ด้วยความเป็นห่วงมารดา สาวสวยผู้ร้ายกาจชะงักมือค้างไว้ในอากาศ และที่ขย้ำคอเสื้อผมไว้ก็คลายนิ้วออก หันผละจากไปคูแลแม่ตัวเองที่นั่งบนพื้นอย่างลนลาน
อาการดุร้ายของนางเสือสงบลงโดยเฉียบพลัน สายตาอ่อนประกายลง หล่อนกอดมารดาแล้วช่วยพยุงขึ้นมานั่งบนโซฟาตามเดิม ถามด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล
“หน้ามืดใช่ไหมคะแม่ รจบอกแล้วว่าอย่ามาโรงพยาบาลก็ไม่ยอมเชื่อ นั่งอยู่นิ่งๆก่อนนะคะอย่าเพิ่งขยับลุกไปไหน หนูจะออกไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้”
คุณวิลาวัณย์ไม่สนใจลูกสาว ขืนตัวเบาๆหลุดออกจากแขน พลางตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นๆเล็กน้อย บ่งบอกให้รู้ว่าเธอกำลังไม่พอใจ
“ไม่ต้อง แม่ไม่เป็นไร ไปดูคนที่ลูกไปทำร้ายเขาก่อนดีกว่า พระสังข์เป็นยังไงบ้างลูก ต๊าย..!!”
ไม่ว่าใครที่เห็นสภาพนอนแผ่หรา ผ้าผ่อนฉีกขาด กระดุมเสื้อหลุดหายแบะให้เห็นหน้าอกที่มีรอยยางบอนเป็นแนวสลับไปมา รวมถึงเลือดที่ซึมออกทางเสื้อผ้าที่สวมใส่บางจุด ก็ต้องตกใจอย่างคุณวิลาวัณย์ทั้งนั้น
“โธ่รจนา ลูกรู้หรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป พระสังข์คนนี้คือคนที่พ่อและแม่เห็นพ้องต้องกันรับเอามาเป็นบุตรบุญธรรม เพื่อเอามาช่วยดูแล.... เขามีศักดิ์เป็นพี่ชายนะยายรจ ถึงแม่จะยังไม่มีโอกาสบอก แต่มันไม่ใช่อะไรเหลวไหลอย่างที่ลูกคิดไปเอง ตายแน่ฉัน เพิ่งมีลูกชายกับเขาได้วันเดียว”
แม่บุญธรรมของผมครวญ ส่วนยายรจนาตัวแสบใจแป้ว ลึกๆข้างในรู้สึกผิดขึ้นมา ที่ผ่านมามารดาของหล่อนแม้ว่ากล่าวสั่งสอนอย่างไร ก็ไม่เคยเอาบิดาผู้ล่วงลับมากล่าวอย่างพร่ำเพรื่อ ยกเว้นครั้งนี้ ท่าทางของคุณวิลาวัณย์จริงจังเหลือเกินจนรจนาไม่อาจคิดเป็นอื่นได้
แต่ด้วยความเป็นหล่อนก็ยังฝืนใจทำเป็นเข้มแข็ง พูดอย่างไม่ยี่หระว่า
“รจจะไปตามหมอมาดูให้ แค่เข้าใจผิดกันเล็กๆน้อยๆ รูปร่างสูงใหญ่เนื้อหนาอย่างนี้ คงไม่ตายง่ายๆหรอกค่ะแม่”
คุณวิลาวัณย์ไม่ฟังที่ลูกสาวพูด ยกมือลูบหน้าผากผมด้วยสัมผัสอันอบอุ่อย่างห่วงใยคล้ายกับคนเป็นแม่
ส่วนลูกสาวยืนมองตาเขียวด้วยความหมั่นไส้ คงอยากจะพูดอะไรแรงๆ แต่ด้วยความเกรงมารดาจะโกรธก็เลยกระทบกระเทียบแทน
“โดนข่วนแค่นี้ไม่ถึงตายหรอกค่ะแม่ นี่หนูยั้งมือไว้แล้วนะ โดนแค่เบาะๆ เดี้ยวหมอมาให้ใส่ยาแล้วก็กลับบ้านได้”
คุณวิลาวัณย์หันไปค้อนใส่ลูกสาว ส่งเสียงดุอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“กลับอะไรของแกล่ะ สงสัยจะได้อยู่ต่ออีกนานเลยสิไม่ว่า พระสังข์เพิ่งผ่าตัดเอากระสุนออก แกจะไปทำให้บาดแผลพี่เขากระเทือนเสียแล้ว”
แววตาของหญิงมีแววรู้สึกผิดขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่กลบเกลื่อนเฉไฉไปอีกเรื่อง
“ไปมีเรื่องที่ไหนมาหรือค่ะ แล้วคุณพ่อกับคุณแม่รับเขามาเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมหนูไม่เห็นรู้เลย”
