The least known Pyramid ปิรามิดที่รู้จักน้อยที่สุด

 
Pyramid of Cestius


 
พีระมิดแห่งนี้เป็นอนุสาวรีย์เก่าแก่ของกรุงโรมที่มีอายุกว่า 2,000 ปี ที่หลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของกลุ่มอาคารที่มีอยู่ในกรุงโรมในช่วงที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช  สถาปัตยกรรมของสุสานได้รับอิทธิพลจากแฟชั่นที่เกิดขึ้นในกรุงโรมหลังจากการพิชิตอียิปต์  ตั้งอยู่ใกล้กับ Porta San Paolo และสุสานโปรเตสแตนต์  ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นหลุมฝังศพของ Caius Cestius  สมาชิก Epulones หนึ่งในบุคคลสำคัญขององค์กรทางศาสนา 

พีระมิดตั้งอยู่ที่ทางแยกระหว่างถนนโบราณ Via Ostiensis ถนนเก่าแก่ที่มีความสำคัญต่อโรมันในอดีต และถนนอีกเส้นหนึ่งที่วิ่งไปทางตะวันตกไปยังแม่น้ำ Tiber คือถนน Via Della Marmorata อันทันสมัย  และเนื่องจากมีการรวมเข้ากับป้อมปราการของเมืองจึงทำให้อาคารเก่าแก่แห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีในกรุงโรม
 
พีระมิดถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 12 – 18 ปีก่อนคริสต์ศักราช   ลักษณะเป็นคอนกรีตก่ออิฐที่ตั้งอยู่บนพื้นหินอ่อนซึ่งปูด้วยแผ่นหินอ่อนสีขาว  บริเวณส่วนฐานมีความยาวประมาณ 100 ฟุตโรมันหรือประมาณ  30 เมตร  สูงประมาณ 125 ฟุตโรมันหรือประมาณ 37 เมตร  ภายในเป็นห้องฝังศพรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงกระบอกที่เรียบง่ายมีความยาวประมาณ 600 เมตร และสูงประมาณ 4.10 เมตร

ห้องฝังศพนี้ได้รับการตกแต่งด้วยภาพ fresco(การวาดภาพบนผนังปูนเปียก) ซึ่งได้รับการบันทึกโดย Pietro Santi Bartoli ซึ่งยังคงมีร่องรอยของจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วไม่มีร่องรอยของสิ่งตกแต่งทางด้านสถาปัตยกรรมอื่นๆ   หลุมฝังศพได้รับการปิดผนึกไว้แต่เกิดการละเมิดขึ้น ซึ่งคาดว่าอาจย้อนไปถึงช่วงยุคกลางที่ถูกหามไปโดยการขุดอุโมงค์ทางด้านทิศเหนือจึงทำให้เกิดความเสียหายของโกศและส่วนสำคัญของการตกแต่งบางแห่ง  ด้านบนสุดของห้องใต้ดินมีสัญลักษณ์แห่งชัยชนะสี่ปีกที่แต่ละตัวมีมงกุฎและริบบิ้น  มีส่วนศูนย์กลางที่เป็นภาพถวายคำยกย่องและคำจารึกที่ส่วนหน้าของอุโมงค์
 
เนื่องด้วยแต่เดิมสุสานถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในกำแพงเมือง  แต่ด้วยกรุงโรมได้เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงสมัยศตวรรษที่ 3 พีระมิดจึงถูกล้อมรอบด้วยสิ่งปลูกสร้างเดิมภายในกำแพงทั้งรูปปั้น คอลัมน์และสุสานอื่นๆ มีการขุดค้นพบฐานหินอ่อน 2 แห่งในปี ค.ศ. 1660 พร้อมกับชิ้นส่วนของรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ในบริเวณที่ถัดไปจากพีระมิดด้วย
Cr.https://www.talontiew.com/pyramid-of-caius-cestius/

 
Monte Alban


Monte Albán เป็นเมืองโบราณกลางหุบเขา Oaxaca ในเมือง Santa Cruz Xoxocotlán รัฐ Oaxaca ประเทศเม็กซิโก ก่อตั้งเมืองขึ้นประมาณ 500 ปีก่อนคริสตศักราช เป็นเมืองแรกๆที่สร้างขึ้นในเมโสอเมริกา ปกครองโดยวัฒนธรรม Zapotec ยาวนานเกือบพันปี และสิ้นสุดในช่วยปลายยุคคลาสสิค (ปี 500-750) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมรดกโลกของ UNESCOในปี 1987
 
