ก่อนอื่นต้องขอบอกเลยนะคะว่าไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้มาตั้งกระทู้แนวนี้เลย แต่ใครจะรู้ว่าสักวันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับเรา
เราแอบรักคน ๆ หนึ่งมาตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันตอนนี้ แต่ด้วยสถานะที่แตกต่างกันเพราะเขาเป็นคนค่อนข้างมีเกียรติ มียศฐาบรรดาศักดิ์ อาชีพของเขาผู้คนในสังคมต่างให้ความเคารพนับถือ ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือเขามีภรรยาแล้ว(แต่ไม่มีลูกด้วยกัน) จึงทำให้เราไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกของเราให้เค้าหรือใคร ๆ รู้ได้ เพราะมันไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก แต่เรื่องของหัวใจบางทีมันก็พูดยากนะและตอนนี้เรากำลังต่อสู้กับอำนาจมืดของจิตใจตัวเองอยู่
เค้าอายุ 40 ต้นๆ ซึ่งห่างกันกับเราประมาณ 20 ปี เราชอบที่เค้ามีความคิดบางอย่างคล้ายเรา ชอบที่เค้าชอบอะไรคล้ายๆเรา เราเป็นคนชอบคนเก่งกว่าตัวเองและแน่นอนเขาเก่งมาก(เป็นด็อกเตอร์) เราชอบบุคลิกที่เค้าเป็นคนอบอุ่นสุขุม เรียกได้ว่าเค้าเป็นคนในอุดมคติเหมือนที่ใจเราต้องการทุกอย่าง เพียงแต่เค้าเป็นคนที่เราไม่ควรรักเลย
เค้าเป็นบุคคลที่มีหน้าตาทางสังคมในแวดวงวิชาการ ส่วนเราก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เอาจริงๆเราไม่มีอะไรคู่ควรกับเค้าเลยแม้แต่น้อยนิด และเค้ามีภรรยาอยู่แล้ว ใช่เรารู้นะว่ามันผิด แต่เราแอบรักเค้าก่อนที่จะรู้ว่าเค้ามีภรรยา และแม้ถึงรู้แล้วเราก็แอบรักเค้าในมุมเงียบๆของเรา ไม่เคยไปก้าวก่าย ไม่เคยไปวุ่นวาย ไม่เคยทักไปหา ทำได้แค่แอบมอง มีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอกัน แค่เค้าขับรถผ่านหน้าเราก็ดีใจแล้ว แค่นี้จริงๆ
แต่โชคชะตาเหมือนเล่นตลกที่ให้เรากับเค้าอยู่บ้านใกล้กัน ทำให้ทุกครั้งที่เราทำงานร่วมกัน เมื่อเลิกงานเค้าก็จะชวนเรากลับบ้านด้วยกัน(แต่จริงๆเค้าก็ไปส่งคนอื่นด้วยที่บ้านละแวกเดียวกัน ไม่ได้ส่งแค่เราคนเดียว) อาจเป็นเพราะเหตุนี้เลยทำให้เราได้รู้จักกับเค้ามากขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นสนิทกัน
เราไม่ใช่คนกระโตกกระตากอะไรที่จะไปแสดงออกว่าชอบเค้า เพราะมันไม่เหมาะสมที่จะแสดงอยู่แล้ว ตามที่บอกนั่นแหละว่าสถานะของเรามันไม่ควร เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี่เอง เราเริ่มรู้สึกว่า เหมือนเค้ารู้ ว่าเราชอบเค้า ทุกอย่างมันเริ่มจากเรามีความจำเป็นที่ต้องทักไปคุยเรื่องงานกับเค้า(ปกติเราไม่เคยทัก) และเค้าคุยกับเราดีมาก พอคุยเรื่องงานเสร็จเค้าก็จะถามเรื่ิองอื่นบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้คุยเยอะมากนัก เวลาเจอหน้ากันเค้าก็จะทักเราก่อนเสมอ ยิ้มให้ มีครั้งหนึ่งเราถ่ายรูปบรรยากาศที่สถานีรถไฟฟ้าแห่งหนึ่ง เมื่อเค้าเห็นรูปนั้นเค้าก็ทักมาถามว่าขึ้นรถไฟหรือยัง จะไปไหน และเค้าบอกกำลังจะออกจากบ้านไปที่ทำงาน ในใจลึกๆของเรารู้ว่าที่เค้าทักมาถาม ถ้าเรายังไม่ขึ้นรถไฟ เค้าจะชวนเราไปพร้อมเค้า แต่เราดันขึ้นรถไฟไปก่อน
