จนตอนนี้ฉันยังเชื่อว่าลุงพลเป็นผู้บริสุทธิ์
ลุงพลมีคนยืนยันสถานที่อยู่เกือบทุกช่วงเวลา 15-30 นาทีเท่านั้นที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งเอาตามจริงนะคะ คนเราเวลาอาบน้ำจนกระทั่งขึ้นไปนั่งสตาร์ทรถเวลามันเป๊ะๆ ไม่ได้หรอกค่ะว่ากี่นาที นึกถึงความเป็นจริงมันต้องมีเดินวนบ้างโอ้เอ้บ้างจึงมีช่วงเวลาที่หายไป 15-30 นาที และเวลาแค่ 15-30 นาทีไม่สามารถซ่อนหรืออำพรางศพได้ สิ่งที่เห็นพฤติกรรมของลุงพลไม่ได้เป็นการร้อนตัวนะ ลักษณะคนแบบนี้เราเจอบ่อยมาก มันเป็นบุคคลิกภาพที่ชอบพูดชอบแสดงออกและชอบอาสาตัวช่วยคนอื่น
ผิดกับตัวพ่อแม่ที่ไปพูดกับสื่อไม่ตรงกันเลย และพ่อแม่รู้ได้ไงว่าต้องเตรียมเสื้อผ้าให้ชมพู่ ตัวเองไม่ขึ้นไปหาและฝากของใส่กระเป๋าให้ลุงพลไปมันผิดวิสัยมากๆ คนเราต่อให้รู้ว่าลูกตายจากคำบอกเล่าของคนอื่นยังไงก็ต้องขึนไปดูศพลูกด้วยความอาลัย ถึงแม่ชมพู่จะเป็นลมก็มีตายายและญาติพี่น้องคอยดูแล ดังนั้นไม่เป็นเหตุผลให้พ่อชมพู่ต้องอยู่บ้านดูแลเมีย การไม่ขึ้นไปดูลูกย่อมเห็นได้ว่าเขารู้มาก่อนทำใจมาก่อนล่วงหน้าแล้ว คนเราเมื่อเห็นศพลูกรู้เห็นแล้วว่าลูกตายก็จะทำใจได้ส่วนหนึ่งแล้วจึงไม่จำเป็นต้องไปดูลูก และพ่อชมพูก็โกหกช่วงเวลาที่ออกจากบ้านไป พวกคนที่เขาอ้างไม่เป็นพยานให้ และมีเวลาเกือบ 3 ชั่วโมงที่ไม่มีใครยืนยันได้ว่าอยู่ที่ไหน ดังน้นมีเวลามากกว่าลุงพลในการเคลื่อนย้ายอำพรางศพ
1 ศพมีรอยถูกตีกับไม่ใส่เสื้อ
เป็นไปได้ว่าเด็กเล่นดินทรายจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนคนที่ตีเกิดบันดาลโทษะและถูกลงโทษด้วยการตีด้วยความโมโหรวมถึงถูกจับถอดเสื้อแบบทารุนด้วยความโกรธจนเด็กเกิดการช็อคหัวใจวายตาย
เป็นเหตุให้ศพไม่ใส่เสื้อ
2 พบขนหนูที่ตัวศพ
ปกติถ้าคนใส่เสื้อผ้าและอุ้มหนูขนหนูต้องอยู่บนเสื้อหรือที่แขน ลำคอ และใบหน้า ขนจะไม่อยู่ที่ลำตัวเพราะเสื้อปกปิดผิวเนื้อไว้ แต่พบขนหนูอยู่บนลำตัวศพเป็นไปได้ว่าถ้ามีการอำพรางศพในบ่อหนูที่บ้านเพื่อให้คนอื่นคาดไม่ถึงว่าศพซ่อนในนั้นมันก็เป็นไปได้ คิดดูสิทุกคนคงมุ่งหน้าไปหาที่อื่นคงไม่มีเพื่อนบ้านคนไหนคาดถึงว่าศพจะอยู่ในบ่อหนูแน่เพราะทุกคนต้องคิดว่าคนในบ้านคงดูในบ่อนั้นแล้ว ช่าวบ้านที่มาช่วยกันตามหาจะมุ่งหน้าไปตามหาที่อื่น
จากข้อแรกหากสถานที่ซ่อนศพคือบ่อหนูย่อมมีขนหนูติดที่ลำตัว
3 รอยบุ๋มที่ศพ
รอยกดทับเป็นหลุมแต่ไม่ทะลุผิวหนังซึ่งก็ลึกพอสมควรอาจจากก้อนหินเล็กๆ ที่ก้นบ่อหนูไม่ใช่จากคีมคีบหางหนู กรณีนี้เราเทียบกับหมาเราที่ตายไปเคยเอาไปไว้ในท่อปูนแล้วเอาน้ำแข็งหมกไว้เพื่อรอฝังตอนเช้า ในถังที่เอาหมาไปหมกน้ำแข็งไว้มีไขควงอันใหญ่วางอยู่มันมีรอยกดทับและรอยกดทับนั้นบุ๋มถาวรไม่คืนรูปเพราะหมาตายนานแล้ว ดังนั้นเมื่อเทียบกับศพชมพู่ก็เป็นไปได้ว่ารอยนั้นเกิดการกดทับหลังการตายเป็นเวลานานจากวัตถุเเข็ง
