จะยึดติดที่ quality แบบ herme's หรือ จะใช้ marketing ร่วมสร้างสรร แบบ louis vuitton | โคตรเซียนการตลาด | episode 5

กระทู้สนทนา


จะยึดติดที่ quality แบบ herme's
หรือ จะใช้ marketing ร่วมสร้างสรร brand แบบ louis vuitton
เพราะการทำธุรกิจมีหลากหลายรูปแบบ 
แล้วแบบไหนล่ะคือวิธีที่ดีที่สุด

ซึ่งคงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการกระหายใคร่อยากรู้มากที่สุด
ว่าอะไรคือคำตอบของคำถามที่เป็นปัญหากวนใจอย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุดในชีวิตของเรา

แต่ถึงอย่างไรเมื่อยามที่เราได้สิ่งนั้นมาแล้วเรานั้นก็กลับกลายเป็นถวิลหาสิ่งต่างๆเพิ่มเติมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ดี

แล้วเรานั้นควรที่จะต้องทำอย่างไร

เรานั้นควรที่จะพึงพอใจในสิ่งที่มีหรือพยายามพัฒนาสิ่งที่มีแบบ herme's ที่หลีกเลี่ยงสิ่งที่เรียกว่าการตลาด 
ซึ่งเหล่าแฟนคลับที่ไม่รู้จริงที่ไม่สนอะไรนอกจาก
ลุ่มหลงคลั่งไคล้อย่างไม่ลืมหูลืมตา 
พร้อมที่จะเกรี้ยวกราดใส่ทุกสรรพสิ่งที่มีโอกาสหรือกำลังสั่นคลอนความเชื่อที่ตัวเค้านั้นมีต่อแบรนด์ 
ซึ่งเหมือนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวในชีวิตไปเสียแล้ว

แต่เราก็ไม่ได้มองในตัวผู้บริโภคเหล่านั้นเพราะเป็นเรื่องของเค้า
แต่เราในฐานะนักการตลาดเราต้องมองว่าแบรนด์นั้นๆมีดีอะไรที่สามารถทำให้คนเหล่านั้นพร้อมเอาจิตวิญญาณอันเบาโหวงมาเกาะเกี่ยวพลังของ brand ที่พร้อมจะดึงดูดดวงวิญญาณอันเบาะบางที่ไร้จุดหมายเหล่านั้น ให้มายึดติดกับ brand อันสุดแสนจะเลอเลิศทรงพลังล้ำค่าแทนสิ่งต่างๆที่มีอยู่อย่างมากมายบนโลกใบนี้

ซึ่ง hermes นั้นนำเสนอสิ่งที่เรียกว่า story telling ที่หามิใช่เรื่องนิยายเพ้อเจ้อ ไร้น้ำหนัก ที่ประโลมขึ้นมาเพื่อที่จะลวงหลอกเหล่าจิตวิญญาณอันเปราะบางเหล่านั้นให้เคลิบเคลิ้มตาม และยึดเอาจิตวิญญาณของผู้คนเหล่านั้นไปครอบครองแต่ประการใด

แต่เป็น story แห่งเนื้องาน หรือก็คือ คุณภาพที่รังสรรขึ้นมา
เพื่อให้ได้สินค้าที่เป็นผลงานชั้นเลิศ 
โดยที่หลีกหนีจากการทำการตลาดเป็นที่สุด 
แม้ว่าการเปิดร้านหรือการทำ brand จะเป็นส่วนหนึ่งของการตลาด 
แต่ก็หามิได้เข้มข้นอันสามารถกล่าวได้เต็มปากว่าเป้นการตลาดอันใดทั้งสิ้น

ซึ่งผลลัพธ์นั้นกลับเลอเลิศเป็นที่สุด 

มีเหล่าจิตวิญญาณทั้งผู้หลงทางและผู้ไม่หลงทาง
แต่เป็นจิตวิญญาณระดับสูงที่ต้องการผลงานระดับสูงเพื่อไปโอ้โลมกับจิตวิญญาณของตัวเอง
อันประสบความสำเร็จในการมีชีวิต
ไม่ว่าจะสามารถหาเงินมาด้วยวิธีใดก็ตาม 

ยอมที่จะเอาเงินนั้นที่สามารถที่จะไว้ใช้กินสำหรับการมีชีวิตราคาถูกได้นับปี 
เพียงเพื่อแลกกับกระเป๋าใบเดียวที่สามารถหาสินค้าทดแทนได้ในราคาไม่ถึง 100 บาท 
ก็สามารถที่จะมี benefit คือเอาไว้ใส่ของได้เฉกเช่นเดียวกันทุกประการ

แต่ก็หามิทำอะไรผู้คนเหล่านี้ที่เรานั้นเชื่อว่าข้อแถลงต่อการคำถามที่ว่าทำไมถึงได้(โง่)ซื้อกระเป๋าราคาระดับรถญี่ปุ่นคันหนึ่ง

สำหรับผู้ที่ยังมีจิตวิญญาณหวาดกลัวต่อคำครหาของเหล่าผู้ไม่รู้จริง 

ว่าซื้อเอาไว้ลงทุน

เพราะสินค้าเหล่านี้อย่างที่ได้เห็นชัดในปัจจุบันนั้นก็คือมีแต่ราคาจะขึ้น

ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จำคาดคำนึงได้สำหรับคนทั่วไป
ที่กระเป๋าใช้แล้วก็ต้องมีแต่ราคาตก เฉกเช่นเดียวกับรถยนต์ที่ไม่เคยมีราคาขึ้น

