จะยึดติดที่ quality แบบ herme's
หรือ จะใช้ marketing ร่วมสร้างสรร brand แบบ louis vuitton
เพราะการทำธุรกิจมีหลากหลายรูปแบบ
แล้วแบบไหนล่ะคือวิธีที่ดีที่สุด
ซึ่งคงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการกระหายใคร่อยากรู้มากที่สุด
ว่าอะไรคือคำตอบของคำถามที่เป็นปัญหากวนใจอย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุดในชีวิตของเรา
แต่ถึงอย่างไรเมื่อยามที่เราได้สิ่งนั้นมาแล้วเรานั้นก็กลับกลายเป็นถวิลหาสิ่งต่างๆเพิ่มเติมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ดี
แล้วเรานั้นควรที่จะต้องทำอย่างไร
เรานั้นควรที่จะพึงพอใจในสิ่งที่มีหรือพยายามพัฒนาสิ่งที่มีแบบ herme's ที่หลีกเลี่ยงสิ่งที่เรียกว่าการตลาด
ซึ่งเหล่าแฟนคลับที่ไม่รู้จริงที่ไม่สนอะไรนอกจาก
ลุ่มหลงคลั่งไคล้อย่างไม่ลืมหูลืมตา
พร้อมที่จะเกรี้ยวกราดใส่ทุกสรรพสิ่งที่มีโอกาสหรือกำลังสั่นคลอนความเชื่อที่ตัวเค้านั้นมีต่อแบรนด์
ซึ่งเหมือนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวในชีวิตไปเสียแล้ว
แต่เราก็ไม่ได้มองในตัวผู้บริโภคเหล่านั้นเพราะเป็นเรื่องของเค้า
แต่เราในฐานะนักการตลาดเราต้องมองว่าแบรนด์นั้นๆมีดีอะไรที่สามารถทำให้คนเหล่านั้นพร้อมเอาจิตวิญญาณอันเบาโหวงมาเกาะเกี่ยวพลังของ brand ที่พร้อมจะดึงดูดดวงวิญญาณอันเบาะบางที่ไร้จุดหมายเหล่านั้น ให้มายึดติดกับ brand อันสุดแสนจะเลอเลิศทรงพลังล้ำค่าแทนสิ่งต่างๆที่มีอยู่อย่างมากมายบนโลกใบนี้
ซึ่ง hermes นั้นนำเสนอสิ่งที่เรียกว่า story telling ที่หามิใช่เรื่องนิยายเพ้อเจ้อ ไร้น้ำหนัก ที่ประโลมขึ้นมาเพื่อที่จะลวงหลอกเหล่าจิตวิญญาณอันเปราะบางเหล่านั้นให้เคลิบเคลิ้มตาม และยึดเอาจิตวิญญาณของผู้คนเหล่านั้นไปครอบครองแต่ประการใด
แต่เป็น story แห่งเนื้องาน หรือก็คือ คุณภาพที่รังสรรขึ้นมา
เพื่อให้ได้สินค้าที่เป็นผลงานชั้นเลิศ
โดยที่หลีกหนีจากการทำการตลาดเป็นที่สุด
แม้ว่าการเปิดร้านหรือการทำ brand จะเป็นส่วนหนึ่งของการตลาด
แต่ก็หามิได้เข้มข้นอันสามารถกล่าวได้เต็มปากว่าเป้นการตลาดอันใดทั้งสิ้น
ซึ่งผลลัพธ์นั้นกลับเลอเลิศเป็นที่สุด
มีเหล่าจิตวิญญาณทั้งผู้หลงทางและผู้ไม่หลงทาง
แต่เป็นจิตวิญญาณระดับสูงที่ต้องการผลงานระดับสูงเพื่อไปโอ้โลมกับจิตวิญญาณของตัวเอง
อันประสบความสำเร็จในการมีชีวิต
ไม่ว่าจะสามารถหาเงินมาด้วยวิธีใดก็ตาม
ยอมที่จะเอาเงินนั้นที่สามารถที่จะไว้ใช้กินสำหรับการมีชีวิตราคาถูกได้นับปี
เพียงเพื่อแลกกับกระเป๋าใบเดียวที่สามารถหาสินค้าทดแทนได้ในราคาไม่ถึง 100 บาท
ก็สามารถที่จะมี benefit คือเอาไว้ใส่ของได้เฉกเช่นเดียวกันทุกประการ
