OPPO ได้ทำการเปิดตัว OPPO Reno4 ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการไปไม่นานนี้ เป็นรุ่นที่เปิดมาลุยในตลาดราคาหมื่นต้นได้เป็นอย่างดี มาพร้อมกับเอกลักษณ์เน้นเรื่องของงานออกแบบ วัสดุฝาหลังที่สวยงามอย่างมากพร้อมกับกล้องหลังที่โดดเด่นพอสมควรครับกับเทคโนโลยีต่างๆที่ใส่เข้ามา ซึ่งในรุ่นนี้จะใช้งาน Snapdragon 720G พร้อมกับเป็นดีไซน์ที่โดดเด่น ใช้งานหน้าจอ AMOLED แบบจอแบบ Dual Punch-hole Display ด้วยเช่นกัน ถือว่าในภาพรวมนั้นเด่นๆเรื่องของงานออกแบบ กล้อง พอสมควรเลยทีเดียวและยังคงเด่นเรื่องของฟีเจอร์ในการถ่ายภาพ วีดีโอที่ใส่เข้ามาเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งถ่ายกลางคืน ถ่ายคนละลายหลังที่ใส่ฟีเจอร์ใหม่ๆเข้ามา หรือจะเป็นกันสั่นวีดีโอก็ตามครับ ทาง OPPO ก็ถือว่าพัฒนามาอย่างต่อเนื่องทั้งเรื่องของระบบ ฟีเจอร์และการใช้งานให้สามารถตอบโจทย์ได้ง่ายและคนใช้งานทั่วไปใช้งานได้ง่าย ถ่ายรุปสวย ไม่ต้องปรับอะไรเยอะนั้นเองส่วนการใช้งานจริงนั้นจะเป็นยังไงไปอ่านกัน
OPPO Reno4 นั้นเปิดตัวมาในไทยด้วยสเปค Snapdragon 720G มาพร้อมกับ RAM 8GB และทางด้านความจำในตัวเครื่องให้มาที่ 128GB ทางด้านหน้าจอใช้งานหน้าจอ AMOLED 6.4 นิ้ว FHD+ จะเป็นตัว 60Hz นะครับ Dual Punch-hole อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 90.7% และทางด้านกล้องหลัง 4 ตัว มาพร้อมกับกล้องหลัง 48MP Sony IMX586 f/1.7, ตัวที่ 2 นั้นจะเป็นกล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 8MP และ ตัวที่ 3 กล้อง Macro ความละเอียด 2MP และ สุดท้ายนั้นเป็นกล้อง Mono ความละเอียด 2MP ส่วนทางด้านกล้องหน้านั้นให้มา 1 ตัว กล้องหน้า 32MP Sony IMX616 พร้อมกับ รูรับแสง f/2.4 พร้อมกับ เซนเซอร์สำหรับจับระยะและใช้งานโหมดอื่นๆนะครับแต่ไม่ใช่กล้องคู่นะครับ ส่วนทางด้านแบตเตอร์รี่นั้นให้มาที่ 4,015 mAh พร้อมกับการรองรับการชาร์จไว 30W ในชื่อ 30W VOOC 4.0 นั้นเองสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ 50% ภายใน 20 นาที แต่ยังทำได้บางเบา ด้วยความบางแค่ 7.7 มม. เท่านั้นครับ และทางด้านการเชื่อมต่อก็รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.1 มี 2 สี คือ Galactic Blue และ Space Black
OPPO Reno4 เปิดราคาในไทยมาที่ 11,990 บาท มาพร้อมกับสี Galactic Blue และ Space Black เริ่มพรีออเดอร์ตั้งแต่ 24 กรกฎาคม – 5 สิงหาคมนี้ครับ และ ขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 สิงหาคมเป็นต้นไป