4 ลอยเลือดตกหลังจากเสียชีวิตหรือลิวิดิตี้ Lividity สัมพันกับอุณหภูมิ
ลอยเลือดตกหลังจากเสียชีวิตหรือลิวิดิตี้ Lividity อาจบ่งบอกท่าการตาย โดยเลือดจะตกลงที่ตำทันทีหลังการตายและสะสมจนเห็นชัดที่ใต้ผิวหนังตั้งแต่ 1-2 ชั่วโมงเมื่อเอามือกดที่ผิวบริเวณนั้นสีจะซีดลงได้เพราะเลือดยังเคลื่อนที่ได้ เมื่อพ้น 12 ชั่วโมงผ่านไปแล้วหากเอามือกดบริเวณที่มีการตกของเลือด (ลิวิดิตี้) จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะหลอดเลือดเริ่มเน่า
แต่หากศพถูกถนอมด้วยความเย็นมีผลให้เส้นเลือดเน่าช้าลงตามที่เขียนมาในข้อที่ 3 ความเย็นจะมีผลต่อการตกเลือดหลังตาย (Lividity) หรือไม่เรายังหาข้อมูลไม่ได้เพราะยังไม่เคยอ่านเจอในเรื่องนี้ เป็นไปได้ไหมว่าหากมีการเคลื่อนย้ายศพด้วยการอุ้มเลือดยังสามารถเคลื่อนไปอยู่ที่ขาในลักษณะห้อยได้
5 การเน่าของศพและระยะตัวอ่อนหนอนกับระยะเวลาการตาย
ตอนแพทย์ทำการชันสูตรพบว่าอวัยวะภายในเน่าแล้วและมีหนอนในปาก วงจรการเกิดหนอนไข่แมลงวันจะฟักตัวครึ่งวันถึงหนึ่งวันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ แต่เราเห็นภาพหนอนแล้วตัวมันยังไม่ใหญ่มากน่าจะอยู่ระยะที่หนึ่งน่าจะใช้เวลาตั้งแต่เป็นไข่จนเป็นหนอนในขณะที่พบศพนั้นใช้เวลาประมาณสองวัน ศพถูกพบและระบุการตายไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมง
หากว่าอุณภูมิที่ศพวัดได้เท่ากับอุณหภูมิห้องก็บ่งชี้ได้ว่าตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า18 ชั่วโมงนั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วตายมากี่ชั่วโมงก็ต้องดูอย่างอื่นประกอบ อย่างแรกเลยคือการสลายตัวของเนื้อเยื่อ ซึ่งเครื่องในมันเน่าก่อนเพราะมันมีแบคทีเรียโดยเฉพาะกระเพาะอาหาร ตับอ่อนที่เต็มไปด้วยเอ็นไซน์และสมองที่เต็มไปด้วยน้ำตาล ตนเจอศพสมองเน่าแล้วหัวใจก็เน่าแล้ว แต่พอมาดูการเติบโตของหนอนมันใช้เวลาเกือบสองวันเลยนะ แสดงว่าตายนานแล้วมากกว่า 48 ชั่วโมงแน่นอน หากศพถูกถนอมให้เน่าช้าลงด้วยความเย็นไข่จะยิ่งฟักตัวช้าไปอีก
6 นางฟ้าของบ้านไม่เคยโดนตีรุนแรงและกลัวที่สูง
คนเราหากลัวอะไรมากๆ ก็หัวใจวายเฉียบพลันได้เช่นกัน
7 คนสุดท้ายที่อยู่กับชมพู่
ก่อนเด็กหายไปเเก๊งจำปาเห็นชมพู่เล่นอยู่คนเดียวและพ่อแม่ ลุงและป้าต่างออกไปทำงานดังนั้นคนที่อยู่กับชมพู่คนสุดท้ายคือเด็กหญิงเอ
สรุป