แต่ก็หามิทำอะไรผู้คนเหล่านี้ที่เรานั้นเชื่อว่าข้อแถลงต่อการคำถามที่ว่าทำไมถึงได้(โง่)ซื้อกระเป๋าราคาระดับรถญี่ปุ่นคันหนึ่ง
สำหรับผู้ที่ยังมีจิตวิญญาณหวาดกลัวต่อคำครหาของเหล่าผู้ไม่รู้จริง
ว่าซื้อเอาไว้ลงทุน
เพราะสินค้าเหล่านี้อย่างที่ได้เห็นชัดในปัจจุบันนั้นก็คือมีแต่ราคาจะขึ้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จำคาดคำนึงได้สำหรับคนทั่วไป
ที่กระเป๋าใช้แล้วก็ต้องมีแต่ราคาตก เฉกเช่นเดียวกับรถยนต์ที่ไม่เคยมีราคาขึ้น
แต่ลืมมองไปว่า ferrari รุ่นเก่า หรือรถสปอร์ตรุ่นเก่าที่มีสภาพดีนั้นล้วนมีราคาสูงขึ้นจากราคาขายในสมัยนั้นเกิน 100-1000%
เพราะว่าอะไร
ก็เพราะว่ามนตราที่ผู้เสกสรร brand เหล่านั้นปั้นประดิษฐ์ขึ้นมาเสกใส่สิ่งที่ขีดเขียนขึ้นมาว่า logo ยังไงล่ะ
ซึ่งมันคือสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ล้วนๆ
เพราะเมื่อเรานั้นตัดอารมณ์ออกไป เราก็จะเห็น herme's เป็นเพียงกระเป๋าใบหนึ่ง และเห็น ferrari เป็นแค่เพียงรถคันหนึ่ง
แต่แล้วไงเมื่อสิ่งเหล่านั้นได้ขโมยจิตวิญญาณของชั้นไปแล้ว
และเมื่อ louis vuitton นั้นไม่ได้ต้องการเพียงแค่นั้น
เพราะว่า louis vuitton นั้นได้สิ่งเหล่านั้นตามที่เอ่ยมาแล้วทั้งหมดสิ้น
มีผู้คนมากมายที่พร้อมที่จะไปต่อแถวยามเมื่อมี collection ใหม่ เพือที่จะได้เอาไปนอนกอด เชยชม และหนักข้อขึ้นหลังจากการมาของโลก digital ที่เรานั้นสามารถที่จะอวดสิ่งเหล่านี้ต่อทั้งโลกได้เพียงแค่ปลายนิ้ว
เป็นตัวเสริมความต้องการ prop อะไรซักอย่าง
ในการ action เพื่อยอดติดตาม
และจะมีอะไรที่จะสามารถเรียกความสนใจได้จากสินค้าที่มีเรื่องราวที่ทรงพลังยิ่งเหล่านี้
ซึ่ง louis vuitton นั้นได้ก้าวผ่านความสำเร็จในเรื่องเหล่านี้ และต่อยอดไปในระดับที่เรียกว่า mass มากขึ้น
ซึ่งเป็นก้าวที่สำคัญยิ่ง เพราะการที่ go mass เป็นการสุ่มเสี่ยงต่องานศิลปะ
เป็นการทำลายตัวตนเพื่อแลกกับการขายได้ที่วางไว้บนเส้นขั้นเพียงแค่ความบางกระดาษ
และ louis vuitton ก็ทำได้อย่างที่ไม่มีใครแปลกใจ(แต่เชื่อได้ว่าเหล่าผู้เกี่ยวข้องก็ต้องแอบเสียวอยู่อย่างแน่นอน)
ด้วยความเนี้ยบของแผนการตลาดที่ balance ความเป็นเลิศของคุณภาพ และ brand และมุ่งทะยานออกผลิตภัณฑ์ที่เจาะจงมาเพื่อขายด้วยกลยุทธ์ทางด้านการตลาด
เช่นการร่วมงานกับโคตรศิลปินแดนญี่ปุ่นอย่าง murakami ออก collection สุดเจ๋งออกมา
เพราะว่าญี่ปุ่นเป็นตลาด louis vuitton ขนาดใหญ่
ซึ่งสำหรับนักกการตลาดนี่มันคือการทำการแบบจ๋าสุดๆ
แต่กลับไม่มีความอี๋ที่หล่าวนักการตลาดตัวจริงจะมี sence ทางนี้สูงปรี๊ด ยามเมื่อเราได้เห็น brand ทำการตลาดแบบไม่มีศิลปะและออกมาอี๋ๆ