คุณวิลาวัณย์ไม่อยากปดลูกสาว แต่ก็ยังไม่อยากบอกความจริงเรื่องสามีให้รู้ในตอนนี้ พอดีกับที่หมอเจ้าของไข้เดินถือคลิปบอร์ดเข้ามาในห้อง
หมอคงจะสายตาสั้นมากเพราะใส่แว่นหนาเตอะ และกำลังสนใจก้มหน้าอ่านสิ่งในมืออยู่ด้วย มาถึงก็ยกมือไหว้คุณวิลาวัณย์ ไม่ทันมองที่เหลืออีกสองคนในห้อง
“สวัสดีครับคุณวิ ประเดี๋ยวผมขอตรวจคนไข้ก่อนนะครับ โชคดีกระสุนไม่เข้าที่สำคัญ เลยผ่าออกได้โดยไม่กระทบกระเทือนอวัยวะอะไรมาก แต่ช่วงนี้อาจจะปวดๆแผลหน่อย อย่าเพิ่งทำอะไรหักโหม ถ้าหมดน้ำเกลือขวดนี้อาจจะเริ่มให้กินอาหารเบาๆไปก่อนได้ อาการคนไข้ดีขึ้นตามลำดับครับ หมอขอดูอาการอีกซักระยะครับ แล้วอาจจะให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ คนไข้เป็นบุตรคุณวิกับพี่ยอดเดชาใช่ไหมครับ เห็นท่านผู้อำนวยการกำชับมา เมื่อวานผมตรวจแล้วคนไข้ฟื้นจากสลบแล้วแต่มีอาการหลับเหมือนคนธรรมดา”
รจนายินยิ้มแหยๆ พอหมอหันไปมองเธอก็ยกมือไหว้ ตอนแรกคุณหมอเกือบจะจำหญิงสาวไม่ได้ แต่พอเห็นใบหน้า ตาจมูกคิ้วคางที่ถอดพิมมาจากผู้เป็นมารดาเขาก็รู้ทันที
“อ้าวนี้หนูรจหรอกหรือ แหม โตขึ้นมาเป็นสาวสวยอาเกือบจำไม่ได้แน่ะ นี่ถ้าเห็นที่อื่นอาจะเข้าใจผิดว่าเป็นคุณวิแทน จำได้ว่าตอนเห็นหนูครั้งที่แล้วยังเป็นเด็กอยู่เลย”
นายแพทย์พูดติดตลกอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้สังเกตสีหน้าของหญิงสาว แต่เมื่อคุณหมอหันมาทางผมเท่านั้น รอยยิ้มของคุณหมอก็สูญสลายไปจากใบหน้าทันที เปลี่ยนเป็นตกตะลึงจนแทบจะทำคลิปบอร์ดในมือตกพื้น
“เฮ้ย นี่คุณพระสังข์ใช่ไหมเนี่ย เมื่อวานผมมาดูอาการยังดีๆอยู่เลย พยาบาลเวรมาตรวจเกือบจะทุกสองชั่วโมงก็รายงานว่าปกติ พยาบาลสี่คนจะรายงานผิดตรงกันได้อย่างไร รวมทั้งผมด้วย”
ผมยกมือไหว้หมอไม่ไหวเพราะเจ็บแขน เลยฝืนยิ้มเฝื่อนๆขึ้นทักหมอ
“ผมไม่เป็นไรมากหรอกครับ ขอโทษครับที่ไหว้ไม่สะดวก ยกแขนข้างซ้ายไม่ขึ้น ขอบคุณหมอมากครับที่ช่วยชีวิตผมให้รอด”
หมออ้าปากค้าง เมื่อเห็นรอยข่วนบนตัวของผม แผลบางจุดที่ปริทำให้เห็นรอยเลือดเป็นดวงๆที่เสื้อ เขาอยากจะถามว่าชายหนุ่มหนีออกจากโรงพยาบาลไปฟัดกับใครมาหรือเปล่า แต่แน่นอนว่าพูดออกมาไม่ได้ เพราะคนไข้อยู่ในความดูแลของโรงพยาบาลและเขาที่เป็นเจ้าของไข้โดยตรง
ร่างจำแลงตอน2
อาการดุร้ายของนางเสือสงบลงโดยเฉียบพลัน สายตาอ่อนประกายลง หล่อนกอดมารดาแล้วช่วยพยุงขึ้นมานั่งบนโซฟาตามเดิม ถามด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล
“หน้ามืดใช่ไหมคะแม่ รจบอกแล้วว่าอย่ามาโรงพยาบาลก็ไม่ยอมเชื่อ นั่งอยู่นิ่งๆก่อนนะคะอย่าเพิ่งขยับลุกไปไหน หนูจะออกไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้”
คุณวิลาวัณย์ไม่สนใจลูกสาว ขืนตัวเบาๆหลุดออกจากแขน พลางตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นๆเล็กน้อย บ่งบอกให้รู้ว่าเธอกำลังไม่พอใจ
“ไม่ต้อง แม่ไม่เป็นไร ไปดูคนที่ลูกไปทำร้ายเขาก่อนดีกว่า พระสังข์เป็นยังไงบ้างลูก ต๊าย..!!”