เมื่อนำข้อสันนิฐานทุกอย่างมารวมกันเป็นไปได้ว่าน้องชมพู่อาจถูกฝากฝังให้เด็กหญิงเอดูแล ต่อมาน้องชมพู่เล่นดินเล่นทรายอยู่ใต้ต้นมะม่วงจนเสื้อผ้าเลอะเทอะ เด็กหญิงเอที่ถูกผู้ใหญ่ฝากฝังให้ดูแลน้องเกิดบันดานโทษะเพราะตนอาจถูกตำหนิว่าปล่อยน้องเล่นจนเสื้อผ้าสกปรก เลยกระทำการลงโทษน้องโดยหยิบไม้มะยมตีน้องที่น้องและจับน้องถอดเสื้ออย่างรุนแรงเพื่อจะอาบน้ำด้วยความโมโหแต่อาจยังไม่สาแก่ใจเลยเอาน้องชมพู่ไปทำโทษด้วยการจับห้อยหัวหรือทำท่าจะทิ้งน้องจากที่สูงเพื่อลงโทษและข่มขู่ให้น้องเกิดความหลาบจำจะได้ไม่เล่นซนอีก แต่น้องชมพู่กลัวความสูงประกอบกับถูกตีเลยตกใจหนักจนช็อคตาค้าง เด็กหญิงเอตกใจเรียกพ่อกับแม่กลับมาดูน้องด้วยความกลัว
//////////////
สำหรับเรื่องนี้มีความเป็นไปได้นะ อย่าลืมว่าเด็กอายุขนาดนั้นถือว่าโตแล้วพ่อแม่ต้องมอบหมายงานเล็กน้อยให้ทำเช่นการดูแลน้อง เด็กหญิงเออาจรู้สึก ที่คาดว่าอาจถูกติหนิ หรือต้องมานั่งจับน้องอาบน้ำและซักเสื้อน้องซึ่งมันขัดขวางการเล่นมือถือ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ทำให้เกิดอาการโมโหที่เรียกว่าบันดานโทษะได้อย่างไร้สาระ เราเคยเห็นแม่จับลูกมาลงโทษด้วยลักษณะนี้มาแล้วและคิดว่าอาจเกิดขึ้นกับกรณีน้องชมพู่ได้ด้วย /////////
ต่อมาเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านรู้เรื่องนี้จึงหาทางออกด้วยการอำพรางศพของชมพู่ด้วยการซ่อนไว้ในบ่อหนูและหมกน้ำแข็งไว้ไม่ให้เน่าเพื่อรอเคลื่อนย้ายซ่อนหรือทำลายศพ เเล้วจึงเรียกให้ชาวบ้านช่วยค้นหา คิดดูสิว่าถ้าเป็นเราซึ่งเป็นคนนอกจะเข้าไปค้นหาในบ้านชมพู่ไหม.....คำตอบคือว่าไม่แน่นอนเพราะเจ้าของบ้านซึ่งก็คือพ่อกับแม่ต้องไปค้นหาแล้วไม่เจอจนต้องขอให้ชาวบ้านมาช่วยหาเป็นการยืนยันว่าตนและครอบครัวไม่รู้เห็นกับการตายของน้องชมพู่ ต่อมาก็รอให้ดึกย่องเอาศพไปซ่อนบนเขารอการค้นพบและคงคิดว่ากว่าจะมีคนมาเจอศพคงเน่าและหาหลักฐานไม่เจอแล้ว สวนตนเองก็ไม่ขึ้นไปบนภูอีกเลยเพราะเเสลงใจและกลัวจะเป็นคนแรกที่เจอศพแล้วเกิดพิรุธ ต่อมามีคนแจ้ว่าเจอรองเท้าชมพูบนเขา....โธ่เอ้ย อนิจาศพยังไม่อืดบวมก็มีคนพบเบาะเเสซะแล้ว สองผัวเมียเลยจัดกระเป๋าใส่เสื้อผ้าและของกินโดยฝากลุงพลนำขึ้นไป
//////////////
คิดดูสิพ่อที่ไม่ได้พบลูกหลังหายตัวไปกลับรู้ว่าลูกไม่ได้ใส่เสื้อและไม่ได้กินอะไรมันน่าแปลก คาดว่าเสื้อและสิ่งของอื่นที่จัดลงในกระเป๋านอกจากจะโยงให้ลุงพลเข้าข่ายผู้ต้องสงสัยแล้วมันแสดงถึงความรู้สึกผิดของคนที่เตรียมของนั่นแหละ /////////
