สถานภาพตอนนี้ ได้มีโอกาสเป็นแม่คนมาสี่ปีแล้ว และยังทำหน้าที่ลูก แต่วันนี้รู้สึกหดหู่ ดิ่ง เพราะทะเลาะกับแม่มาหลายวันแล้ว จนมาถึงวันแม่ ในฐานะลูกขณะเดิน นอน นั่ง มันรู้สึกบอกไม่ถูก สลัดออกจากหัวสมองไม่ได้
เดิมทีรักแม่มาก มีแต่แม่อยู่ในทุกลมหายใจ ทำทุกอย่าง มุมานะ ทะเยอทะยาน เรียนจบสูงสุดในครอบครัวเพื่อให้แม่ภูมิใจ ให้ตัวเองประกอบอาชีพที่ดี เลี้ยงดูตัวเอง และแม่ได้ เราภูมิใจกับตัวเองมาก ที่เราสามารถมีชีวิตที่ดี และได้ตอบแทนพระคุณแม่อย่างสุดความสามารถ แต่วันนี้รู้สึกความภูมิใจในตัวเองไม่มีเลย มีแต่ความสับสน จะรู้สึกผิดหรือถูกดีที่เป็นอยู่วันนี้
แต่ปัญหาที่มันสะสมมาแต่เด็ก เรื่องเงินทอง ที่แม่และพ่อเลี้ยงเอาเปรียบมาตลอด มันทำให้เราถึงจุดสุดขีดจนวันนี้จนวันที่บอกกับตัวเองว่า มันไม่ไหวแล้วนะ
ก่อนหน้าจะมีลูก เรายังไม่รู้สึกอะไรมาก ทั้งๆ ที่แม่เอาปัญหาเรื่องเงินมาให้ จนอยากจะกรี๊ดๆ ตามใช้ให้ทุกครั้ง หวังว่าจะให้เค้ายืนนับหนึ่งและเริ่มต้นใหม่ คิดแบบนี้ทุกรอบ
ขอย้อนเล่าภูมิหลัง
เราเองเกิดมาพ่อแม่เลิกกัน แม่มีสามีใหม่ย้ายไปอยู่กินกับพ่อเลี้ยงตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เราเองอยู่กับป้ามาตั้งแต่เกิด แต่ก็ด้วยความรัก เรารักแม่มากกว่าป้าเราตอบแทนพระคุณแม่มากกว่าป้าหลายเท่า ทั้งๆ ที่ป้าเป็นคนอดหลับอดนอนเลี้ยงดูเรา ยามเจ็บป่วยมีแต่ป้าที่เฝ้าเช็ดตัวป้อนยาอดนอน
พ่อเลี้ยงเป็นคนไม่ขยัน แถมยังเป็นคนขี้เกียจมาก ทำงานวันหยุดวัน กินข้าวเย็นในห้างทุกวัน เค้าไม่ได้ให้แม่เราไปทำงาน ให้ปรนนิบัติเค้า เงินทองไม่พอใช้แม่เราก็ไปกู้หนี้ยืมสิน เอาบ้านจำนอง เราก็ผ่อนให้ ติดหนี้ทั้งนอกระบบ ในระบบ เราก็ชดใช้ให้ เราทะเลาะกับเค้าตอนอายุ 18 เค้าไม่ให้เงินเราเลยนับแต่นั้น แม่เองก็ไม่ได้ทำงาน เมื่อพ้อเลี้ยงไม่ให้ แม่เราก็ไม่มีให้ โชคดีเราเป็นคนขยัน เราชอบทำงานทุกเย็นและปิดเทอม เลยมีเงินทองพอจะกู้เรียนและเลี้ยงตัวเองต่อไปจนจบปริญาตรีได้
เค้าสองคนมีบ้านที่ติดจำนอง ซึ่งตอนเราเรียนจบ เรายังไม่ได้คุยกับเค้า ตอนนั้นรู้แล้วว่าการเงินแย่มาก เรามีแฟน เรียนจบทำงานได้ปีเลยชวนแต่งงงาน เอาสินสอดไปให้เค้า จำได้ว่า เค้าเลยยอมคุยกับเราตั้งแต่นั้นมา เรายกสินสอดให้หมด แถมซื้อคอนโดต่อเค้า ปีนั้นทั้งปี เงินที่ได้ไป เค้าใช้หมดเลย ชีวิตก็วนอยู่กับหนี้สิน พอแม่หาทางออกไม่ได้ ก็จะสูบบุหรี่ให้เราเห็น กดดันเรา จนเรารู้แกว ต้องไปถามว่ามีหนี้เท่าไหร่ เราก็จะตามไปใช้หนี้ ทำแบบนี้หลายครั้ง จนมาครั้งที่เราคิดว่ามันน่าจะสุดท้ายแล้ว เค้าให้เราปล่อยเงินกู้ บอกว่าดีกว่าฝากแบงก์ เราจำได้ว่าปล่อยไป 3 แสนกว่า จนมารู้ว่า ที่ปล่อยไปไม่ใช่ลูกหนี้ที่ไหน แม่เรานี่เองกับพ่อเลี้ยง