UNBOX
- ตัวเครื่อง OPPO Reno4
- เคส OPPO Reno4 แบบ TPU ใส
- Adaptor ชาร์จ 30W VOOC 4.0
- สาย USB-C รองรับ VOOC 4.0
- คู่มือ ที่จิ้มซิม
- ฟิลม์กันรอยติดตั้งมาให้จากโรงงาน
ตัวเคสที่แถมมานั้นต้องบอกว่ายังคงเป็นเคสใสนิ่มปกติครับ พร้อมกับคลุมทั้งตัวเครื่องด้านหลังทั้งหมด ส่วนขอบเครื่องในส่วนหน้าจอนั้นทั้ง 4 มุมมีการนูนขึ้นมาปกป้องหน้าจอรวมถึงมีเว้าตรงขอบลำโพงด้านบน ความหนาของเคสกลางๆกำลังดีครับไม่ได้ทำให้ตัวเครื่องหนักเกินไปและไม่ได้หนาเกินจำเป็นด้วยครับ ตัวเคสนั้นในเรื่องของตามขอบกล้องและหน้าจอสามารถครอบคลุมได้ทั้งหมดในส่วนของด้านหน้านั้นจะมีขอบเครื่องทั้ง 4 มุมโผล่ขึ้นมาทำให้ปกป้องได้ดีเวลาวางหน้าคว่ำครับ และช่วยในการตกกระแทกได้ดีเป็นเคสแถมที่ดีแต่ในเรื่องของงานออกแบบยังเป็นเรียบๆไม่ได้ใช้วัสดุพิเศษแบบรุ่นก่อนรวมถึง ตัวกล้องหลังนั้นตัวเคสไม่ได้คลุมมาเกินตัวเลนส์เท่าไรครับ
DESIGN
งานออกแบบของทาง OPPO นั้นถือว่ารุ่นนี้มีความแปลกใหม่พอสมควรเด่นๆเลยคือเรื่องของฝาหลังแบบใหม่ที่เป็นแบบด้านครับแต่ก็เล่นกับแสงเงาได้ดีอย่างมากในสี้นี้ เป็นด้วยเทคนิคการทำสีที่ชื่อว่า Reno Glow ในสี Galactic Blue นั้นเองครับและที่ชอบคือมันเล่นกับแสงไฟได้สวยมากๆอีกทั้งเครื่องยังมีน้ำหนักเบามากๆและมีความบางมากเช่นเดียวกันแต่ก็ต้องยอมแลกกับวัสดุที่ไม่ใช่โลหะหรือกระจกแทนนั้นเองส่วนหน้าจอนั้นจะเป็นหน้าจอแบบเจาะรูเช่นเดิมพร้อมกับ ดีไซน์กล้องหลังแบบใหม่ที่เป็นกล้องวงแยกทั้งหมดแบบวงกลมนูนๆขึ้นมา
หน้าจอในรุ่นนี้ยังคงการออกแบบเป็นหน้าจอแบบ Dual Punch-hole Display เจาะรูตรงมุมซ้าย 2 ตำแหน่งครับ เป็นกล้องหน้า และ เซนเซอร์ และใช้หน้าจอแบบ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว FHD+ สัดส่วนเป็นแบบ 20:9 พร้อมกับมีฟิลม์กันรอยติดมาให้เรียบร้อยพร้อมใช้งานเลยครับ ถือว่าออกแบบสวยและขอบบางเช่นเดิมเลยในรุ่นนี้ครับ
หน้าจอ ขอบล่างนั้นจะเห็นว่ามีความหนากว่าด้านอื่นๆเป็นปกติของบรรดามือถือในเรทนี้ครับ พร้อมกับการควบคุมแบบ 3 ปุ่มนำทางและใช้งานแบบเต็มหน้าจอได้ตามสบายเลย
หน้าจอขอบบนนั้นเราจะเห็นว่ายังคงความบางได้เท่ากันทั้งหมดและตรงกล้องหน้านั้นเราจะเห็นว่ากล้องจริงๆจะอยู่ข้างเดียวอีกฝั่งนั้นจะเป็นเซนเซอร์สำหรับการจับท่าท่าง หรือ ป้องกันคนแอบมองพวกนี้นั้นเองครับ และ ลำโพงเซนเซอร์อื่นๆยังคงฝังไว้ตรงขอบด้านบนเช่นเดิมเลย กล้องหน้าให้มาเน้นๆที่ 32MP f/2.4 ครับในรุ่นนี้คมชัดเลยทีเดียว
ขอบเครื่องด้านล่างนั้นออกแบบใช้สีฟ้าเงาสวยงามโทนเดียวกับตัวเครื่องพร้อมกับ ลำโพงหลัก และ USB-C รวมถึง รูไมค์ และ รูหูฟัง 3.5 มม. ให้มาด้วยจะเห็นว่าตัวเครื่องนั้นมีความบางมากจริงๆและเป็นวัสดุแบบเงาทั้งหมดเลย
ขอบในด้านซ้ายนั้นจะเป็นปุ่ม เพิ่ม ลดเสียง รวมถึง ถาดซิมครับจะรองรับการใช้งานได้เป็นแบบ Nano-SIM เป็นถาดแบบ Triple Slot นะครับ แต่จะไม่ได้มีซีลยางอะไรใส่เข้ามาในรุ่นนี้ตรงถาดซิม
ขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะเห็นว่าเป็นที่อยู่ของ ไมค์อีกตัวเป็นส่วนในการอัดเสียง และตัดเสียงอีกส่วนนึงนั้นเอง และจะเห็นว่ากล้องหลังนั้นไม่ได้นูนอะไรออกมาเยอะด้วยเช่นกันครับถือว่าทำออกมาได้ค่อยข้างดีเลยแหละ
ในส่วนของด้านขวาตัวเครื่องเราจะเห็นว่ามีเพียงปุ่ม Power เท่านั้นและฝาหลังมีการโค้งมาข้างๆด้วยนิดหน่อยให้จับถนัดมากขึ้นนั้นเองครับ และมีความบางมากๆเลยในบอดี้รุ่นนี้แค่ 7.7 มม. เท่านั้นและ 165 กรัมเท่านั้นครับ
ฝาหลังนั้นจะเห็นว่ามีการเล่นสีสวยงามครับเปลี่ยนสีแสงสะท้อนได้สวยเวลาเจอแสงแดดรวมถึงฝาหลังเป็นแบบ Reno Glow ทำให้มันเหมือนมีประกายๆอยู่รอบๆและเป็นแบบด้านๆครับทำให้สะท้อนแบบสวยไม่ได้สะท้อนแบบแยงตาอะไรด้วย แต่ก็จะเป็นส่วนแบบเงาๆตรงรอบกล้องก็ตัดกับพื้นผิวได้ค่อนข้างดี สีฟ้าผมเขียวนิดหน่อยตามสภาพแสง
กล้องหลังออกแบบแปลกตาครับสำหรับค่ายนี้ทุกครั้งจะออกแบบให้มีชิ้นกระจกครบทั้งหมดแต่ครั้งนี้แยกทั้งหมด 4 กล้องเลยครับและมีความนูนขึ้นแต่แยกเป็นตัวเลนส์เดี่ยวกันหมดเลยงานออกแบบแบบนี้ต้องบอกว่าดูแปลกตา และเด่นขึ้น แต่ข้อเสียมันคือจะทำให้ฝุ่นไปเกาะรอบๆเลนส์ได้ง่ายขึ้นและป้องกันยากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยแหละ ส่วนไฟแฟลชและ เลนส์อีกตัวนั้นจะอยู่ส่วนล่างครับ พร้อมกับกระจกรอบๆแบบเงาแตกต่างกับฝาหลัง ส่วนกล้องนั้นมาพร้อมกันทั้งหมด 4 ตัว เลนส์หลัก 48 MP f/1.7 เซ็นเซอร์ Sony IMX586 + Ultra Wide Angle มุมกว้าง 119 องศา 8 MP f/2.2 + Macro 2 MP f/2.4 + Mono 2 MP f/2.4 นั้นเองครับ
SPEC
- Android 10 ครอบทับด้วย ColorOS 7.2
- หน้าจอ Dual Punch-hole Display AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว FHD+ 20:9
- Qualcomm Snapdragon 720G 2.3GHz
- GPU Adreno 618
- RAM 8GB
- STORAGE 128GB (UFS 2.1)