ปกติคนเวลาตายร่างกายจะมีอุณหภูมิลดลงใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้องพอถูกหมกน้ำเเข็งไว้ก็ทำให้ร่างกายเย็นจัด อีกทั้งการนำศพไปวางทิ้งในป่ายามดึกใกล้รุ่งสางเป็นเวลาที่อุณหภูมิในป่าลดลงมากที่สุดยิ่งส่งเสริมให้ความเย็นในศพคลายตัวได้ช้า กว่าที่ศพคลายความเย็นลงแล้วก็คงเป็นช่วงสายมาก อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ศพเริ่มกระบวนการเสื่อมสลายเร็วขึ้นตามลำดับจนกระทั้งเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ศพถูกวางไว้ผ่านมาแล้วหลายชั่วโมงซึ่งตอนนี้เองที่แมลงวันซึ่งมีจำนวนน้อยในป่าให้ความสนใจแหล่งอาหารใหม่สำหรับทายาท มันได้กลิ่นเน่าอันเบาบางที่ออกมาจากปากจึงวางไข่และไม่เกิน 24 ชั่วโมงต่อมาตัวอ่อนฟักตัวและกินเนื้อเยื่อที่เน่าจนขนาดตัวเริ่มใหญ่มองเห็นชัดด้วยตาเปล่าซึ่งใช้เวลา 1 วันกว่าๆ รวมเวลาที่เด็กหายจนเจอศพก็สี่วันพอดีเมื่อชาวบ้านพบศพสภาพจึงยังไม่อืดบวม ตาพลกับเมียและชาวบ้านและตำรวจออกตามหาหลักฐานเพื่อนำไปสู่การจับกุมคนร้าย ส่วนพ่อกับแม่ฝืนยิ้มแต้นั่งแถลงข่าว แววตาสลด(แต่ไม่มีคนเห็นเพราะกล้องของไทยรัฐกับอัมรินทร์เลนส์ไม่ดี....อุ๊บสสสส์)
พ่อกับแม่บอกสื่อ "ฉันเชื่อใจลุงพลม๊วก" แต่กลับแอบกระซิบตำรวจว่า "ฉันสงสัยตาพล" ตำหนวดรีบมาค้นบ้านและสอบสวนตาพล จนแล้วจนรอดสุดท้ายทำยังไงตำรวจก็ไม่สามารถหาหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอในการเอาตาพลเข้าคุก พ่อแม่รวมถึงผู้ร่วมขบวนการบางคนเริ่มร้อนใจสุดท้ายทิ้งไพ่ใบสุดท้ายเพราะหมอปลาแอบกระซิบอะไรบางอย่างกับตาพล จนต้องบอกสื่อว่า "ลูกฉันติดผู้ชาย" "ฉันสงสัยตาพล" ป้าแต๋นฉุนจัดเลยแฉว่าน้องสาวมากระซิบไม่ให้ไปหาเสื้อเพราะคนเจอเสื้อจะซวย คราวนี้ก็เริ่มแฉกันไปมาจากนั้นก็มาถึงชายผู้มั่งคั่งคนหนึ่งที่อยากจะสร้างภาพยนตร์ ตอนแรกพ่อแม่เซย์โนแต่ได้ข่าวว่าเงินก้อนใหญ่ง้างปากให้เซย์เยสสสสสซะเเล้ว
เรื่องที่เขียนมานี่ก็มโนล้วนๆ ครั้งสุดท้ายสำหรับเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้นไว้เพียงแค่นี้ สุดท้ายเรื่องเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้และถ้าจับคนร้ายไม่ได้ก็คิดเสียว่า "คนเราเกิดมาแต่กรรม"
สำหรับเรื่องนี้บางคนรวยกว่าคนในหมู่บ้านชั่วข้ามคืน บางคนก็โชคดีมีคนอุปถัมภ์ บางบริษัทขายข่าวได้สปอนเซอร์โฆษณา บางคนได้ความภูมิใจที่เป็นดาราหน้าก้อง บางคนได้สาวกพลังเหนือธรรมชาติและอำนาจกรรมเพิ่ม บางคนเสพได้เสพข่าวดราม่า บางคนได้เป็นนักสืบคดีพิศวงแต่ก็ยังไม่หายงง บางคนได้จ่ายค่าสิทธิ์ทำภาพยนตร์และอาจได้เป็นผู้ขาดทุนย่อยยับในเร็วๆ นี้ ก็รอแต่ว่าน้องชมพูจะได้รับความเป็นธรรม
สร้างเป็นหนังจะมีคนดูไหมหนอขนาดถ้าขุนน้ำนางนอนยังหงายเก๋งแล้วน่าจะเป็นบทเรียนให้ผู้ผลิตนะ