ความแตกเพราะตอนนั้นเรามีลูก แม่เราเค้าดูเครียดมาก เราเลยไปถามญาติคนที่แม่เค้าสนิทว่าเป็นอะไร ญาติเค้าเลยบอกช่วยแม่หน่อย เราเลยบอกว่าช่วยอะไรหรอ เราให้แม่เดือนละหมื่นนะ ไม่ช่วยอะไร เรากลัวว่ความเครียดจะส่งต่อไปถึงอารมณ์ลูกเรา ตอนนั้นเราแทบกรี๊ด เงินของเราคือสูญไป เราแทบกรี๊ด สามีเราก็บอกไม่ได้ นับจากวันนั้น เราเองแทบไม่มีความรักให้แม่เลย เราสะสมความรู้สึกไม่ดีต่อแม่มาตลอดโดยไม่รู้ตัว แม่เราเองชอบทวงบุญคุณ ชอบพูดเรื่องเงิน อยากจะใช้เงิน อยากจะได้เงิน ทั้งๆ ที่เราให้แล้ว อย่างเราบอกว่า ทำประกันชีวิตให้ แม่ก็บอก กูอยากใช้ตอนนี้ กูไม่ได้อยากได้ตอนตาย เราก็อธิบายว่า ทุกวันนี้เราเลี้ยงอยู่แล้ว ถ้าวันที่ไม่มีเราบนโลกใบนี้ แม่จะได้มีเงินตรงนี้ไว้ใช้ แม่เราก็ไม่พอใจ
เค้ามีบ้านกับสามีที่ติดจำนอง แต่เราเป็นคนผ่อนให้ อันที่จริงเค้าอยากจะขาย เค้าบอกว่าอยากใช้เงิน แต่เราเองทู่ซี้ พยายามรั้งไว้ เพราะเราเองรู้ว่าถ้าขาย เงินตรงนี้ก็หมดไปไม่นานแน่ เพราะพ่อเลี้ยงไม่ค่อยทำกิน พอแม่รู้ว่าเอาเรื่องขายบ้านมาขู่ เราเองก็จะยอมเค้า กลายเป็นมุขของเค้าที่มาใช้อยู่เป็นประจำกับเรา จนล่าสุด เราบอกเค้าว่า ที่ไม่ให้ขาย ไม่ใช่เพราะว่าอยากได้บ้านหลังนี้ แต่เพราะสามีแม่ไม่เหมือนคนอื่น ถ้าให้ขายไปตั้งนานแล้ว ก็คงหมดไปนานแล้ว แล้วเราเองทุกวันนี้ ให้เค้าทั้งค่ากิน วันละ 200 ค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียก็ซื้อให้ทั้งหมด ยังขาดอะไร มีบ้านอยู่ทำไมไม่ดีใจ เป็นแม่คนอื่นเค้าดีใจแล้วนะ ที่ลูกเป็นแบบนี้
ล่าสุดเมื่อต้นปี เราเองซื้อรถมือสองไว้ให้พ่อเลี้ยงทำกินอีก เห็นว่าคันเก่า มันเก่าแล้ว ให้คันใหม่ จะได้มีแรงทำมาหากิน เผื่อจะได้เงินมาบำเรอความสุขทั้งเค้าและแม่ จะได้ไม่มากวนใจเราอีกว่าอยากจะใช้เงิน เราคิดว่าทุกอย่างน่าจะดี เราเองก็คุยกับสามีว่าตกลงซื้อให้เค้า โชคดีมาก ๆ ที่ชีวิตนี้มีสามีดี เค้าบอกว่า ถ้าสามีเราไม่ใช่เค้า บ้านเราแตกไปนานแล้ว ปรากฏว่าทำดีอยู่เดือนเดียว ก็กลับมาเหมือนเดิม ทีนี้มาเจอโควิดอีก เค้าไม่ทำงานตั้งแต่กุมภาพันธ์ เราเองก็ผ่อนรถไปได้ไม่กี่เดือน เลยบอกแม่ว่า ให้เค้าไปขับแท็กซี่ดีมั้ย แม่ก็ด่ากลับมาว่า ไม่รู้หรอ คนขับแท็กซี่เค้ากลับบ้านนอกไปเท่าไหร่ละ เราเลยเงียบ คิดในใจว่า ถ้าไม่คิดจะทำอะไรแล้ว ก็อย่าเรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้ เท่าที่ให้ทุกวันนี้เราเองก็มาก็แล้ว เพราะเรามีลูก มีค่าเทอม ค่าผ่อนบ้านเราด้วย แต่แม่ไม่หยุดแค่นั้น ไปบอกกับญาติว่าอยากได้เงินเราซักสองแสนก้อนสุดท้าย ทีนี้เราเลยปรี๊ดแตก จนรู้ว่าความคิดแม่เรา เค้าไม่สมกับเป็นแม่เลย เราเสียใจผิดหวัง ที่แม่บอกว่าเราให้ลูกเราเรียนแพงๆ หรือที่บอกว่าเรามีเงินเก็บหลายล้าน ให้เค้าซักแสนสองแสนไม่ได้ คือเรา งง มากว่าแล้วที่ผ่านๆ มาล่ะคืออะไร ชีวิตเราจะดีไม่ได้เลย ต้องผูกติดกับแม่ไปตลอด ตอนเราสร้างบ้าน แม่ก็ไม่พอใจ ที่เราสร้างหลังเล็ก เค้าไม่พออยู่ ซึ่งเค้าหวังจะมาอยู่กับเรา แล้วขายบ้านเค้า ให้เค้ามีเงิน และมีที่อยู่ แต่สามีเราเค้าไม่ได้ให้มาอยู่ ช่วงนั้นเป็นปัญหาชีวิตมาก
ในความคิดตอนนี้คือ เราไม่รักแม่เลย ไม่รักแม่ เพราะเราเองได้เป็นแม่คนแล้ว เราคิดว่า แม่ที่ดีไม่ใช่แบบนี้ ตั้งแต่วันที่ลูกเราหลุดออกจากท้องเรา เรารู้จักคำว่าแม่ว่า แท้จริงแล้ว แม่ไม่ได้ต้องการอะไรจากลูกเลย แค่หวังให้เค้ามีความสุข กินอิ่ม นอนหลับ แข็งแรงเป็นคนดีก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาเงินทองมากองให้แม่ เพราะมันคือหน้าที่แม่ที่ต้องรับผิดชอบต่อลูก
วันนี้วันแม่ มีใครรู้สึกเจ็บปวดหดหู่เหมือนเราบ้างมั้ย
เดิมทีรักแม่มาก มีแต่แม่อยู่ในทุกลมหายใจ ทำทุกอย่าง มุมานะ ทะเยอทะยาน เรียนจบสูงสุดในครอบครัวเพื่อให้แม่ภูมิใจ ให้ตัวเองประกอบอาชีพที่ดี เลี้ยงดูตัวเอง และแม่ได้ เราภูมิใจกับตัวเองมาก ที่เราสามารถมีชีวิตที่ดี และได้ตอบแทนพระคุณแม่อย่างสุดความสามารถ แต่วันนี้รู้สึกความภูมิใจในตัวเองไม่มีเลย มีแต่ความสับสน จะรู้สึกผิดหรือถูกดีที่เป็นอยู่วันนี้
แต่ปัญหาที่มันสะสมมาแต่เด็ก เรื่องเงินทอง ที่แม่และพ่อเลี้ยงเอาเปรียบมาตลอด มันทำให้เราถึงจุดสุดขีดจนวันนี้จนวันที่บอกกับตัวเองว่า มันไม่ไหวแล้วนะ
ก่อนหน้าจะมีลูก เรายังไม่รู้สึกอะไรมาก ทั้งๆ ที่แม่เอาปัญหาเรื่องเงินมาให้ จนอยากจะกรี๊ดๆ ตามใช้ให้ทุกครั้ง หวังว่าจะให้เค้ายืนนับหนึ่งและเริ่มต้นใหม่ คิดแบบนี้ทุกรอบ
ขอย้อนเล่าภูมิหลัง
เราเองเกิดมาพ่อแม่เลิกกัน แม่มีสามีใหม่ย้ายไปอยู่กินกับพ่อเลี้ยงตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เราเองอยู่กับป้ามาตั้งแต่เกิด แต่ก็ด้วยความรัก เรารักแม่มากกว่าป้าเราตอบแทนพระคุณแม่มากกว่าป้าหลายเท่า ทั้งๆ ที่ป้าเป็นคนอดหลับอดนอนเลี้ยงดูเรา ยามเจ็บป่วยมีแต่ป้าที่เฝ้าเช็ดตัวป้อนยาอดนอน