ไม่ว่าใครที่เห็นสภาพนอนแผ่หรา ผ้าผ่อนฉีกขาด กระดุมเสื้อหลุดหายแบะให้เห็นหน้าอกที่มีรอยยางบอนเป็นแนวสลับไปมา รวมถึงเลือดที่ซึมออกทางเสื้อผ้าที่สวมใส่บางจุด ก็ต้องตกใจอย่างคุณวิลาวัณย์ทั้งนั้น
“โธ่รจนา ลูกรู้หรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป พระสังข์คนนี้คือคนที่พ่อและแม่เห็นพ้องต้องกันรับเอามาเป็นบุตรบุญธรรม เพื่อเอามาช่วยดูแล.... เขามีศักดิ์เป็นพี่ชายนะยายรจ ถึงแม่จะยังไม่มีโอกาสบอก แต่มันไม่ใช่อะไรเหลวไหลอย่างที่ลูกคิดไปเอง ตายแน่ฉัน เพิ่งมีลูกชายกับเขาได้วันเดียว”
แม่บุญธรรมของผมครวญ ส่วนยายรจนาตัวแสบใจแป้ว ลึกๆข้างในรู้สึกผิดขึ้นมา ที่ผ่านมามารดาของหล่อนแม้ว่ากล่าวสั่งสอนอย่างไร ก็ไม่เคยเอาบิดาผู้ล่วงลับมากล่าวอย่างพร่ำเพรื่อ ยกเว้นครั้งนี้ ท่าทางของคุณวิลาวัณย์จริงจังเหลือเกินจนรจนาไม่อาจคิดเป็นอื่นได้
แต่ด้วยความเป็นหล่อนก็ยังฝืนใจทำเป็นเข้มแข็ง พูดอย่างไม่ยี่หระว่า
“รจจะไปตามหมอมาดูให้ แค่เข้าใจผิดกันเล็กๆน้อยๆ รูปร่างสูงใหญ่เนื้อหนาอย่างนี้ คงไม่ตายง่ายๆหรอกค่ะแม่”
คุณวิลาวัณย์ไม่ฟังที่ลูกสาวพูด ยกมือลูบหน้าผากผมด้วยสัมผัสอันอบอุ่อย่างห่วงใยคล้ายกับคนเป็นแม่
ส่วนลูกสาวยืนมองตาเขียวด้วยความหมั่นไส้ คงอยากจะพูดอะไรแรงๆ แต่ด้วยความเกรงมารดาจะโกรธก็เลยกระทบกระเทียบแทน
“โดนข่วนแค่นี้ไม่ถึงตายหรอกค่ะแม่ นี่หนูยั้งมือไว้แล้วนะ โดนแค่เบาะๆ เดี้ยวหมอมาให้ใส่ยาแล้วก็กลับบ้านได้”
คุณวิลาวัณย์หันไปค้อนใส่ลูกสาว ส่งเสียงดุอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“กลับอะไรของแกล่ะ สงสัยจะได้อยู่ต่ออีกนานเลยสิไม่ว่า พระสังข์เพิ่งผ่าตัดเอากระสุนออก แกจะไปทำให้บาดแผลพี่เขากระเทือนเสียแล้ว”
แววตาของหญิงมีแววรู้สึกผิดขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่กลบเกลื่อนเฉไฉไปอีกเรื่อง
“ไปมีเรื่องที่ไหนมาหรือค่ะ แล้วคุณพ่อกับคุณแม่รับเขามาเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมหนูไม่เห็นรู้เลย”
คุณวิลาวัณย์ไม่อยากปดลูกสาว แต่ก็ยังไม่อยากบอกความจริงเรื่องสามีให้รู้ในตอนนี้ พอดีกับที่หมอเจ้าของไข้เดินถือคลิปบอร์ดเข้ามาในห้อง