กกกอเดอะซีรีส์ กับวิเคราะห์ครั้งสุดท้ายบ๊ายบายจ้ะ
ลุงพลมีคนยืนยันสถานที่อยู่เกือบทุกช่วงเวลา 15-30 นาทีเท่านั้นที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งเอาตามจริงนะคะ คนเราเวลาอาบน้ำจนกระทั่งขึ้นไปนั่งสตาร์ทรถเวลามันเป๊ะๆ ไม่ได้หรอกค่ะว่ากี่นาที นึกถึงความเป็นจริงมันต้องมีเดินวนบ้างโอ้เอ้บ้างจึงมีช่วงเวลาที่หายไป 15-30 นาที และเวลาแค่ 15-30 นาทีไม่สามารถซ่อนหรืออำพรางศพได้ สิ่งที่เห็นพฤติกรรมของลุงพลไม่ได้เป็นการร้อนตัวนะ ลักษณะคนแบบนี้เราเจอบ่อยมาก มันเป็นบุคคลิกภาพที่ชอบพูดชอบแสดงออกและชอบอาสาตัวช่วยคนอื่น
ผิดกับตัวพ่อแม่ที่ไปพูดกับสื่อไม่ตรงกันเลย และพ่อแม่รู้ได้ไงว่าต้องเตรียมเสื้อผ้าให้ชมพู่ ตัวเองไม่ขึ้นไปหาและฝากของใส่กระเป๋าให้ลุงพลไปมันผิดวิสัยมากๆ คนเราต่อให้รู้ว่าลูกตายจากคำบอกเล่าของคนอื่นยังไงก็ต้องขึนไปดูศพลูกด้วยความอาลัย ถึงแม่ชมพู่จะเป็นลมก็มีตายายและญาติพี่น้องคอยดูแล ดังนั้นไม่เป็นเหตุผลให้พ่อชมพู่ต้องอยู่บ้านดูแลเมีย การไม่ขึ้นไปดูลูกย่อมเห็นได้ว่าเขารู้มาก่อนทำใจมาก่อนล่วงหน้าแล้ว คนเราเมื่อเห็นศพลูกรู้เห็นแล้วว่าลูกตายก็จะทำใจได้ส่วนหนึ่งแล้วจึงไม่จำเป็นต้องไปดูลูก และพ่อชมพูก็โกหกช่วงเวลาที่ออกจากบ้านไป พวกคนที่เขาอ้างไม่เป็นพยานให้ และมีเวลาเกือบ 3 ชั่วโมงที่ไม่มีใครยืนยันได้ว่าอยู่ที่ไหน ดังน้นมีเวลามากกว่าลุงพลในการเคลื่อนย้ายอำพรางศพ
1 ศพมีรอยถูกตีกับไม่ใส่เสื้อ
เป็นไปได้ว่าเด็กเล่นดินทรายจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนคนที่ตีเกิดบันดาลโทษะและถูกลงโทษด้วยการตีด้วยความโมโหรวมถึงถูกจับถอดเสื้อแบบทารุนด้วยความโกรธจนเด็กเกิดการช็อคหัวใจวายตาย เป็นเหตุให้ศพไม่ใส่เสื้อ
2 พบขนหนูที่ตัวศพ
ปกติถ้าคนใส่เสื้อผ้าและอุ้มหนูขนหนูต้องอยู่บนเสื้อหรือที่แขน ลำคอ และใบหน้า ขนจะไม่อยู่ที่ลำตัวเพราะเสื้อปกปิดผิวเนื้อไว้ แต่พบขนหนูอยู่บนลำตัวศพเป็นไปได้ว่าถ้ามีการอำพรางศพในบ่อหนูที่บ้านเพื่อให้คนอื่นคาดไม่ถึงว่าศพซ่อนในนั้นมันก็เป็นไปได้ คิดดูสิทุกคนคงมุ่งหน้าไปหาที่อื่นคงไม่มีเพื่อนบ้านคนไหนคาดถึงว่าศพจะอยู่ในบ่อหนูแน่เพราะทุกคนต้องคิดว่าคนในบ้านคงดูในบ่อนั้นแล้ว ช่าวบ้านที่มาช่วยกันตามหาจะมุ่งหน้าไปตามหาที่อื่น จากข้อแรกหากสถานที่ซ่อนศพคือบ่อหนูย่อมมีขนหนูติดที่ลำตัว
3 รอยบุ๋มที่ศพ
รอยกดทับเป็นหลุมแต่ไม่ทะลุผิวหนังซึ่งก็ลึกพอสมควรอาจจากก้อนหินเล็กๆ ที่ก้นบ่อหนูไม่ใช่จากคีมคีบหางหนู กรณีนี้เราเทียบกับหมาเราที่ตายไปเคยเอาไปไว้ในท่อปูนแล้วเอาน้ำแข็งหมกไว้เพื่อรอฝังตอนเช้า ในถังที่เอาหมาไปหมกน้ำแข็งไว้มีไขควงอันใหญ่วางอยู่มันมีรอยกดทับและรอยกดทับนั้นบุ๋มถาวรไม่คืนรูปเพราะหมาตายนานแล้ว ดังนั้นเมื่อเทียบกับศพชมพู่ก็เป็นไปได้ว่ารอยนั้นเกิดการกดทับหลังการตายเป็นเวลานานจากวัตถุเเข็ง