พ่อเลี้ยงเป็นคนไม่ขยัน แถมยังเป็นคนขี้เกียจมาก ทำงานวันหยุดวัน กินข้าวเย็นในห้างทุกวัน เค้าไม่ได้ให้แม่เราไปทำงาน ให้ปรนนิบัติเค้า เงินทองไม่พอใช้แม่เราก็ไปกู้หนี้ยืมสิน เอาบ้านจำนอง เราก็ผ่อนให้ ติดหนี้ทั้งนอกระบบ ในระบบ เราก็ชดใช้ให้ เราทะเลาะกับเค้าตอนอายุ 18 เค้าไม่ให้เงินเราเลยนับแต่นั้น แม่เองก็ไม่ได้ทำงาน เมื่อพ้อเลี้ยงไม่ให้ แม่เราก็ไม่มีให้ โชคดีเราเป็นคนขยัน เราชอบทำงานทุกเย็นและปิดเทอม เลยมีเงินทองพอจะกู้เรียนและเลี้ยงตัวเองต่อไปจนจบปริญาตรีได้
เค้าสองคนมีบ้านที่ติดจำนอง ซึ่งตอนเราเรียนจบ เรายังไม่ได้คุยกับเค้า ตอนนั้นรู้แล้วว่าการเงินแย่มาก เรามีแฟน เรียนจบทำงานได้ปีเลยชวนแต่งงงาน เอาสินสอดไปให้เค้า จำได้ว่า เค้าเลยยอมคุยกับเราตั้งแต่นั้นมา เรายกสินสอดให้หมด แถมซื้อคอนโดต่อเค้า ปีนั้นทั้งปี เงินที่ได้ไป เค้าใช้หมดเลย ชีวิตก็วนอยู่กับหนี้สิน พอแม่หาทางออกไม่ได้ ก็จะสูบบุหรี่ให้เราเห็น กดดันเรา จนเรารู้แกว ต้องไปถามว่ามีหนี้เท่าไหร่ เราก็จะตามไปใช้หนี้ ทำแบบนี้หลายครั้ง จนมาครั้งที่เราคิดว่ามันน่าจะสุดท้ายแล้ว เค้าให้เราปล่อยเงินกู้ บอกว่าดีกว่าฝากแบงก์ เราจำได้ว่าปล่อยไป 3 แสนกว่า จนมารู้ว่า ที่ปล่อยไปไม่ใช่ลูกหนี้ที่ไหน แม่เรานี่เองกับพ่อเลี้ยง
ความแตกเพราะตอนนั้นเรามีลูก แม่เราเค้าดูเครียดมาก เราเลยไปถามญาติคนที่แม่เค้าสนิทว่าเป็นอะไร ญาติเค้าเลยบอกช่วยแม่หน่อย เราเลยบอกว่าช่วยอะไรหรอ เราให้แม่เดือนละหมื่นนะ ไม่ช่วยอะไร เรากลัวว่ความเครียดจะส่งต่อไปถึงอารมณ์ลูกเรา ตอนนั้นเราแทบกรี๊ด เงินของเราคือสูญไป เราแทบกรี๊ด สามีเราก็บอกไม่ได้ นับจากวันนั้น เราเองแทบไม่มีความรักให้แม่เลย เราสะสมความรู้สึกไม่ดีต่อแม่มาตลอดโดยไม่รู้ตัว แม่เราเองชอบทวงบุญคุณ ชอบพูดเรื่องเงิน อยากจะใช้เงิน อยากจะได้เงิน ทั้งๆ ที่เราให้แล้ว อย่างเราบอกว่า ทำประกันชีวิตให้ แม่ก็บอก กูอยากใช้ตอนนี้ กูไม่ได้อยากได้ตอนตาย เราก็อธิบายว่า ทุกวันนี้เราเลี้ยงอยู่แล้ว ถ้าวันที่ไม่มีเราบนโลกใบนี้ แม่จะได้มีเงินตรงนี้ไว้ใช้ แม่เราก็ไม่พอใจ