มีความสูงประมาณ 1,940 ม. (6,400 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเลปานกลางและสูงขึ้นจากพื้นหุบเขาประมาณ 400 ม. (1,300 ฟุต)  นอกเหนือจากแกนกลางที่ยิ่งใหญ่แล้วโบราณสถานที่แห่งนี้ยังโดดเด่นด้วยระเบียงหลายร้อยแห่ง และกลุ่มสถาปัตยกรรมเนินดินที่ครอบคลุมแนวสันเขาทั้งหมดและด้านข้างโดยรอบ ซากปรักหักพังทางโบราณคดีบนเนินเขา Atzompa และ El Gallo ที่อยู่ใกล้ ๆ ทางทิศเหนือถือเป็นส่วนสำคัญของเมืองโบราณเช่นกัน
 
Monte Alban ตั้งอยู่บนที่ราบสูงที่มีกำแพงล้อมรอบสูงชันไม่มีแหล่งน้ำไม่เคยใช้เป็นที่อยู่อาศัย และไม่มีหลักฐานว่าเคยถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ทางยุทธศาสตร์หรือการทหาร ยิ่งไปกว่านั้นมันยากมากที่จะสร้างสิ่งต่างๆในที่สูงๆ เพราะหินที่หนักต้องนำขึ้นมาจากหุบเขาด้านล่าง และช่างก่อสร้างก็ไม่มีเครื่องมือใดๆที่จะตัดหินได้  แต่สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นศูนย์กลางพิธีกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับสองในเมโสโปเรีย  นักโบราณคดีได้อธิบายความพยายามในการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้ว่า  สิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่นั้นเป็นตัวแทนของแรงผลักดันทางสังคมและศาสนาซึ่งเป็นรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมของการใช้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 
Cr.https://th.sacredsites.com/Americas/เม็กซิโก/monte_alban.html
Cr.https://en.wikipedia.org/wiki/Monte_Alb%C3%A1n

Tchogha Zanbil


 
Tchogha Zanbil ตั้งอยู่ในเขตเมืองโบราณ Elam ในจังหวัด Khuzestam ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอิหร่าน ซิกกุแรตแห่งนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ซิกกุแรตที่อยู่ห่างจากบริเวณเมโสโปเตเมีย ด้วยความที่ยังสมบูรณ์ทำให้ได้จดทะเบียนเป็นหนึ่งในมรดกโลกของยูเนสโก  ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ 1250 ปี ก่อนคริสต์ศักราช โดยกษัตริย์ Untash-Napirisha เพื่อบูชาเทพเจ้า Inshushinak  แต่ก่อนที่จะสร้างเสร็จกษัตริย์ก็สิ้นพระชนม์และการก่อสร้างอาคารนี้ถูกทิ้งร้างเมื่อชาวอัสซีเรียโจมตี TChoga Zanbil  ในอีกหกศตวรรษต่อมายังคงมีอิฐหลายพันก้อนกองอยู่ รวมเวลาแล้วซิกกุแรตแห่งนี้จะมีอายุรวมกว่า 2,000-3,000 ปี 
Tchogha Zanbil เป็นการแสดงออกที่โดดเด่นของวัฒนธรรมความเชื่อและประเพณีพิธีกรรมของชนพื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของอิหร่าน  สถานที่ได้รับการปกป้องโดยกำแพงล้อมรอบศูนย์กลางสามแห่งคือ กำแพงด้านนอกยาวประมาณ 4 กม. เป็นโครงสร้างอิฐอบที่มีการฝังศพของราชวงศ์  กำแพงที่สองปกป้องวัด (Temenus) และผนังด้านในสุดคือซิกกูแรต
 
ซิกกูแรตเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเท่านั้น ยังมีวัดรวมสิบเอ็ดแห่งที่อุทิศให้กับเทพเจ้าที่น้อยกว่าในบริเวณนี้ เชื่อกันว่าเดิมทีกษัตริย์ Untash-Napirisha มีแผนที่จะสร้างวิหารยี่สิบสองแห่งซึ่งนักวิชาการบางคนเชื่อว่าเป็นความพยายามที่จะสร้างศูนย์กลางทางศาสนาใหม่ซึ่งอาจมีจุดประสงค์เพื่อแทนที่ซูซา
 