หมอคงจะสายตาสั้นมากเพราะใส่แว่นหนาเตอะ และกำลังสนใจก้มหน้าอ่านสิ่งในมืออยู่ด้วย มาถึงก็ยกมือไหว้คุณวิลาวัณย์ ไม่ทันมองที่เหลืออีกสองคนในห้อง
“สวัสดีครับคุณวิ ประเดี๋ยวผมขอตรวจคนไข้ก่อนนะครับ โชคดีกระสุนไม่เข้าที่สำคัญ เลยผ่าออกได้โดยไม่กระทบกระเทือนอวัยวะอะไรมาก แต่ช่วงนี้อาจจะปวดๆแผลหน่อย อย่าเพิ่งทำอะไรหักโหม ถ้าหมดน้ำเกลือขวดนี้อาจจะเริ่มให้กินอาหารเบาๆไปก่อนได้ อาการคนไข้ดีขึ้นตามลำดับครับ หมอขอดูอาการอีกซักระยะครับ แล้วอาจจะให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ คนไข้เป็นบุตรคุณวิกับพี่ยอดเดชาใช่ไหมครับ เห็นท่านผู้อำนวยการกำชับมา เมื่อวานผมตรวจแล้วคนไข้ฟื้นจากสลบแล้วแต่มีอาการหลับเหมือนคนธรรมดา”
รจนายินยิ้มแหยๆ พอหมอหันไปมองเธอก็ยกมือไหว้ ตอนแรกคุณหมอเกือบจะจำหญิงสาวไม่ได้ แต่พอเห็นใบหน้า ตาจมูกคิ้วคางที่ถอดพิมมาจากผู้เป็นมารดาเขาก็รู้ทันที
“อ้าวนี้หนูรจหรอกหรือ แหม โตขึ้นมาเป็นสาวสวยอาเกือบจำไม่ได้แน่ะ นี่ถ้าเห็นที่อื่นอาจะเข้าใจผิดว่าเป็นคุณวิแทน จำได้ว่าตอนเห็นหนูครั้งที่แล้วยังเป็นเด็กอยู่เลย”
นายแพทย์พูดติดตลกอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้สังเกตสีหน้าของหญิงสาว แต่เมื่อคุณหมอหันมาทางผมเท่านั้น รอยยิ้มของคุณหมอก็สูญสลายไปจากใบหน้าทันที เปลี่ยนเป็นตกตะลึงจนแทบจะทำคลิปบอร์ดในมือตกพื้น
“เฮ้ย นี่คุณพระสังข์ใช่ไหมเนี่ย เมื่อวานผมมาดูอาการยังดีๆอยู่เลย พยาบาลเวรมาตรวจเกือบจะทุกสองชั่วโมงก็รายงานว่าปกติ พยาบาลสี่คนจะรายงานผิดตรงกันได้อย่างไร รวมทั้งผมด้วย”
ผมยกมือไหว้หมอไม่ไหวเพราะเจ็บแขน เลยฝืนยิ้มเฝื่อนๆขึ้นทักหมอ
“ผมไม่เป็นไรมากหรอกครับ ขอโทษครับที่ไหว้ไม่สะดวก ยกแขนข้างซ้ายไม่ขึ้น ขอบคุณหมอมากครับที่ช่วยชีวิตผมให้รอด”
หมออ้าปากค้าง เมื่อเห็นรอยข่วนบนตัวของผม แผลบางจุดที่ปริทำให้เห็นรอยเลือดเป็นดวงๆที่เสื้อ เขาอยากจะถามว่าชายหนุ่มหนีออกจากโรงพยาบาลไปฟัดกับใครมาหรือเปล่า แต่แน่นอนว่าพูดออกมาไม่ได้ เพราะคนไข้อยู่ในความดูแลของโรงพยาบาลและเขาที่เป็นเจ้าของไข้โดยตรง