- กล้องหลัง 4 ตัว เลนส์หลัก 48 MP f/1.7 เซ็นเซอร์ Sony IMX586 + Ultra Wide Angle มุมกว้าง 8 MP f/2.2 + Macro 2 MP f/2.4 + Mono 2 MP f/2.4
- Front Ultra Steady พร้อม Ultra Steady Video 3.0
- กล้องหน้า 32 MP f/2.4 Sony IMX616 + AI-enhanced Smart Sensor
- รองรับ Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac Bluetooth 5.1
- ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
- ช่องเชื่อมต่อ USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4015 mAh รองรับ 30W VOOC Flash Charge 4.0
- ขนาดตัวเครื่อง 160.3 x 73.9 x 7.7 มม. น้ำหนัก 165 กรัม
PERFORMANCE
ทางด้านประสิทธิภาพของตัวเครื่องนั้นมาพร้อมกับ Snapdragon 720G ทางด้าน RAM นั้นมาให้ทั้งหมด 8GB LPDDR4X และในด้านความจุนั้นมาพร้อมกับ 128GB ใช้หน่วยความจุแบบ UFS2.1 ทำคะแนนไปได้ 280332 คะแนน ในตัว Antutu และในตัว Androbench การอ่านเขียน UFS 2.1 ครับทำการอ่านเขียนไปได้ 500 MB/s และ 191 MB/s และในตัว Geekbench ทำได้ 566 / 1723 คะแนน ส่วนในเรื่องของความปลอดภัยนั้นแน่นอนว่ารองรับ L1 ดูหนังในความละเอียดสูงสุดได้เลยครับรุ่นนี้ ถือว่าประสิทธิภาพนั้นทำได้ดีเมื่อเทียบกับตัว CPU ครับ
SYSTEM UI
ในตัวระบบนั้นเองจะเป็น ColorOS ที่เราคุ้นเคยกันดีแต่พัฒนาขึ้นในหลายๆด้านการใช้งานครับ ทำงานบนพื้นฐาน Android 10 สวมทับด้วย ColorOS 7.2 ตัวล่าสุดเลยแน่นอนว่าในการใช้งานหน้าตาอะไรดูดีขึ้นพอสมควรครับแต่ก็ยังมีเอกลักษณ์ของแบรนด์อยู่ ในแง่ของการใช้งานเร็วลื่นขึ้นตอบสนองต่อหน้าจอได้ดี ตัวเลขแอป การแจ้งเตือนอะไรต่างๆทำได้ดีครับและจะไม่มี App Drawer นะครับเป็นหน้าหลักเลยแอปรวมทั้งหมดจะอยู่ในหน้านี้
ในส่วนของหน้าตาการตั้งค่า Quick Setting นั้นเป็นโทนสีเขียวขาว พร้อมไอคอนเหลี่ยมทั้งหมดรวมถึงสามารถปรับ ความสว่างหน้าจออะไรได้ และเมื่อลากลงมาอีกก็จะเป็นหน้าตาตั้งค่าแบบเต็มรูปแบบพร้อมเลื่อนไปซ้ายได้อีก และแน่นอนว่า ยังคงแบ่งหน้าจอได้ โดยการเข้าแอปและกดปุ่มเคลียร์แอปค้างไว้ ก็เลือกแอปที่จะแบ่งได้เลยครับ
ทางด้านของแป้นพิมพ์นั้น ใช้งานของ Google Keyboard เลยถือว่าเป็นคีย์บอร์ดที่ใช้งานได้ดีที่สุดอันนึงเท่าที่เคยลองมาและยังประทับใจที่สุดสำหรับตัวแอดมินเองครับ ส่วนตัว RAM 8 GB ใช้งานไป และเหลือ 3.7 และในตัวความจำนั้นมาให้ 128GB เหลือกใช้งาน 108 โดยประมาณจากทั้งหมด
[SR] รีวิว OPPO RENO4 ดีไซน์สวย บางเบา ฟีเจอร์กล้องแน่น ในราคา 11,990 บาท !