4 ลอยเลือดตกหลังจากเสียชีวิตหรือลิวิดิตี้ Lividity สัมพันกับอุณหภูมิ
ลอยเลือดตกหลังจากเสียชีวิตหรือลิวิดิตี้ Lividity อาจบ่งบอกท่าการตาย โดยเลือดจะตกลงที่ตำทันทีหลังการตายและสะสมจนเห็นชัดที่ใต้ผิวหนังตั้งแต่ 1-2 ชั่วโมงเมื่อเอามือกดที่ผิวบริเวณนั้นสีจะซีดลงได้เพราะเลือดยังเคลื่อนที่ได้ เมื่อพ้น 12 ชั่วโมงผ่านไปแล้วหากเอามือกดบริเวณที่มีการตกของเลือด (ลิวิดิตี้) จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะหลอดเลือดเริ่มเน่า แต่หากศพถูกถนอมด้วยความเย็นมีผลให้เส้นเลือดเน่าช้าลงตามที่เขียนมาในข้อที่ 3 ความเย็นจะมีผลต่อการตกเลือดหลังตาย (Lividity) หรือไม่เรายังหาข้อมูลไม่ได้เพราะยังไม่เคยอ่านเจอในเรื่องนี้ เป็นไปได้ไหมว่าหากมีการเคลื่อนย้ายศพด้วยการอุ้มเลือดยังสามารถเคลื่อนไปอยู่ที่ขาในลักษณะห้อยได้
5 การเน่าของศพและระยะตัวอ่อนหนอนกับระยะเวลาการตาย
ตอนแพทย์ทำการชันสูตรพบว่าอวัยวะภายในเน่าแล้วและมีหนอนในปาก วงจรการเกิดหนอนไข่แมลงวันจะฟักตัวครึ่งวันถึงหนึ่งวันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ แต่เราเห็นภาพหนอนแล้วตัวมันยังไม่ใหญ่มากน่าจะอยู่ระยะที่หนึ่งน่าจะใช้เวลาตั้งแต่เป็นไข่จนเป็นหนอนในขณะที่พบศพนั้นใช้เวลาประมาณสองวัน ศพถูกพบและระบุการตายไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมง
หากว่าอุณภูมิที่ศพวัดได้เท่ากับอุณหภูมิห้องก็บ่งชี้ได้ว่าตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า18 ชั่วโมงนั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วตายมากี่ชั่วโมงก็ต้องดูอย่างอื่นประกอบ อย่างแรกเลยคือการสลายตัวของเนื้อเยื่อ ซึ่งเครื่องในมันเน่าก่อนเพราะมันมีแบคทีเรียโดยเฉพาะกระเพาะอาหาร ตับอ่อนที่เต็มไปด้วยเอ็นไซน์และสมองที่เต็มไปด้วยน้ำตาล ตนเจอศพสมองเน่าแล้วหัวใจก็เน่าแล้ว แต่พอมาดูการเติบโตของหนอนมันใช้เวลาเกือบสองวันเลยนะ แสดงว่าตายนานแล้วมากกว่า 48 ชั่วโมงแน่นอน หากศพถูกถนอมให้เน่าช้าลงด้วยความเย็นไข่จะยิ่งฟักตัวช้าไปอีก
6 นางฟ้าของบ้านไม่เคยโดนตีรุนแรงและกลัวที่สูง
คนเราหากลัวอะไรมากๆ ก็หัวใจวายเฉียบพลันได้เช่นกัน
7 คนสุดท้ายที่อยู่กับชมพู่
ก่อนเด็กหายไปเเก๊งจำปาเห็นชมพู่เล่นอยู่คนเดียวและพ่อแม่ ลุงและป้าต่างออกไปทำงานดังนั้นคนที่อยู่กับชมพู่คนสุดท้ายคือเด็กหญิงเอ
สรุป