เฉกเช่นละครไทยที่หยิบสินค้าหรือแนะนำบริการอย่างโต้งๆในละครที่มันไม่ได้มีความ relevance กันเลยระหว่างตัวละครกับbrand
แต่ louis vuitton เลือกและทำออกมาอย่างปราณีตทำให้ทุก collection ออกมาอย่างเฉิดฉายสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
เรียกได้ว่าพอดิบพอดีราวกับช่างด้วยตาชั่งเลยก็ว่าได้ในมุมมองของเรา
เพราะฉะนั้น louis vuitton จึงได้กระหึ่มครองโลกแห่ง hibrand ที่ผู้คนสามาถที่จะเป็นเจ้าของได้ด้วยปริมาณที่มากกว่า herme's เป็นเท่าทวี
และเมื่อสินค้าอยู่ในมือผู้หลงไหลมากกว่า
ความคลั่งไคล้ที่จะอยากได้อีก
และไหนจะการส่งต่อความอยากผ่านโลก social จึงมากเป็นเท่าทวี
จึงสามารถส่งต่อผลลัพธ์ต่อความมั่นคงของแบรนด์ louis vuitton ต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน
เมื่อเทียกับ herme's ที่เน้นปรัชญาการส่งผ่านธุรกิจรุ่นสู่รุ่นจึงหวาดกลัวภาพลักษณ์เป็นที่สุดด้วยการพยายามปกปักษ์ brand ด้วยการหลีกเลี่ยงการตลาดทั้งมวล
แล้วคุณล่ะอยากที่จะเป็นแบบไหน
ส่วนเราคำตอบคือ herme's+louis vuitton ยังไงล่ะ
เพราะว่าเราเหนือกว่า
สนใจอ่านบทความเพิ่มเติม
https://bit.ly/karntalard101
จะยึดติดที่ quality แบบ herme's หรือ จะใช้ marketing ร่วมสร้างสรร แบบ louis vuitton | โคตรเซียนการตลาด | episode 5
จะยึดติดที่ quality แบบ herme's
หรือ จะใช้ marketing ร่วมสร้างสรร brand แบบ louis vuitton
เพราะการทำธุรกิจมีหลากหลายรูปแบบ
แล้วแบบไหนล่ะคือวิธีที่ดีที่สุด
ซึ่งคงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการกระหายใคร่อยากรู้มากที่สุด
ว่าอะไรคือคำตอบของคำถามที่เป็นปัญหากวนใจอย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุดในชีวิตของเรา
แต่ถึงอย่างไรเมื่อยามที่เราได้สิ่งนั้นมาแล้วเรานั้นก็กลับกลายเป็นถวิลหาสิ่งต่างๆเพิ่มเติมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ดี
แล้วเรานั้นควรที่จะต้องทำอย่างไร
เรานั้นควรที่จะพึงพอใจในสิ่งที่มีหรือพยายามพัฒนาสิ่งที่มีแบบ herme's ที่หลีกเลี่ยงสิ่งที่เรียกว่าการตลาด
ซึ่งเหล่าแฟนคลับที่ไม่รู้จริงที่ไม่สนอะไรนอกจาก
ลุ่มหลงคลั่งไคล้อย่างไม่ลืมหูลืมตา
พร้อมที่จะเกรี้ยวกราดใส่ทุกสรรพสิ่งที่มีโอกาสหรือกำลังสั่นคลอนความเชื่อที่ตัวเค้านั้นมีต่อแบรนด์
ซึ่งเหมือนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวในชีวิตไปเสียแล้ว
แต่เราก็ไม่ได้มองในตัวผู้บริโภคเหล่านั้นเพราะเป็นเรื่องของเค้า