เค้ามีบ้านกับสามีที่ติดจำนอง แต่เราเป็นคนผ่อนให้ อันที่จริงเค้าอยากจะขาย เค้าบอกว่าอยากใช้เงิน แต่เราเองทู่ซี้ พยายามรั้งไว้ เพราะเราเองรู้ว่าถ้าขาย เงินตรงนี้ก็หมดไปไม่นานแน่ เพราะพ่อเลี้ยงไม่ค่อยทำกิน พอแม่รู้ว่าเอาเรื่องขายบ้านมาขู่ เราเองก็จะยอมเค้า กลายเป็นมุขของเค้าที่มาใช้อยู่เป็นประจำกับเรา จนล่าสุด เราบอกเค้าว่า ที่ไม่ให้ขาย ไม่ใช่เพราะว่าอยากได้บ้านหลังนี้ แต่เพราะสามีแม่ไม่เหมือนคนอื่น ถ้าให้ขายไปตั้งนานแล้ว ก็คงหมดไปนานแล้ว แล้วเราเองทุกวันนี้ ให้เค้าทั้งค่ากิน วันละ 200 ค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียก็ซื้อให้ทั้งหมด ยังขาดอะไร มีบ้านอยู่ทำไมไม่ดีใจ เป็นแม่คนอื่นเค้าดีใจแล้วนะ ที่ลูกเป็นแบบนี้
ล่าสุดเมื่อต้นปี เราเองซื้อรถมือสองไว้ให้พ่อเลี้ยงทำกินอีก เห็นว่าคันเก่า มันเก่าแล้ว ให้คันใหม่ จะได้มีแรงทำมาหากิน เผื่อจะได้เงินมาบำเรอความสุขทั้งเค้าและแม่ จะได้ไม่มากวนใจเราอีกว่าอยากจะใช้เงิน เราคิดว่าทุกอย่างน่าจะดี เราเองก็คุยกับสามีว่าตกลงซื้อให้เค้า โชคดีมาก ๆ ที่ชีวิตนี้มีสามีดี เค้าบอกว่า ถ้าสามีเราไม่ใช่เค้า บ้านเราแตกไปนานแล้ว ปรากฏว่าทำดีอยู่เดือนเดียว ก็กลับมาเหมือนเดิม ทีนี้มาเจอโควิดอีก เค้าไม่ทำงานตั้งแต่กุมภาพันธ์ เราเองก็ผ่อนรถไปได้ไม่กี่เดือน เลยบอกแม่ว่า ให้เค้าไปขับแท็กซี่ดีมั้ย แม่ก็ด่ากลับมาว่า ไม่รู้หรอ คนขับแท็กซี่เค้ากลับบ้านนอกไปเท่าไหร่ละ เราเลยเงียบ คิดในใจว่า ถ้าไม่คิดจะทำอะไรแล้ว ก็อย่าเรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้ เท่าที่ให้ทุกวันนี้เราเองก็มาก็แล้ว เพราะเรามีลูก มีค่าเทอม ค่าผ่อนบ้านเราด้วย แต่แม่ไม่หยุดแค่นั้น ไปบอกกับญาติว่าอยากได้เงินเราซักสองแสนก้อนสุดท้าย ทีนี้เราเลยปรี๊ดแตก จนรู้ว่าความคิดแม่เรา เค้าไม่สมกับเป็นแม่เลย เราเสียใจผิดหวัง ที่แม่บอกว่าเราให้ลูกเราเรียนแพงๆ หรือที่บอกว่าเรามีเงินเก็บหลายล้าน ให้เค้าซักแสนสองแสนไม่ได้ คือเรา งง มากว่าแล้วที่ผ่านๆ มาล่ะคืออะไร ชีวิตเราจะดีไม่ได้เลย ต้องผูกติดกับแม่ไปตลอด ตอนเราสร้างบ้าน แม่ก็ไม่พอใจ ที่เราสร้างหลังเล็ก เค้าไม่พออยู่ ซึ่งเค้าหวังจะมาอยู่กับเรา แล้วขายบ้านเค้า ให้เค้ามีเงิน และมีที่อยู่ แต่สามีเราเค้าไม่ได้ให้มาอยู่ ช่วงนั้นเป็นปัญหาชีวิตมาก
ในความคิดตอนนี้คือ เราไม่รักแม่เลย ไม่รักแม่ เพราะเราเองได้เป็นแม่คนแล้ว เราคิดว่า แม่ที่ดีไม่ใช่แบบนี้ ตั้งแต่วันที่ลูกเราหลุดออกจากท้องเรา เรารู้จักคำว่าแม่ว่า แท้จริงแล้ว แม่ไม่ได้ต้องการอะไรจากลูกเลย แค่หวังให้เค้ามีความสุข กินอิ่ม นอนหลับ แข็งแรงเป็นคนดีก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาเงินทองมากองให้แม่ เพราะมันคือหน้าที่แม่ที่ต้องรับผิดชอบต่อลูก