กระทั่งเข้าสู่ช่วงหยุดยาวในหน้าที่การงานทั้งของเราและเค้า และเป็นช่วงหยุดโควิดด้วย ตอนนั้นเรารู้เลยว่าเราและเค้าคงไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกแน่ๆ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องคุย เนื่องจากหลังจากนี้เราไม่ได้ทำงานร่วมกันแล้ว แต่เค้าดูเหมือนเปิดโอกาสให้เราทักไปคุยกับเค้าได้ โดยที่เค้าบอกกับเราว่า "หยุดยาวมีอะไรก็เล่าให้ฟังบ้างนะ" เมื่อเราได้ยินแบบนี้ก็ดีใจมาก เค้าให้โอกาสเราทักทาย เราก็ลองทักไปคุยบ้างแบบถามสารทุกข์สุกดิบ ไม่ได้ทักไปบ่อยนะ นานๆทีทัก บางครั้งเค้าก็ทักเรามาเองบ้าง แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าถึงแม้เราจะชอบเค้า แต่เราไม่เคยคิดหวังอยากได้เค้ามา เราทักไปเพื่อคุยนิดหน่อยพอให้เป็นกำลังใจในชีวิตเท่านั้น
มีช่วงหนึ่งเราทักไป เค้าก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างจนเรารู้สึกว่า โอเค เค้าคงไม่ได้อยากคุย และไม่ได้อะไรกับเราหรอก เราเลยเกรงใจเค้า ไม่ทักเค้าไปอีก และเราก็ไม่โอเคกับใจตัวเองด้วย ไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้ เราเลยเลิกทักและหายไป กลับกลายเป็นว่าพอเราจะหายไป เค้าทักมาหาเรา และคุยกับเรามากขึ้น
จากที่เคยคุยกัน 2คร้งต่ออาทิตย์ ก็เป็น2-3 วันคุยกันครั้ง และเริ่มกลายเป็นคุยกันทุกวัน จากคุยทุกวัน เป็นคุยกันทุกคืน และทักกันทุกเช้าเวลาตื่น วันหนึ่งๆคุยกันหลายรอบมาก ส่งรูปโน่นนี่ให้กันดูตลอดว่าทำอะไร โดยที่ส่วนมากเค้าเป็นคนส่งและทักมาหาเราเอง นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เราคุยกันมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งเรารู้มาว่าช่วงนี้นี่เองภรรยาเค้ากลับบ้านที่ต่างจังหวัด เค้าอยู่บ้านคนเดียว
สิ่งที่เรากับเค้าคุยกัน ก็จะเป็นเรื่องความชอบที่เหมือนกัน เล่าเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว(แต่เค้าไม่เคยเล่าถึงภรรยา) เรื่องทั่วๆไปในชีวิตเค้าก็เล่าให้เราฟังหมด เค้าเริ่มเปิดโลกให้เราเข้าถึงเค้ามากขึ้น เช่น ให้เราเข้าไปดูไทม์ไลน์ในไลน์เค้าได้ ปกติเค้าจะล็อกไม่ให้คนอื่นเห็น จะให้เห็นเฉพาะคนที่อยากให้เห็น ทำให้เรารู้ว่าเมื่อก่อนเค้าโพสอะไรบ้าง ทำอะไรบ้างที่ผ่านมา ทำให้เรารู้จักเค้ามากขึ้น