แต่เราในฐานะนักการตลาดเราต้องมองว่าแบรนด์นั้นๆมีดีอะไรที่สามารถทำให้คนเหล่านั้นพร้อมเอาจิตวิญญาณอันเบาโหวงมาเกาะเกี่ยวพลังของ brand ที่พร้อมจะดึงดูดดวงวิญญาณอันเบาะบางที่ไร้จุดหมายเหล่านั้น ให้มายึดติดกับ brand อันสุดแสนจะเลอเลิศทรงพลังล้ำค่าแทนสิ่งต่างๆที่มีอยู่อย่างมากมายบนโลกใบนี้
ซึ่ง hermes นั้นนำเสนอสิ่งที่เรียกว่า story telling ที่หามิใช่เรื่องนิยายเพ้อเจ้อ ไร้น้ำหนัก ที่ประโลมขึ้นมาเพื่อที่จะลวงหลอกเหล่าจิตวิญญาณอันเปราะบางเหล่านั้นให้เคลิบเคลิ้มตาม และยึดเอาจิตวิญญาณของผู้คนเหล่านั้นไปครอบครองแต่ประการใด
แต่เป็น story แห่งเนื้องาน หรือก็คือ คุณภาพที่รังสรรขึ้นมา
เพื่อให้ได้สินค้าที่เป็นผลงานชั้นเลิศ
โดยที่หลีกหนีจากการทำการตลาดเป็นที่สุด
แม้ว่าการเปิดร้านหรือการทำ brand จะเป็นส่วนหนึ่งของการตลาด
แต่ก็หามิได้เข้มข้นอันสามารถกล่าวได้เต็มปากว่าเป้นการตลาดอันใดทั้งสิ้น
ซึ่งผลลัพธ์นั้นกลับเลอเลิศเป็นที่สุด
มีเหล่าจิตวิญญาณทั้งผู้หลงทางและผู้ไม่หลงทาง
แต่เป็นจิตวิญญาณระดับสูงที่ต้องการผลงานระดับสูงเพื่อไปโอ้โลมกับจิตวิญญาณของตัวเอง
อันประสบความสำเร็จในการมีชีวิต
ไม่ว่าจะสามารถหาเงินมาด้วยวิธีใดก็ตาม
ยอมที่จะเอาเงินนั้นที่สามารถที่จะไว้ใช้กินสำหรับการมีชีวิตราคาถูกได้นับปี
เพียงเพื่อแลกกับกระเป๋าใบเดียวที่สามารถหาสินค้าทดแทนได้ในราคาไม่ถึง 100 บาท
ก็สามารถที่จะมี benefit คือเอาไว้ใส่ของได้เฉกเช่นเดียวกันทุกประการ
แต่ก็หามิทำอะไรผู้คนเหล่านี้ที่เรานั้นเชื่อว่าข้อแถลงต่อการคำถามที่ว่าทำไมถึงได้(โง่)ซื้อกระเป๋าราคาระดับรถญี่ปุ่นคันหนึ่ง
สำหรับผู้ที่ยังมีจิตวิญญาณหวาดกลัวต่อคำครหาของเหล่าผู้ไม่รู้จริง
ว่าซื้อเอาไว้ลงทุน
เพราะสินค้าเหล่านี้อย่างที่ได้เห็นชัดในปัจจุบันนั้นก็คือมีแต่ราคาจะขึ้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จำคาดคำนึงได้สำหรับคนทั่วไป
ที่กระเป๋าใช้แล้วก็ต้องมีแต่ราคาตก เฉกเช่นเดียวกับรถยนต์ที่ไม่เคยมีราคาขึ้น
แต่ลืมมองไปว่า ferrari รุ่นเก่า หรือรถสปอร์ตรุ่นเก่าที่มีสภาพดีนั้นล้วนมีราคาสูงขึ้นจากราคาขายในสมัยนั้นเกิน 100-1000%
เพราะว่าอะไร
ก็เพราะว่ามนตราที่ผู้เสกสรร brand เหล่านั้นปั้นประดิษฐ์ขึ้นมาเสกใส่สิ่งที่ขีดเขียนขึ้นมาว่า logo ยังไงล่ะ
ซึ่งมันคือสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ล้วนๆ
เพราะเมื่อเรานั้นตัดอารมณ์ออกไป เราก็จะเห็น herme's เป็นเพียงกระเป๋าใบหนึ่ง และเห็น ferrari เป็นแค่เพียงรถคันหนึ่ง
แต่แล้วไงเมื่อสิ่งเหล่านั้นได้ขโมยจิตวิญญาณของชั้นไปแล้ว
และเมื่อ louis vuitton นั้นไม่ได้ต้องการเพียงแค่นั้น
เพราะว่า louis vuitton นั้นได้สิ่งเหล่านั้นตามที่เอ่ยมาแล้วทั้งหมดสิ้น