เดิมทีซิกกูแรตวัดได้ด้านละ 105.2 ม. และสูงประมาณ 53 ม.ในห้าระดับโดยบนสุดเป็นวิหาร  ใช้วัสดุพื้นฐานเป็นอิฐโคลนทั้งหมด ซิกกูแรตถูกกำหนดให้หันหน้าไปทางอิฐอบซึ่งจำนวนหนึ่งมีอักขระคูนิฟอร์มซึ่งเป็นชื่อของเทพในภาษาอีลาไมท์และอัคคาเดียน แม้ว่าตอนนี้ซิกกูแรตจะสูงเพียง 24.75 ม. แต่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของความสูงเดิมโดยประมาณ แต่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี
Cr.https://whc.unesco.org/en/list/113/
Cr.amusingplanet.com
Cr.https://travel.thaiza.com/foreign/418431/

 
Nubian Meroe


 
Nubian Meroe (pyramids) อยู่ในเมือง Bagrawiyah ระยะทางมากกว่า 200 กิโลเมตรจากเมือง Khartoum ของประเทศ Sudan โบราณสถานนี้อยู่ในเขตภูมิประเทศแห้งแล้งกลางทะเลทรายท่ามกลางสันทรายล้อมรอบ   แม้ว่ามีขนาดเล็กกว่าพีระมิดในอียิปต์แต่ได้สร้างความประทับใจให้กับคนอียิปต์ในยุคก่อน ลักษณะเด่นจะอยู่ที่ส่วนฐานซึ่งแคบและชัน โดยมีความสูง 20 ฟุต ไปจนถึง 100 ฟุต ตัวพีระมิดมีความหลากหลายเพราะรวมเอาศิลปะของชาติอื่นมาผสมผสานด้วย ทั้งอียิปต์ กรีซ และโรม
 
พีระมิดนี้ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ Nile ถูกตั้งชื่อตามนครโบราณ Meroe เมืองหลวงราชอาณาจักร Kush อาณาจักรแอฟริกาโบราณที่อยู่ในสาธารณรัฐซูดานประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช  หลังการล่มสลายของราชวงศ์อียิปต์ที่ 24 ชนเผ่านูเบียน Nubian ราชอาณาจักร Kush ได้ตั้งตนเป็นราชันย์ในเขตตอนกลางภูมิภาคแม่น้ำไนล์
 
ราชวงศ์ Kush ยีดครองและปกครองอียิปต์ตั้งแต่ช่วง 712-657 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาในช่วง 300 ปีก่อนคริสต์ศักราชมีการย้ายเมืองหลวงและที่ฝังศพราชวงศ์อียิปต์กลับมาที่แถบเมือง Meroe อีกครั้งหนึ่ง ทำให้เริ่มมีการสร้างพีระมิดและที่ฝังศพผู้ปกครองที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในบริเวณนี้
 
ต่อมามีการพบกลุ่มพีระมิดและหลุมฝังศพของบรรดาราชวงศ์มากกว่า 50 แห่งที่มีการขุดขึ้นมาใหม่หลังจากจมฝังในทะเลทรายนาน คาดว่ามีการสร้างในช่วง 800 ปีหลังจากชนชาติอียิปต์เริ่มไม่นิยมหรือก่อสร้างพิระมิดอีกแล้วในประเทศอียิปต์  และ Nubian Meroe Pyramid มีการอนุรักษ์ที่ดีกว่าพีระมิดอีก 220 แห่งใน Sudan  สถานที่แห่งนี้คือหลุมฝังศพของราชาและราชินีอาณาจักร Kush มากกว่า 40 พระองค์

ก่อนหน้านั้นมีนักสำรวจชาวอิตาลี Giuseppe Ferlini ได้ทุบทำลายส่วนยอดของพีระมิดเหล่านี้มากกว่า 40 แห่งเพื่อค้นหาสมบัติที่คาดว่าฝังอยู่บนส่วนยอดของพีระมิดในช่วงราวปี 1800-1870  สมบัติที่นักสำรวจชาวอิตาลีค้นพบ มีการขนไปให้พิพิธภัณฑ์อังกฤษและเยอรมันนีจำนวนมากพร้อมกับเอกสารทางประวัติศาสตร์และความเชื่อต่าง ๆ ในยุค Meroitic  มีพีระมิดจำนวนไม่มากนักที่มีการบูรณะขึ้นมาใหม่ เปรียบเทียบกับของเดิมที่พังเสียหายเพราะน้ำมือคน  ในปี 2011 พื้นที่บริเวณนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมโดย UNESCO 
Cr.https://travel.trueid.net/detail/d3g1AG8eZQd
Cr.https://www.facebook.com/Thegeneralthaistudentsunioninsudan/posts/1575259749393199/