นอกจากนั้นเราก็ชอบคุยกันเรื่องเพลงเก่าๆ เพราะต่างคนต่างชอบฟังเหมือนกัน มีการส่งเพลงให้กันฟัง เพลงที่เราส่งให้เค้าฟัง เรายอมรับว่าเนื้อเพลงแอบสื่อนะว่าเราชอบเค้า เพลงที่เค้าส่งให้เราฟัง จริงๆมันก็สื่อเหมือนกัน แต่เราไม่กล้าคิดไปเองว่าเค้าส่งมาเพราะสื่อเช่นกันหรือว่าเพราะเค้าชอบเพลงนี้จริง ๆ มันก็มีหลายเพลงที่ทำให้น่าคิด เราพยายามไม่คิด และไม่เข้าข้างตัวเองมาตลอด
เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นในช่วงนี้ เมื่อก่อนเค้าจะเรียกสรรพนามแทนตัวเราว่า “เรา” แต่เค้าเปลี่ยนมาเรียกเราว่า “หนู” เราคุยกับเค้าว่า ถ้าเราได้กลับไปทำงานแล้ว ถ้าเราทำผลงานได้ดีกว่าเทอมที่ผ่านมา เค้าจะทำยังไง เค้าตอบมาว่า “จะเลี้ยงข้าวหนู ดีมั้ย? หรือธรรมดาไป” เราตอบตกลงตามนั้น และถามเค้าว่า ถ้าผลงานเราเแย่กว่าที่ทำไว้ก่อนหน้าล่ะคะ เค้าก็ตอบมาว่า “ก็ให้เราเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวเค้าแทนไง” มันแปลว่าไม่ว่าผลจะออกมายังไง เรากับเค้าก็ต้องได้ไปกินข้าวกันอยู่ดีใช่มั้ย
แต่เราสองคนไม่เคยคุยกันในทำนองอย่างว่าหรือเรื่องแบบนั้นแม้แต่นิดเดียว จะคุยก็แต่เรื่องทั่วไปมากกว่า มีบ้างบางครั้งที่การคุยกันอาจเหมือนสองแง่สองง่ามที่ชวนคิด ครั้งหนึ่งเค้าเคยเล่าเรื่องความรักสมัยเค้าเป็นหนุ่มให้เราฟัง เราก็แซวว่าคนที่เค้าชอบต้องเป็นคนสวย น่ารัก อ่อนหวาน เค้าก็บอกไม่เสมอไปนะเพราะคนที่เค้าชอบจะมีลักษณะบางอย่างคล้ายกันคือ ฟันกระต่าย และลักยิ้ม ประโยคนี้ทำเราอึ้งไป 10วิ เพราะเราดันมีลักยิ้ม อีกเหตุการณ์หนึ่งเราคุยกันเรื่องแมว เราบอกเค้าว่าเราชอบแมว เพราะแมวชอบอ้อน เค้าก็บอกว่า นึกว่าหนูชอบอ้อนซะอีก หนูชอบอ้อนเหรอ เราเจอประโยคนี้ ยอมรับว่าไปไม่เป็นเลย ด้วยความที่เราเด็กกว่าเค้ามาก มันเขินนะ แต่เราไม่รู้ว่าการที่เค้าพูดแบบนี้มันสื่ออะไรหรือเปล่า ถามว่าดีใจมั้ย เราดีใจมากนะ แต่ก็ไม่กล้าคิดไปเองอยู่ดี บางทีเค้าอาจจะแค่เอ็นดูเราเฉยๆก็ได้
เราคุยกับเค้าแบบนี้มาเรื่อยๆประมาณ 4 เดือนได้ จนผ่านพ้นช่วงหยุดยาวโควิด วิถีชีวิตกลับเข้าสู้สภาวะปกติ เรากับเค้าได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เราไม่มีงานที่ต้องทำร่วมกันกับเค้าแล้ว แต่เรากับเค้าก็นัดกลับบ้านด้วยกัน และเค้ามาส่งเราถึงที่บ้าน และช่วงนี้เองเป็นช่วงที่เรากับเค้าคุยกันน้อยลงกว่าช่วงหยุดยาวโควิดที่ผ่านมา แต่ก็ยังทักทายกันทุกวัน อาจเป็นเพราะเค้ามีงานมากขึ้น หรือเพราะเกรงใจภรรยา?(ภรรยาเค้ากลับมาแล้ว) หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่เราไม่เข้าใจคือ ที่ผ่านมาที่เค้าคุยกับเราทุกวัน บอกเราตลอดทุกเรื่อง เป็นห่วงเป็นใย มันคืออะไร เค้ารู้สึกดีกับเราบ้างหรือเปล่า หรือเพราะตอนนั้นว่าง เหงา แล้วเราเป็นคนคุยแก้เหงาหรือเปล่า
