงานวันแรก แม้จะดีใจที่ได้งานตามความตั้งใจแต่ก็ยังรู้สึกอ้างว้างกับสถานที่ใหม่ซึ่งยังไม่รู้จักใคร
“สวัสดีครับ ผมขอต้อนรับอาจารย์ใหม่ทุกท่านสู่มหาวิทยาลัยชุมชนแห่งศตวรรษที่ 21 องค์กรของเราให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือให้ผู้เรียนทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาเพื่อไปประกอบอาชีพในอนาคตได้อย่างภาคภูมิ ดั่งปณิธาน มหาวิทยาลัยแห่งปัญญา พัฒนาชุมชนสู่สากล นำคนดีสู่อนาคตใหม่ อาจารย์ทุกท่านในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีภารกิจต่าง ๆ ตามที่กฎระเบียบได้กำหนดไว้ในเอกสารที่แจกไปแล้ว ขณะนี้ผมมีนโยบายพัฒนามหาวิทยาลัยให้ทัดเทียมกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอาจารย์ให้มีตำแหน่งทางวิชาการเพื่อให้จำนวนอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละศาสตร์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสะท้อนถึงศักยภาพขององค์กร รวมไปถึงการส่งอาจารย์ไปออกแนะแนวหลักสูตรตามโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อให้มีผู้เรียนมาสมัครเรียนมหาวิทยาลัยของเรากันให้มากขึ้น ขอให้อาจารย์ทุกคนช่วยกันพัฒนามหาวิทยาลัย เราจะก้าวไปพร้อมกันครับ”
หลังจากได้ฟังคำแถลงของผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยแล้ว ปริศนาก็เริ่มวางแผนชีวิตการทำงานและมีความมุ่งมั่นทุ่มเทที่จะปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลัง
“นี่คือโต๊ะทำงานของเธอนะ” ชนิดาเพื่อนร่วมงานกล่าวพร้อมกับยื่นสิ่งของบางอย่างมาวางไว้
“ส่วนนี่...แฟ้มเอกสารต่าง ๆ ที่สาขาเราได้รวบรวมไว้ให้อาจารย์ใหม่ได้ศึกษา เธอก็ลองอ่านดูละกัน”
ช่วงเช้าวันแรกของการสอนในห้องเรียนขนาดกลางซึ่งเริ่มมีนักศึกษาทยอยเข้ามาจับจองที่นั่งกันบ้างแล้ว ปริศนาเข้าสอนก่อนเวลาเผื่อว่าจะได้ตรวจดูอุปกรณ์ที่มีให้ เครื่องขยายเสียงเปิดตรงไหน ไมโครโฟนมีหรือไม่ คอมพิวเตอร์ที่ตั้งไว้ไม่น่าจะใช้งานได้แล้ว เธอรู้สึกแปลกใจและบอกกับตัวเอง “ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้า ฉันคงต้องหามาเองบ้างล่ะ” ช่วงบ่ายของการสอนในห้องเรียนขนาดเล็กซึ่งมีสื่อการสอนเป็นกระดานดำและชอล์ก เธอรู้สึกใจหายแต่ก็บอกกับตัวเอง “ไม่เป็นไร สัปดาห์ถัดไป ฉันต้องปรับเปลี่ยนวิธีสอนแล้วล่ะ”
สุดสัปดาห์หลังเลิกงานหัวหน้าสาขาจัดงานเลี้ยงต้อนรับอาจารย์ใหม่ที่ร้านอาหารชื่อดังห่างออกไปไม่ไกล ภายในร้าน อาจารย์นั่งใกล้กันเป็นกลุ่มตามความสนิทสนม หัวหน้าสาขากล่าวชื่นชมปริศนาที่เพิ่งจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย ชนิดาได้ยินเช่นนั้นก็หยุดคุยกับกลุ่มเพื่อนแล้วหันมาพูดกับปริศนา
“เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังแถวสามย่าน มาหรอ”
“ใช่จ้ะ ฉันเพิ่งจะรับปริญญาได้ไม่กี่วันก่อนจะมาเริ่มงานที่นี่”