Pyramid of Niches


 
มหาพีระมิดแห่ง Niches ตั้งอยู่ในแหล่งโบราณคดี El Tajin ในรัฐเวรากรูซที่ทันสมัยของเม็กซิโก พีระมิดมีความสูง  60 ฟุต เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณ ได้ชื่อมาจากช่องเล็ก ๆ ที่เรียงซ้อนกันอย่างเห็นได้ชัดซึ่งล้อมรอบทั้งสี่ด้านของพีระมิด มีการนับจำนวนช่องทั้งหมด 365 ช่อง ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าพีระมิดนี้ถูกใช้เพื่อติดตามวันเป็นปฏิทิน แม้หลังจากการล่มสลายของเอลทาจินในราวปี ค.ศ. 1200 ชาวบ้านก็ยังคงรักษาวัดให้ชัดเจนและเป็นส่วนแรกของเมืองที่ชาวยุโรปค้นพบ  ปัจจุบัน El Tajin ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลก
 
Pyramid of the Niches เรียกอีกหลายอย่างว่า Temple of the Niches, Pyramid of the Seven Stories และ Pyramid of Papantla ทำจากหินทรายที่มีในท้องถิ่น มีฐานสี่เหลี่ยมกว้าง 36 เมตร (118 ฟุต) ในแต่ละด้าน  มีหกชั้น (มีครั้งหนึ่งเคยเป็นที่เจ็ด แต่มันถูกทำลายมากกว่าศตวรรษ) แต่ละชั้นสูงสามเมตร (สิบฟุต)  ความสูงรวมของพีระมิดในปัจจุบันคือสิบแปดเมตร (ประมาณ 60 ฟุต) 
Cr. https://unusualplaces.org/the-city-of-el-tajins-pyramid-of-the-niches/

Koh Ker


สถาปัตยกรรมแบบเกาะแกร์นั้นเป็นการสร้างปราสาทขนาดใหญ่ให้มีความสูงแบบภูเขา ดังเช่นการสร้างพีระมิดขนาดมหึมากว่า 30 เมตร ‘เกาะแกร์ (Koh Ker)’ คือชื่อสถานที่ตั้งของกลุ่มปราสาทเก่าโบราณ เป็นนครที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 ประมาณปี ค.ศ. 921 – 944 เกาะแกร์ถือเป็นเมืองหลวงเก่าของอาณาจักรขอม รู้จักกันในชื่อ พีระมิดเกาะแกร์

พีระมิดเกาะแกร์มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ฐานแต่ละด้านยาวถึง 55 เมตร มีชั้นที่สร้างลดหลั่นกันขึ้นไปถึง 7 ชั้น ความสูงราว 35 เมตร มีบันไดขึ้นเพียงด้านเดียวคือทิศตะวันออก การขึ้นไปบนยอดพีระมิดนั้นเต็มไปด้วยความลำบาก เนื่องจากบันไดที่สูงชันและมีการพังทลาย แต่เมื่อมาอยู่บนยอดพีระมิดกลับพบว่า รอบข้างพีระมิดนั้นถูกปกคลุมไปด้วยผืนป่าใหญ่เขียวชอุ่ม

พื้นที่บนยอดพีระมิดพบฐานศิลาขนาดใหญ่สลักรูปสิงห์แบก ฐานสิงห์แบกนี้น่าจะเป็นที่ตั้งของศิวลึงค์ ซึ่งเป็นความเชื่อในลัทธิไศวนิกายที่รับเอามาจากอินเดีย จนเป็นที่มาของชื่อเรียกเกาะแกร์อีกชื่อหนึ่งว่า ‘ลิงคปุระ’ ท่ามกลางป่าดงดิบนี้  ชนชาติขอมได้สร้างนครท่ามกลางป่าดงดิบแห่งนี้ ก่อนที่จะย้ายราชธานีไปอยู่ที่นครวัด เมื่อเวลาผ่านไป ‘นครแห่งนี้จึงถูกทอดทิ้งและถูกลืมเลือน’ ซ่อนตัวอยู่ในป่าเป็นพัน ๆ ปี
Cr.https://archaeologyinseabypeach.blogspot.com/2017/10/blog-post.html

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่