เราไม่ได้ต้องการจะให้เค้ามารักเราหรืออะไรหรอก เราไม่อยากทำครอบครัวใครแตกแยก แต่แค่น้อยใจโชคชะตา ทำไมต้องให้เรามารักเค้าด้วย คนบนโลกนี้มีตั้งมากมาย ทำไมต้องเป็นเค้าด้วยที่เรารัก เราเป็นคนที่รักใครยากมาก ในชีวิตเราเราเคยรักผู้ชายแค่ 2 คน แต่นั่นมันเกิดขึ้นตอนเราเป็นเด็ก แต่ความรักครั้งที่สามที่เกิดขึ้นครั้งนี้ มันเกิดขึ้นตอนที่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่
เราไม่รู้จริงๆว่าเค้าคิดยังไงกันแน่ คนที่เป็นผู้ใหญ่ในวัยนี้เค้ามีความคิดกันยังไงกัน แล้วยิ่งเป็นคนที่เก่ง เรียนสูงๆ และอยู่ในสังคมแบบนี้ด้วย เค้าก็มีมุมมองของเค้าอีกแบบหนึ่ง มีวิธีในการแสดงออก การพูดอีกแบบหนึ่ง มันยิ่งซับซ้อนไปกันใหญ่ เรารู้สึกสับสนไปหมด เราไม่รู้จริงๆ ว่าเค้าคิดยังไงกับเรา ในขณะที่เค้ารู้ทุกอย่างว่าเราคลั่งเค้าแค่ไหน แม้เราจะไม่เคยแสดงหรือพูดออกไปก็ตาม แต่เรารู้ว่าเค้ารู้แน่นอน ว่าเราชอบเค้า รักเค้ามาก เค้าจะรู้ไหมว่าการที่เค้าทำดีกับเรามาก เป็นห่วงเรา ให้ของฝากเราคนเดียว ไปส่งเราถึงหน้าบ้าน แชทมาหาทุกเช้าที่ตื่น บอกเราว่าเราเป็นคนที่เค้าคุยด้วยเยอะที่สุด เค้าจะรู้ไหมว่าการกระทำแบบนี้มันทำให้เราอาจคิดไปเองได้ ถ้าเค้ารู้ แต่เค้าไม่คิดอะไรกับเรา แล้วเค้าทำแบบนี้ทำไม
ที่มาตั้งกระทู้นี้ไม่ได้ต้องการอะไรหรอก เราแค่ไม่รู้จะทำยังไงกับความรักที่เกิดขึ้น (รักของเราฝ่ายเดียว) เราเสียใจที่เรากับเค้าไม่มีทางเป็นไปได้เพราะสถานะทางสังคมที่ผู้คนไม่ยอมรับ และไหนจะที่เค้ามีภรรยาแล้ว ไม่ว่าจะเลือกทางไหนเราก็เสียใจ จะให้เราหยุด หนีหายไป หรือไม่คุย ก็ทำไม่ได้อีกเพราะเรายังต้องเจอกัน ยังมีความเกรงใจเค้าอยู่มาก ยังต้องอยู่ในที่ทำงานร่วมกัน
สิ่งที่เราพอจะคิดได้เกี่ยวกับเค้ามี 2 อย่างคือ
ในแง่บวก : เค้าอาจรู้สึกดีกับเราเหมือนกัน เลยพูดคุยกับเรา ทำดีกับเรา แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เลยทำได้แค่นั้น ไม่มีทางมากไปกว่านี้ เลยทำเท่าที่ทำได้ ที่ไม่ล้ำเส้นและไม่น่าเกลียดจนเกินไป
ในแง่ลบ : เค้าอาจจะบริหารเสน่ห์หรือเปล่า ที่ รู้ว่าเรามาชอบ แต่เค้าก็ไม่ได้คิดอะไรกับเรา ทำให้เราหลงรักไปเรื่อย ๆ บางครั้งพูดอะไรที่มีความหมายแฝง ทำให้เราเอากลับไปคิด พอเราเหนื่อยจะหายไป เค้าก็ทักมา อะไรทำนองนี้
เห้อออ หนูอยากรู้จิตใจที่แท้จริงของคุณนะว่าคุณคิดยังไงกับหนู หนูสับสน และเหนื่อยจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย
สุดท้ายนี้ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ จริงๆมันคือการระบายความในใจอย่างหนึ่ง ใครมีประสบการณ์แนวนี้ หรืออยากให้แง่คิดมุมมองอะไร ก็แสดงความคิดเห็นมาได้นะคะ รับฟังทุกความคิดเห็นเลยค่ะ