เมื่อนำข้อสันนิฐานทุกอย่างมารวมกันเป็นไปได้ว่าน้องชมพู่อาจถูกฝากฝังให้เด็กหญิงเอดูแล ต่อมาน้องชมพู่เล่นดินเล่นทรายอยู่ใต้ต้นมะม่วงจนเสื้อผ้าเลอะเทอะ เด็กหญิงเอที่ถูกผู้ใหญ่ฝากฝังให้ดูแลน้องเกิดบันดานโทษะเพราะตนอาจถูกตำหนิว่าปล่อยน้องเล่นจนเสื้อผ้าสกปรก เลยกระทำการลงโทษน้องโดยหยิบไม้มะยมตีน้องที่น้องและจับน้องถอดเสื้ออย่างรุนแรงเพื่อจะอาบน้ำด้วยความโมโหแต่อาจยังไม่สาแก่ใจเลยเอาน้องชมพู่ไปทำโทษด้วยการจับห้อยหัวหรือทำท่าจะทิ้งน้องจากที่สูงเพื่อลงโทษและข่มขู่ให้น้องเกิดความหลาบจำจะได้ไม่เล่นซนอีก แต่น้องชมพู่กลัวความสูงประกอบกับถูกตีเลยตกใจหนักจนช็อคตาค้าง เด็กหญิงเอตกใจเรียกพ่อกับแม่กลับมาดูน้องด้วยความกลัว
////////////// สำหรับเรื่องนี้มีความเป็นไปได้นะ อย่าลืมว่าเด็กอายุขนาดนั้นถือว่าโตแล้วพ่อแม่ต้องมอบหมายงานเล็กน้อยให้ทำเช่นการดูแลน้อง เด็กหญิงเออาจรู้สึก ที่คาดว่าอาจถูกติหนิ หรือต้องมานั่งจับน้องอาบน้ำและซักเสื้อน้องซึ่งมันขัดขวางการเล่นมือถือ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ทำให้เกิดอาการโมโหที่เรียกว่าบันดานโทษะได้อย่างไร้สาระ เราเคยเห็นแม่จับลูกมาลงโทษด้วยลักษณะนี้มาแล้วและคิดว่าอาจเกิดขึ้นกับกรณีน้องชมพู่ได้ด้วย /////////
ต่อมาเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านรู้เรื่องนี้จึงหาทางออกด้วยการอำพรางศพของชมพู่ด้วยการซ่อนไว้ในบ่อหนูและหมกน้ำแข็งไว้ไม่ให้เน่าเพื่อรอเคลื่อนย้ายซ่อนหรือทำลายศพ เเล้วจึงเรียกให้ชาวบ้านช่วยค้นหา คิดดูสิว่าถ้าเป็นเราซึ่งเป็นคนนอกจะเข้าไปค้นหาในบ้านชมพู่ไหม.....คำตอบคือว่าไม่แน่นอนเพราะเจ้าของบ้านซึ่งก็คือพ่อกับแม่ต้องไปค้นหาแล้วไม่เจอจนต้องขอให้ชาวบ้านมาช่วยหาเป็นการยืนยันว่าตนและครอบครัวไม่รู้เห็นกับการตายของน้องชมพู่ ต่อมาก็รอให้ดึกย่องเอาศพไปซ่อนบนเขารอการค้นพบและคงคิดว่ากว่าจะมีคนมาเจอศพคงเน่าและหาหลักฐานไม่เจอแล้ว สวนตนเองก็ไม่ขึ้นไปบนภูอีกเลยเพราะเเสลงใจและกลัวจะเป็นคนแรกที่เจอศพแล้วเกิดพิรุธ ต่อมามีคนแจ้ว่าเจอรองเท้าชมพูบนเขา....โธ่เอ้ย อนิจาศพยังไม่อืดบวมก็มีคนพบเบาะเเสซะแล้ว สองผัวเมียเลยจัดกระเป๋าใส่เสื้อผ้าและของกินโดยฝากลุงพลนำขึ้นไป
////////////// คิดดูสิพ่อที่ไม่ได้พบลูกหลังหายตัวไปกลับรู้ว่าลูกไม่ได้ใส่เสื้อและไม่ได้กินอะไรมันน่าแปลก คาดว่าเสื้อและสิ่งของอื่นที่จัดลงในกระเป๋านอกจากจะโยงให้ลุงพลเข้าข่ายผู้ต้องสงสัยแล้วมันแสดงถึงความรู้สึกผิดของคนที่เตรียมของนั่นแหละ /////////