ปริศนาสังเกตได้ว่าสีหน้าและท่าทางของชนิดาเปลี่ยนไป ในขณะนั้น ผศ.ดร.สุทิพา รุ่นพี่คนหนึ่งในสาขาก็เข้ามาทักทายพอดี
“มีอะไรสงสัยเรื่องงานปรึกษาได้เลยนะคะ พี่ยินดีช่วยเหลือทุกเรื่องค่ะ” พี่สุทิพากล่าวด้วยท่าทีสุภาพและเป็นกันเอง
“ขอบคุณค่ะพี่” ปริศนาตอบพร้อมยกมือไหว้
“แล้วปริศนาพักอยู่แถวไหน เดินทางมายังไงคะ”
“หนูอยู่หอพักเอกชนไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยค่ะ ปกติหนูจะเดินมาทำงานแล้วก็เดินกลับเองทุกวันค่ะ”
“ไม่หารถไว้ใช้ซักคันเหมือนฉันล่ะ” ชนิดาพูดขึ้น
"หอพักที่อยู่ก็เดินทางมาสะดวกดี ช่วงนี้ฉันต้องส่งเงินให้ที่บ้านด้วยน่ะ” ปริศนาตอบไปตามจริง
“ถ้างั้น หลังงานเลี้ยง พี่อาสาไปส่งนะคะ พี่ต้องกลับทางนั้นพอดีค่ะ”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ”
ระหว่างที่ปริศนายืนรอพี่สุทิพาอยู่ด้านหลังของร้านก็มีรถคันหนึ่งผ่านมาหยุดอยู่ตรงหน้าในระยะไม่ไกลแต่ไม่ค่อยสว่าง กระจกรถยนต์ด้านหน้าข้างคนขับก็ลดระดับลงมาจนเกือบสุด แล้วก็มีเสียงตะโกนออกมา “เสนอหน้ามาทำไม” จากนั้นรถคันดังกล่าวก็เคลื่อนตัวออกไป เธอก็แปลกใจว่าคนในรถคันนั้นพูดกับใคร
“โทษทีนะคะ รอนานไหม พอดีพี่เข้าห้องน้ำมาน่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็เพิ่งออกมาเอง”
“งั้นไปกันเลย รถของพี่จอดอยู่ตรงนั้นค่ะ”
ระหว่างทางที่ปริศนานั่งรถไปกับพี่สุทิพา ปริศนาก็พูดขึ้นว่า
“ชนิดาเขาเป็นคนหน้าตาดีแล้วก็มีเพื่อนเยอะจังเลยค่ะ”
“เขาเป็นคนอัธยาศัยดีน่ะ ยิ้มง่าย ชอบเข้าสังคม แต่งตัวก็เก่งด้วย แต่หลายคนที่รู้จักชนิดาเป็นอย่างดี มักจะบอกตรงกันว่า เขาไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเห็นนะ”
วันหนึ่งขณะที่ปริศนาตรวจงานนักศึกษาอยู่ ชนิดาก็เข้ามาถาม
“พอดีฉันกำลังทำเอกสารประกอบการสอนอยู่น่ะ แต่สงสัยเรื่องการเขียนอ้างอิง คิดว่าเธอน่าจะพอรู้เลยลองมาถามดู ช่วยอธิบายให้ฟังได้ไหมจ้ะ” ปริศนาจึงอธิบายให้เพื่อนร่วมงานด้วยความยินดีแม้ว่าตนเองจะมีงานที่ทำอยู่ก็ตามแต่ก็ใช้เวลาอธิบายไปประมาณยี่สิบนาที
“อ๋อ เข้าใจแล้ว เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันไปทำงานต่อก่อนนะ” ชนิดาพูดก่อนจะเดินจากไป
วันถัดมาชนิดาก็ถามเรื่องเดิม แต่ไม่ใช่คำถามเดิม สัปดาห์ต่อมาชนิดาก็ยังคงถามเรื่องนี้อีก แต่เปลี่ยนคำถาม ปริศนาก็ยังคงตอบตามที่ได้ศึกษามาได้ทุกครั้งและอธิบายให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจได้เช่นเคย
ตลอดระยะเวลาห้าเดือนมานี้ หากเจอหน้ากัน ชนิดาก็จะถามแต่เรื่องนี้ แต่หากไม่เจอกันก็จะโทรมาถาม อาจเป็นเวลาหลังเวลาเลิกงานบ้าง บางครั้งก็เป็นเวลากลางคืน กระทั่งวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ปริศนาก็คงรับสายและยินดีตอบคำถามของเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่สนิทกันทุกครั้งแม้ว่าจะเป็นเวลาส่วนตัวก็ตาม