แอบรักคนที่ไม่ควรรัก รักต้องห้าม เหนื่อยและท้อมากทำอย่างไร
เราแอบรักคน ๆ หนึ่งมาตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันตอนนี้ แต่ด้วยสถานะที่แตกต่างกันเพราะเขาเป็นคนค่อนข้างมีเกียรติ มียศฐาบรรดาศักดิ์ อาชีพของเขาผู้คนในสังคมต่างให้ความเคารพนับถือ ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือเขามีภรรยาแล้ว(แต่ไม่มีลูกด้วยกัน) จึงทำให้เราไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกของเราให้เค้าหรือใคร ๆ รู้ได้ เพราะมันไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก แต่เรื่องของหัวใจบางทีมันก็พูดยากนะและตอนนี้เรากำลังต่อสู้กับอำนาจมืดของจิตใจตัวเองอยู่
เค้าอายุ 40 ต้นๆ ซึ่งห่างกันกับเราประมาณ 20 ปี เราชอบที่เค้ามีความคิดบางอย่างคล้ายเรา ชอบที่เค้าชอบอะไรคล้ายๆเรา เราเป็นคนชอบคนเก่งกว่าตัวเองและแน่นอนเขาเก่งมาก(เป็นด็อกเตอร์) เราชอบบุคลิกที่เค้าเป็นคนอบอุ่นสุขุม เรียกได้ว่าเค้าเป็นคนในอุดมคติเหมือนที่ใจเราต้องการทุกอย่าง เพียงแต่เค้าเป็นคนที่เราไม่ควรรักเลย
เค้าเป็นบุคคลที่มีหน้าตาทางสังคมในแวดวงวิชาการ ส่วนเราก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เอาจริงๆเราไม่มีอะไรคู่ควรกับเค้าเลยแม้แต่น้อยนิด และเค้ามีภรรยาอยู่แล้ว ใช่เรารู้นะว่ามันผิด แต่เราแอบรักเค้าก่อนที่จะรู้ว่าเค้ามีภรรยา และแม้ถึงรู้แล้วเราก็แอบรักเค้าในมุมเงียบๆของเรา ไม่เคยไปก้าวก่าย ไม่เคยไปวุ่นวาย ไม่เคยทักไปหา ทำได้แค่แอบมอง มีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอกัน แค่เค้าขับรถผ่านหน้าเราก็ดีใจแล้ว แค่นี้จริงๆ
แต่โชคชะตาเหมือนเล่นตลกที่ให้เรากับเค้าอยู่บ้านใกล้กัน ทำให้ทุกครั้งที่เราทำงานร่วมกัน เมื่อเลิกงานเค้าก็จะชวนเรากลับบ้านด้วยกัน(แต่จริงๆเค้าก็ไปส่งคนอื่นด้วยที่บ้านละแวกเดียวกัน ไม่ได้ส่งแค่เราคนเดียว) อาจเป็นเพราะเหตุนี้เลยทำให้เราได้รู้จักกับเค้ามากขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นสนิทกัน
เราไม่ใช่คนกระโตกกระตากอะไรที่จะไปแสดงออกว่าชอบเค้า เพราะมันไม่เหมาะสมที่จะแสดงอยู่แล้ว ตามที่บอกนั่นแหละว่าสถานะของเรามันไม่ควร เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี่เอง เราเริ่มรู้สึกว่า เหมือนเค้ารู้ ว่าเราชอบเค้า ทุกอย่างมันเริ่มจากเรามีความจำเป็นที่ต้องทักไปคุยเรื่องงานกับเค้า(ปกติเราไม่เคยทัก) และเค้าคุยกับเราดีมาก พอคุยเรื่องงานเสร็จเค้าก็จะถามเรื่ิองอื่นบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้คุยเยอะมากนัก เวลาเจอหน้ากันเค้าก็จะทักเราก่อนเสมอ ยิ้มให้ มีครั้งหนึ่งเราถ่ายรูปบรรยากาศที่สถานีรถไฟฟ้าแห่งหนึ่ง เมื่อเค้าเห็นรูปนั้นเค้าก็ทักมาถามว่าขึ้นรถไฟหรือยัง จะไปไหน และเค้าบอกกำลังจะออกจากบ้านไปที่ทำงาน ในใจลึกๆของเรารู้ว่าที่เค้าทักมาถาม ถ้าเรายังไม่ขึ้นรถไฟ เค้าจะชวนเราไปพร้อมเค้า แต่เราดันขึ้นรถไฟไปก่อน