มีผู้คนมากมายที่พร้อมที่จะไปต่อแถวยามเมื่อมี collection ใหม่ เพือที่จะได้เอาไปนอนกอด เชยชม และหนักข้อขึ้นหลังจากการมาของโลก digital ที่เรานั้นสามารถที่จะอวดสิ่งเหล่านี้ต่อทั้งโลกได้เพียงแค่ปลายนิ้ว
เป็นตัวเสริมความต้องการ prop อะไรซักอย่าง
ในการ action เพื่อยอดติดตาม
และจะมีอะไรที่จะสามารถเรียกความสนใจได้จากสินค้าที่มีเรื่องราวที่ทรงพลังยิ่งเหล่านี้
ซึ่ง louis vuitton นั้นได้ก้าวผ่านความสำเร็จในเรื่องเหล่านี้ และต่อยอดไปในระดับที่เรียกว่า mass มากขึ้น
ซึ่งเป็นก้าวที่สำคัญยิ่ง เพราะการที่ go mass เป็นการสุ่มเสี่ยงต่องานศิลปะ
เป็นการทำลายตัวตนเพื่อแลกกับการขายได้ที่วางไว้บนเส้นขั้นเพียงแค่ความบางกระดาษ
และ louis vuitton ก็ทำได้อย่างที่ไม่มีใครแปลกใจ(แต่เชื่อได้ว่าเหล่าผู้เกี่ยวข้องก็ต้องแอบเสียวอยู่อย่างแน่นอน)
ด้วยความเนี้ยบของแผนการตลาดที่ balance ความเป็นเลิศของคุณภาพ และ brand และมุ่งทะยานออกผลิตภัณฑ์ที่เจาะจงมาเพื่อขายด้วยกลยุทธ์ทางด้านการตลาด
เช่นการร่วมงานกับโคตรศิลปินแดนญี่ปุ่นอย่าง murakami ออก collection สุดเจ๋งออกมา
เพราะว่าญี่ปุ่นเป็นตลาด louis vuitton ขนาดใหญ่
ซึ่งสำหรับนักกการตลาดนี่มันคือการทำการแบบจ๋าสุดๆ
แต่กลับไม่มีความอี๋ที่หล่าวนักการตลาดตัวจริงจะมี sence ทางนี้สูงปรี๊ด ยามเมื่อเราได้เห็น brand ทำการตลาดแบบไม่มีศิลปะและออกมาอี๋ๆ
เฉกเช่นละครไทยที่หยิบสินค้าหรือแนะนำบริการอย่างโต้งๆในละครที่มันไม่ได้มีความ relevance กันเลยระหว่างตัวละครกับbrand
แต่ louis vuitton เลือกและทำออกมาอย่างปราณีตทำให้ทุก collection ออกมาอย่างเฉิดฉายสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
เรียกได้ว่าพอดิบพอดีราวกับช่างด้วยตาชั่งเลยก็ว่าได้ในมุมมองของเรา
เพราะฉะนั้น louis vuitton จึงได้กระหึ่มครองโลกแห่ง hibrand ที่ผู้คนสามาถที่จะเป็นเจ้าของได้ด้วยปริมาณที่มากกว่า herme's เป็นเท่าทวี
และเมื่อสินค้าอยู่ในมือผู้หลงไหลมากกว่า
ความคลั่งไคล้ที่จะอยากได้อีก
และไหนจะการส่งต่อความอยากผ่านโลก social จึงมากเป็นเท่าทวี
จึงสามารถส่งต่อผลลัพธ์ต่อความมั่นคงของแบรนด์ louis vuitton ต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน
เมื่อเทียกับ herme's ที่เน้นปรัชญาการส่งผ่านธุรกิจรุ่นสู่รุ่นจึงหวาดกลัวภาพลักษณ์เป็นที่สุดด้วยการพยายามปกปักษ์ brand ด้วยการหลีกเลี่ยงการตลาดทั้งมวล
แล้วคุณล่ะอยากที่จะเป็นแบบไหน
ส่วนเราคำตอบคือ herme's+louis vuitton ยังไงล่ะ
เพราะว่าเราเหนือกว่า
สนใจอ่านบทความเพิ่มเติม
https://bit.ly/karntalard101