ปกติคนเวลาตายร่างกายจะมีอุณหภูมิลดลงใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้องพอถูกหมกน้ำเเข็งไว้ก็ทำให้ร่างกายเย็นจัด อีกทั้งการนำศพไปวางทิ้งในป่ายามดึกใกล้รุ่งสางเป็นเวลาที่อุณหภูมิในป่าลดลงมากที่สุดยิ่งส่งเสริมให้ความเย็นในศพคลายตัวได้ช้า กว่าที่ศพคลายความเย็นลงแล้วก็คงเป็นช่วงสายมาก อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ศพเริ่มกระบวนการเสื่อมสลายเร็วขึ้นตามลำดับจนกระทั้งเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ศพถูกวางไว้ผ่านมาแล้วหลายชั่วโมงซึ่งตอนนี้เองที่แมลงวันซึ่งมีจำนวนน้อยในป่าให้ความสนใจแหล่งอาหารใหม่สำหรับทายาท มันได้กลิ่นเน่าอันเบาบางที่ออกมาจากปากจึงวางไข่และไม่เกิน 24 ชั่วโมงต่อมาตัวอ่อนฟักตัวและกินเนื้อเยื่อที่เน่าจนขนาดตัวเริ่มใหญ่มองเห็นชัดด้วยตาเปล่าซึ่งใช้เวลา 1 วันกว่าๆ รวมเวลาที่เด็กหายจนเจอศพก็สี่วันพอดีเมื่อชาวบ้านพบศพสภาพจึงยังไม่อืดบวม ตาพลกับเมียและชาวบ้านและตำรวจออกตามหาหลักฐานเพื่อนำไปสู่การจับกุมคนร้าย ส่วนพ่อกับแม่ฝืนยิ้มแต้นั่งแถลงข่าว แววตาสลด(แต่ไม่มีคนเห็นเพราะกล้องของไทยรัฐกับอัมรินทร์เลนส์ไม่ดี....อุ๊บสสสส์)
พ่อกับแม่บอกสื่อ "ฉันเชื่อใจลุงพลม๊วก" แต่กลับแอบกระซิบตำรวจว่า "ฉันสงสัยตาพล" ตำหนวดรีบมาค้นบ้านและสอบสวนตาพล จนแล้วจนรอดสุดท้ายทำยังไงตำรวจก็ไม่สามารถหาหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอในการเอาตาพลเข้าคุก พ่อแม่รวมถึงผู้ร่วมขบวนการบางคนเริ่มร้อนใจสุดท้ายทิ้งไพ่ใบสุดท้ายเพราะหมอปลาแอบกระซิบอะไรบางอย่างกับตาพล จนต้องบอกสื่อว่า "ลูกฉันติดผู้ชาย" "ฉันสงสัยตาพล" ป้าแต๋นฉุนจัดเลยแฉว่าน้องสาวมากระซิบไม่ให้ไปหาเสื้อเพราะคนเจอเสื้อจะซวย คราวนี้ก็เริ่มแฉกันไปมาจากนั้นก็มาถึงชายผู้มั่งคั่งคนหนึ่งที่อยากจะสร้างภาพยนตร์ ตอนแรกพ่อแม่เซย์โนแต่ได้ข่าวว่าเงินก้อนใหญ่ง้างปากให้เซย์เยสสสสสซะเเล้ว
เรื่องที่เขียนมานี่ก็มโนล้วนๆ ครั้งสุดท้ายสำหรับเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้นไว้เพียงแค่นี้ สุดท้ายเรื่องเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้และถ้าจับคนร้ายไม่ได้ก็คิดเสียว่า "คนเราเกิดมาแต่กรรม"
สำหรับเรื่องนี้บางคนรวยกว่าคนในหมู่บ้านชั่วข้ามคืน บางคนก็โชคดีมีคนอุปถัมภ์ บางบริษัทขายข่าวได้สปอนเซอร์โฆษณา บางคนได้ความภูมิใจที่เป็นดาราหน้าก้อง บางคนได้สาวกพลังเหนือธรรมชาติและอำนาจกรรมเพิ่ม บางคนเสพได้เสพข่าวดราม่า บางคนได้เป็นนักสืบคดีพิศวงแต่ก็ยังไม่หายงง บางคนได้จ่ายค่าสิทธิ์ทำภาพยนตร์และอาจได้เป็นผู้ขาดทุนย่อยยับในเร็วๆ นี้ ก็รอแต่ว่าน้องชมพูจะได้รับความเป็นธรรม
สร้างเป็นหนังจะมีคนดูไหมหนอขนาดถ้าขุนน้ำนางนอนยังหงายเก๋งแล้วน่าจะเป็นบทเรียนให้ผู้ผลิตนะ