กระทั่งเข้าสู่ช่วงหยุดยาวในหน้าที่การงานทั้งของเราและเค้า และเป็นช่วงหยุดโควิดด้วย ตอนนั้นเรารู้เลยว่าเราและเค้าคงไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกแน่ๆ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องคุย เนื่องจากหลังจากนี้เราไม่ได้ทำงานร่วมกันแล้ว แต่เค้าดูเหมือนเปิดโอกาสให้เราทักไปคุยกับเค้าได้ โดยที่เค้าบอกกับเราว่า "หยุดยาวมีอะไรก็เล่าให้ฟังบ้างนะ" เมื่อเราได้ยินแบบนี้ก็ดีใจมาก เค้าให้โอกาสเราทักทาย เราก็ลองทักไปคุยบ้างแบบถามสารทุกข์สุกดิบ ไม่ได้ทักไปบ่อยนะ นานๆทีทัก บางครั้งเค้าก็ทักเรามาเองบ้าง แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าถึงแม้เราจะชอบเค้า แต่เราไม่เคยคิดหวังอยากได้เค้ามา เราทักไปเพื่อคุยนิดหน่อยพอให้เป็นกำลังใจในชีวิตเท่านั้น
มีช่วงหนึ่งเราทักไป เค้าก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างจนเรารู้สึกว่า โอเค เค้าคงไม่ได้อยากคุย และไม่ได้อะไรกับเราหรอก เราเลยเกรงใจเค้า ไม่ทักเค้าไปอีก และเราก็ไม่โอเคกับใจตัวเองด้วย ไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้ เราเลยเลิกทักและหายไป กลับกลายเป็นว่าพอเราจะหายไป เค้าทักมาหาเรา และคุยกับเรามากขึ้น
จากที่เคยคุยกัน 2คร้งต่ออาทิตย์ ก็เป็น2-3 วันคุยกันครั้ง และเริ่มกลายเป็นคุยกันทุกวัน จากคุยทุกวัน เป็นคุยกันทุกคืน และทักกันทุกเช้าเวลาตื่น วันหนึ่งๆคุยกันหลายรอบมาก ส่งรูปโน่นนี่ให้กันดูตลอดว่าทำอะไร โดยที่ส่วนมากเค้าเป็นคนส่งและทักมาหาเราเอง นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เราคุยกันมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งเรารู้มาว่าช่วงนี้นี่เองภรรยาเค้ากลับบ้านที่ต่างจังหวัด เค้าอยู่บ้านคนเดียว
สิ่งที่เรากับเค้าคุยกัน ก็จะเป็นเรื่องความชอบที่เหมือนกัน เล่าเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว(แต่เค้าไม่เคยเล่าถึงภรรยา) เรื่องทั่วๆไปในชีวิตเค้าก็เล่าให้เราฟังหมด เค้าเริ่มเปิดโลกให้เราเข้าถึงเค้ามากขึ้น เช่น ให้เราเข้าไปดูไทม์ไลน์ในไลน์เค้าได้ ปกติเค้าจะล็อกไม่ให้คนอื่นเห็น จะให้เห็นเฉพาะคนที่อยากให้เห็น ทำให้เรารู้ว่าเมื่อก่อนเค้าโพสอะไรบ้าง ทำอะไรบ้างที่ผ่านมา ทำให้เรารู้จักเค้ามากขึ้น