วันนี้ก็เช่นกัน “ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเขียนบรรณานุกรมเลย ช่วยดูให้หน่อยนะ” ชนิดาเข้ามาถามขณะปริศนากำลังจะออกไปสอนชั่วโมงถัดไป ปริศนาจึงขอตัวไปสอนก่อน แต่ก็ยังคงกลับมาตอบคำถามของชนิดาเหมือนเช่นเคย ครั้งนี้ปริศนาได้ถ่ายสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องมาด้วยเพราะน่าจะเป็นประโยชน์ต่อชนิดา
“พี่ว่าเขาแปลกนะ ทำไมมาถามหนูบ่อยจัง แล้วไม่เห็นพูดขอบคุณ สักครั้งเลย” พี่สุทิพาซึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่มาสักระยะแล้วก็ถามขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูช่วยเหลือนิดหน่อยเอง เราอยู่สาขาเดียวกันก็ต้องช่วยกันอยู่แล้วค่ะ” ปริศนาตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“แต่พี่ว่า ตามมารยาทแล้วก็ควรพูดสักหน่อยนะ เห็นถามมาตั้งหลายครั้งแล้ว อ้อ...แล้วตอนพี่ตรวจงานของเขา พี่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเอาสิ่งที่หนูแนะนำไปใช้อะไรเลย” พี่สุทิพาพูดพร้อมกับนำผลงานของชนิดามาให้ดู ปริศนาได้อ่านผลงานของชนิดาแล้วก็พบว่าเป็นจริงตามที่พี่สุทิพาบอก อันที่จริงตามจรรยาบรรณทางวิชาการแล้วนั้นการเขียนอ้างอิงเป็นสิ่งจำเป็นและถือเป็นมารยาททางวิชาการอย่างหนึ่งด้วย แต่ผู้เขียนต้องเลือกรูปแบบการอ้างอิงเพียงรูปแบบเดียว แล้วใช้ให้เหมือนกันตลอดทั้งเล่ม ไม่จำเป็นต้องใช้การอ้างอิงหลายรูปแบบ
หลังจากนั้นเมื่อชนิดาโทรมาถามอีก ปริศนาจึงถามอย่างสงสัยว่า
“เธอไม่ได้เอาคำตอบของฉันไปใช้เลย แล้วทำไมช่วงหลายเดือนมานี้เธอถึงถามฉันเรื่องเดิมตลอดล่ะ”
“ก็แค่อยากลองถามน่ะ เห็นเธอจบมาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแถมยังได้เกียรตินิยมมาด้วย” ชนิดาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ถ้าเช่นนั้น ต่อไปนี้ฉันจะไม่ตอบคำถามของเธอเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะว่ารูปแบบการอ้างอิงของแต่ละสถาบันไม่เหมือนกัน เธอก็น่าจะได้เรียนรู้เรื่องนี้มาจากสถาบันของเธอแล้วด้วย” ปริศนาพูดไปตามตรง
สัปดาห์ถัดมามีคนโทรมาหาปริศนา เมื่อเธอรับสายแล้วพูด “สวัสดีค่ะ” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เธอถามว่า “ต้องการพูดกับใครคะ” แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบแม้จะถามซ้ำอีกสองครั้ง จึงวางสายไป สักครู่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก เธอดูแล้วก็เป็นหมายเลขเดิม ปริศนารับสายแล้วพูดเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีเสียงตอบอีกเช่นเคย ครั้งต่อมาก็ยังเป็นเช่นนี้อีก เธอก็นึกได้ว่าคงมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว
ช่วงหลังมานี้ปริศนาสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานหลายคนมีท่าทีแปลกไป โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ในกลุ่มของชนิดา มีบางคนที่ปริศนากล่าวทักทายแล้วทำเป็นมองไม่เห็น บางคนมองด้วยสายตาเชิงเหยียดหยาม บางคนก็พูดจาประชดประชัน บางคนที่เดินตามหลังปริศนามาก็กระแทกเท้าให้เกิดเสียงดัง บางคนก็ทำสีหน้าถทึงบึ้งตึงเมื่อปริศนาพูดด้วย จนกระทั่งพี่สุทิพามากระซิบกับปริศนาว่า “ยัยชนิดาคงไปพูดอะไรแน่ล่ะ”
ปริศนาจึงย้อนคิดกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เคยพูดถึงสถาบันของชนิดาซึ่งอาจจะถูกนำไปตีความและบิดเบือนเจตนาไปในทางไม่ดี หากชนิดาจะนำไปพูดในกลุ่มเพื่อน ก็น่าจะมีผลให้หลายคนมีท่าทีประหลาดเช่นนั้น แต่เมื่อความจริงปรากฏ อาจารย์ผู้ใหญ่ในสาขาที่ทราบเรื่องก็ตำหนิการกระทำของชนิดา แม้ว่าเธอจะยอมรับแต่โดยดีแต่ในใจดั่งไฟสุมขอน เพราะเป็นครั้งแรกที่ถูกว่ากล่าวตักเตือนจึงรู้สึกเสียหน้า ส่วนอาจารย์ในสาขาที่เคยเข้าใจผิดหรือเคยทำตัวแปลก ก็เปลี่ยนมาทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีแม้แต่คำว่า “ขอโทษ” ให้ได้ยินเลยสักคนแม้เพียงสักครั้ง แต่กระนั้นปริศนาก็ไม่ได้ตำหนิหรือถือโทษโกรธใคร เธอก็เลือกที่จะทำตัวปกติเช่นกัน เพราะน่าจะเป็นการให้เกียรติเพื่อนร่วมงานที่อาจเข้าใจเจตนาของเธอผิดไปจากการฟังคำพูดของผู้ไม่ปรารถนาดี เหตุการณ์นี้เป็นข้อคิดว่า มารยาทในการฟังอย่างหนึ่งคือการฟังอย่างมีวิจารณญาณ ไม่รีบเชื่อ ไม่รีบบอกต่อ ก็ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญของอาจารย์ทุกคนในระดับมหาวิทยาลัยที่เรียกตัวเองว่าปัญญาชน
วันเปิดภาคการศึกษาใหม่ ตามระเบียบที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้ อาจารย์ต้องแจกเอกสารโครงการสอนให้นักศึกษาได้ทราบขอบเขตเนื้อหาและกติกาการเรียนของรายวิชา ปริศนาก็ได้เตรียมเอกสารดังกล่าวไว้ล่วงหน้า แล้วส่งไปถ่ายเอกสารตั้งแต่สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามปกติหลังจากร้านดำเนินการเสร็จแล้วก็จะนำเอกสารมาส่งที่สำนักงานคณะ แต่เมื่อเธอไปรับ กลับไม่พบ ปริศนาจึงไปถามเจ้าของร้านซึ่งชี้แจงว่าได้นำเอกสารส่งไปเก็บไว้ที่สำนักงานของคณะตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว ทำให้ปริศนาไม่มีโครงการสอนมาแจกผู้เรียน
“อาจารย์ขอโทษนักศึกษาทุกคนด้วยนะคะ ที่ไม่ได้นำโครงการสอนมาแจกตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอน” ปริศนาพูดขึ้นก่อนจะเริ่มชี้แจงรายละเอียดของวิชาซึ่งมีในสไลด์พาวเวอร์พอยต์ที่เตรียมมา
หลังจากสิ้นสุดวิชาแรก ดูจากตารางสอนก็มีเวลาเหลืออีกพอสมควรกว่าจะถึงวิชาถัดไป ปริศนาจึงเดินไปสอบถามจากเจ้าหน้าที่ในสำนักงานของคณะ ขณะนั้น ผศ.ดร.สุทิพาก็เข้ามาติดต่อเจ้าหน้าที่ด้วยพอดี จึงกล่าวทักทายและพูดคุยกัน
**มีต่อ**