แต่ลืมมองไปว่า ferrari รุ่นเก่า หรือรถสปอร์ตรุ่นเก่าที่มีสภาพดีนั้นล้วนมีราคาสูงขึ้นจากราคาขายในสมัยนั้นเกิน 100-1000% 

เพราะว่าอะไร

ก็เพราะว่ามนตราที่ผู้เสกสรร brand เหล่านั้นปั้นประดิษฐ์ขึ้นมาเสกใส่สิ่งที่ขีดเขียนขึ้นมาว่า logo ยังไงล่ะ

ซึ่งมันคือสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ล้วนๆ 

เพราะเมื่อเรานั้นตัดอารมณ์ออกไป เราก็จะเห็น herme's เป็นเพียงกระเป๋าใบหนึ่ง และเห็น ferrari เป็นแค่เพียงรถคันหนึ่ง

แต่แล้วไงเมื่อสิ่งเหล่านั้นได้ขโมยจิตวิญญาณของชั้นไปแล้ว

และเมื่อ louis vuitton นั้นไม่ได้ต้องการเพียงแค่นั้น
เพราะว่า louis vuitton นั้นได้สิ่งเหล่านั้นตามที่เอ่ยมาแล้วทั้งหมดสิ้น

มีผู้คนมากมายที่พร้อมที่จะไปต่อแถวยามเมื่อมี collection ใหม่ เพือที่จะได้เอาไปนอนกอด เชยชม และหนักข้อขึ้นหลังจากการมาของโลก digital ที่เรานั้นสามารถที่จะอวดสิ่งเหล่านี้ต่อทั้งโลกได้เพียงแค่ปลายนิ้ว

เป็นตัวเสริมความต้องการ prop อะไรซักอย่าง
ในการ action เพื่อยอดติดตาม 
และจะมีอะไรที่จะสามารถเรียกความสนใจได้จากสินค้าที่มีเรื่องราวที่ทรงพลังยิ่งเหล่านี้

ซึ่ง louis vuitton นั้นได้ก้าวผ่านความสำเร็จในเรื่องเหล่านี้ และต่อยอดไปในระดับที่เรียกว่า mass มากขึ้น 
ซึ่งเป็นก้าวที่สำคัญยิ่ง เพราะการที่ go mass เป็นการสุ่มเสี่ยงต่องานศิลปะ 
เป็นการทำลายตัวตนเพื่อแลกกับการขายได้ที่วางไว้บนเส้นขั้นเพียงแค่ความบางกระดาษ

และ louis vuitton ก็ทำได้อย่างที่ไม่มีใครแปลกใจ(แต่เชื่อได้ว่าเหล่าผู้เกี่ยวข้องก็ต้องแอบเสียวอยู่อย่างแน่นอน) 

ด้วยความเนี้ยบของแผนการตลาดที่ balance ความเป็นเลิศของคุณภาพ และ brand และมุ่งทะยานออกผลิตภัณฑ์ที่เจาะจงมาเพื่อขายด้วยกลยุทธ์ทางด้านการตลาด 
เช่นการร่วมงานกับโคตรศิลปินแดนญี่ปุ่นอย่าง murakami ออก collection สุดเจ๋งออกมา
เพราะว่าญี่ปุ่นเป็นตลาด louis vuitton ขนาดใหญ่
 
ซึ่งสำหรับนักกการตลาดนี่มันคือการทำการแบบจ๋าสุดๆ 
แต่กลับไม่มีความอี๋ที่หล่าวนักการตลาดตัวจริงจะมี sence ทางนี้สูงปรี๊ด ยามเมื่อเราได้เห็น brand ทำการตลาดแบบไม่มีศิลปะและออกมาอี๋ๆ 
เฉกเช่นละครไทยที่หยิบสินค้าหรือแนะนำบริการอย่างโต้งๆในละครที่มันไม่ได้มีความ relevance กันเลยระหว่างตัวละครกับbrand

แต่ louis vuitton เลือกและทำออกมาอย่างปราณีตทำให้ทุก collection ออกมาอย่างเฉิดฉายสมบูรณ์แบบยิ่งนัก 
เรียกได้ว่าพอดิบพอดีราวกับช่างด้วยตาชั่งเลยก็ว่าได้ในมุมมองของเรา

เพราะฉะนั้น louis vuitton จึงได้กระหึ่มครองโลกแห่ง hibrand ที่ผู้คนสามาถที่จะเป็นเจ้าของได้ด้วยปริมาณที่มากกว่า herme's เป็นเท่าทวี

และเมื่อสินค้าอยู่ในมือผู้หลงไหลมากกว่า
ความคลั่งไคล้ที่จะอยากได้อีก 
และไหนจะการส่งต่อความอยากผ่านโลก social จึงมากเป็นเท่าทวี

จึงสามารถส่งต่อผลลัพธ์ต่อความมั่นคงของแบรนด์ louis vuitton ต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน

เมื่อเทียกับ herme's ที่เน้นปรัชญาการส่งผ่านธุรกิจรุ่นสู่รุ่นจึงหวาดกลัวภาพลักษณ์เป็นที่สุดด้วยการพยายามปกปักษ์ brand ด้วยการหลีกเลี่ยงการตลาดทั้งมวล

แล้วคุณล่ะอยากที่จะเป็นแบบไหน
ส่วนเราคำตอบคือ herme's+louis vuitton ยังไงล่ะ
เพราะว่าเราเหนือกว่า

สนใจอ่านบทความเพิ่มเติม
https://bit.ly/karntalard101

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่