นอกจากนั้นเราก็ชอบคุยกันเรื่องเพลงเก่าๆ เพราะต่างคนต่างชอบฟังเหมือนกัน มีการส่งเพลงให้กันฟัง เพลงที่เราส่งให้เค้าฟัง เรายอมรับว่าเนื้อเพลงแอบสื่อนะว่าเราชอบเค้า เพลงที่เค้าส่งให้เราฟัง จริงๆมันก็สื่อเหมือนกัน แต่เราไม่กล้าคิดไปเองว่าเค้าส่งมาเพราะสื่อเช่นกันหรือว่าเพราะเค้าชอบเพลงนี้จริง ๆ มันก็มีหลายเพลงที่ทำให้น่าคิด เราพยายามไม่คิด และไม่เข้าข้างตัวเองมาตลอด
เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นในช่วงนี้ เมื่อก่อนเค้าจะเรียกสรรพนามแทนตัวเราว่า “เรา” แต่เค้าเปลี่ยนมาเรียกเราว่า “หนู” เราคุยกับเค้าว่า ถ้าเราได้กลับไปทำงานแล้ว ถ้าเราทำผลงานได้ดีกว่าเทอมที่ผ่านมา เค้าจะทำยังไง เค้าตอบมาว่า “จะเลี้ยงข้าวหนู ดีมั้ย? หรือธรรมดาไป” เราตอบตกลงตามนั้น และถามเค้าว่า ถ้าผลงานเราเแย่กว่าที่ทำไว้ก่อนหน้าล่ะคะ เค้าก็ตอบมาว่า “ก็ให้เราเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวเค้าแทนไง” มันแปลว่าไม่ว่าผลจะออกมายังไง เรากับเค้าก็ต้องได้ไปกินข้าวกันอยู่ดีใช่มั้ย
แต่เราสองคนไม่เคยคุยกันในทำนองอย่างว่าหรือเรื่องแบบนั้นแม้แต่นิดเดียว จะคุยก็แต่เรื่องทั่วไปมากกว่า มีบ้างบางครั้งที่การคุยกันอาจเหมือนสองแง่สองง่ามที่ชวนคิด ครั้งหนึ่งเค้าเคยเล่าเรื่องความรักสมัยเค้าเป็นหนุ่มให้เราฟัง เราก็แซวว่าคนที่เค้าชอบต้องเป็นคนสวย น่ารัก อ่อนหวาน เค้าก็บอกไม่เสมอไปนะเพราะคนที่เค้าชอบจะมีลักษณะบางอย่างคล้ายกันคือ ฟันกระต่าย และลักยิ้ม ประโยคนี้ทำเราอึ้งไป 10วิ เพราะเราดันมีลักยิ้ม อีกเหตุการณ์หนึ่งเราคุยกันเรื่องแมว เราบอกเค้าว่าเราชอบแมว เพราะแมวชอบอ้อน เค้าก็บอกว่า นึกว่าหนูชอบอ้อนซะอีก หนูชอบอ้อนเหรอ เราเจอประโยคนี้ ยอมรับว่าไปไม่เป็นเลย ด้วยความที่เราเด็กกว่าเค้ามาก มันเขินนะ แต่เราไม่รู้ว่าการที่เค้าพูดแบบนี้มันสื่ออะไรหรือเปล่า ถามว่าดีใจมั้ย เราดีใจมากนะ แต่ก็ไม่กล้าคิดไปเองอยู่ดี บางทีเค้าอาจจะแค่เอ็นดูเราเฉยๆก็ได้
เราคุยกับเค้าแบบนี้มาเรื่อยๆประมาณ 4 เดือนได้ จนผ่านพ้นช่วงหยุดยาวโควิด วิถีชีวิตกลับเข้าสู้สภาวะปกติ เรากับเค้าได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เราไม่มีงานที่ต้องทำร่วมกันกับเค้าแล้ว แต่เรากับเค้าก็นัดกลับบ้านด้วยกัน และเค้ามาส่งเราถึงที่บ้าน และช่วงนี้เองเป็นช่วงที่เรากับเค้าคุยกันน้อยลงกว่าช่วงหยุดยาวโควิดที่ผ่านมา แต่ก็ยังทักทายกันทุกวัน อาจเป็นเพราะเค้ามีงานมากขึ้น หรือเพราะเกรงใจภรรยา?(ภรรยาเค้ากลับมาแล้ว) หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่เราไม่เข้าใจคือ ที่ผ่านมาที่เค้าคุยกับเราทุกวัน บอกเราตลอดทุกเรื่อง เป็นห่วงเป็นใย มันคืออะไร เค้ารู้สึกดีกับเราบ้างหรือเปล่า หรือเพราะตอนนั้นว่าง เหงา แล้วเราเป็นคนคุยแก้เหงาหรือเปล่า
เราไม่ได้ต้องการจะให้เค้ามารักเราหรืออะไรหรอก เราไม่อยากทำครอบครัวใครแตกแยก แต่แค่น้อยใจโชคชะตา ทำไมต้องให้เรามารักเค้าด้วย คนบนโลกนี้มีตั้งมากมาย ทำไมต้องเป็นเค้าด้วยที่เรารัก เราเป็นคนที่รักใครยากมาก ในชีวิตเราเราเคยรักผู้ชายแค่ 2 คน แต่นั่นมันเกิดขึ้นตอนเราเป็นเด็ก แต่ความรักครั้งที่สามที่เกิดขึ้นครั้งนี้ มันเกิดขึ้นตอนที่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่
เราไม่รู้จริงๆว่าเค้าคิดยังไงกันแน่ คนที่เป็นผู้ใหญ่ในวัยนี้เค้ามีความคิดกันยังไงกัน แล้วยิ่งเป็นคนที่เก่ง เรียนสูงๆ และอยู่ในสังคมแบบนี้ด้วย เค้าก็มีมุมมองของเค้าอีกแบบหนึ่ง มีวิธีในการแสดงออก การพูดอีกแบบหนึ่ง มันยิ่งซับซ้อนไปกันใหญ่ เรารู้สึกสับสนไปหมด เราไม่รู้จริงๆ ว่าเค้าคิดยังไงกับเรา ในขณะที่เค้ารู้ทุกอย่างว่าเราคลั่งเค้าแค่ไหน แม้เราจะไม่เคยแสดงหรือพูดออกไปก็ตาม แต่เรารู้ว่าเค้ารู้แน่นอน ว่าเราชอบเค้า รักเค้ามาก เค้าจะรู้ไหมว่าการที่เค้าทำดีกับเรามาก เป็นห่วงเรา ให้ของฝากเราคนเดียว ไปส่งเราถึงหน้าบ้าน แชทมาหาทุกเช้าที่ตื่น บอกเราว่าเราเป็นคนที่เค้าคุยด้วยเยอะที่สุด เค้าจะรู้ไหมว่าการกระทำแบบนี้มันทำให้เราอาจคิดไปเองได้ ถ้าเค้ารู้ แต่เค้าไม่คิดอะไรกับเรา แล้วเค้าทำแบบนี้ทำไม
ที่มาตั้งกระทู้นี้ไม่ได้ต้องการอะไรหรอก เราแค่ไม่รู้จะทำยังไงกับความรักที่เกิดขึ้น (รักของเราฝ่ายเดียว) เราเสียใจที่เรากับเค้าไม่มีทางเป็นไปได้เพราะสถานะทางสังคมที่ผู้คนไม่ยอมรับ และไหนจะที่เค้ามีภรรยาแล้ว ไม่ว่าจะเลือกทางไหนเราก็เสียใจ จะให้เราหยุด หนีหายไป หรือไม่คุย ก็ทำไม่ได้อีกเพราะเรายังต้องเจอกัน ยังมีความเกรงใจเค้าอยู่มาก ยังต้องอยู่ในที่ทำงานร่วมกัน
สิ่งที่เราพอจะคิดได้เกี่ยวกับเค้ามี 2 อย่างคือ
ในแง่บวก : เค้าอาจรู้สึกดีกับเราเหมือนกัน เลยพูดคุยกับเรา ทำดีกับเรา แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เลยทำได้แค่นั้น ไม่มีทางมากไปกว่านี้ เลยทำเท่าที่ทำได้ ที่ไม่ล้ำเส้นและไม่น่าเกลียดจนเกินไป
ในแง่ลบ : เค้าอาจจะบริหารเสน่ห์หรือเปล่า ที่ รู้ว่าเรามาชอบ แต่เค้าก็ไม่ได้คิดอะไรกับเรา ทำให้เราหลงรักไปเรื่อย ๆ บางครั้งพูดอะไรที่มีความหมายแฝง ทำให้เราเอากลับไปคิด พอเราเหนื่อยจะหายไป เค้าก็ทักมา อะไรทำนองนี้
เห้อออ หนูอยากรู้จิตใจที่แท้จริงของคุณนะว่าคุณคิดยังไงกับหนู หนูสับสน และเหนื่อยจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย
สุดท้ายนี้ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ จริงๆมันคือการระบายความในใจอย่างหนึ่ง ใครมีประสบการณ์แนวนี้ หรืออยากให้แง่คิดมุมมองอะไร ก็แสดงความคิดเห็นมาได้นะคะ รับฟังทุกความคิดเห็นเลยค่ะ