OPPO ได้ทำการเปิดตัว OPPO Reno4 ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการไปไม่นานนี้ เป็นรุ่นที่เปิดมาลุยในตลาดราคาหมื่นต้นได้เป็นอย่างดี มาพร้อมกับเอกลักษณ์เน้นเรื่องของงานออกแบบ วัสดุฝาหลังที่สวยงามอย่างมากพร้อมกับกล้องหลังที่โดดเด่นพอสมควรครับกับเทคโนโลยีต่างๆที่ใส่เข้ามา ซึ่งในรุ่นนี้จะใช้งาน Snapdragon 720G พร้อมกับเป็นดีไซน์ที่โดดเด่น ใช้งานหน้าจอ AMOLED แบบจอแบบ Dual Punch-hole Display ด้วยเช่นกัน ถือว่าในภาพรวมนั้นเด่นๆเรื่องของงานออกแบบ กล้อง พอสมควรเลยทีเดียวและยังคงเด่นเรื่องของฟีเจอร์ในการถ่ายภาพ วีดีโอที่ใส่เข้ามาเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งถ่ายกลางคืน ถ่ายคนละลายหลังที่ใส่ฟีเจอร์ใหม่ๆเข้ามา หรือจะเป็นกันสั่นวีดีโอก็ตามครับ ทาง OPPO ก็ถือว่าพัฒนามาอย่างต่อเนื่องทั้งเรื่องของระบบ ฟีเจอร์และการใช้งานให้สามารถตอบโจทย์ได้ง่ายและคนใช้งานทั่วไปใช้งานได้ง่าย ถ่ายรุปสวย ไม่ต้องปรับอะไรเยอะนั้นเองส่วนการใช้งานจริงนั้นจะเป็นยังไงไปอ่านกัน
OPPO Reno4 นั้นเปิดตัวมาในไทยด้วยสเปค Snapdragon 720G มาพร้อมกับ RAM 8GB และทางด้านความจำในตัวเครื่องให้มาที่ 128GB ทางด้านหน้าจอใช้งานหน้าจอ AMOLED 6.4 นิ้ว FHD+ จะเป็นตัว 60Hz นะครับ Dual Punch-hole อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 90.7% และทางด้านกล้องหลัง 4 ตัว มาพร้อมกับกล้องหลัง 48MP Sony IMX586 f/1.7, ตัวที่ 2 นั้นจะเป็นกล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 8MP และ ตัวที่ 3 กล้อง Macro ความละเอียด 2MP และ สุดท้ายนั้นเป็นกล้อง Mono ความละเอียด 2MP ส่วนทางด้านกล้องหน้านั้นให้มา 1 ตัว กล้องหน้า 32MP Sony IMX616 พร้อมกับ รูรับแสง f/2.4 พร้อมกับ เซนเซอร์สำหรับจับระยะและใช้งานโหมดอื่นๆนะครับแต่ไม่ใช่กล้องคู่นะครับ ส่วนทางด้านแบตเตอร์รี่นั้นให้มาที่ 4,015 mAh พร้อมกับการรองรับการชาร์จไว 30W ในชื่อ 30W VOOC 4.0 นั้นเองสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ 50% ภายใน 20 นาที แต่ยังทำได้บางเบา ด้วยความบางแค่ 7.7 มม. เท่านั้นครับ และทางด้านการเชื่อมต่อก็รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.1 มี 2 สี คือ Galactic Blue และ Space Black
OPPO Reno4 เปิดราคาในไทยมาที่ 11,990 บาท มาพร้อมกับสี Galactic Blue และ Space Black เริ่มพรีออเดอร์ตั้งแต่ 24 กรกฎาคม – 5 สิงหาคมนี้ครับ และ ขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 สิงหาคมเป็นต้นไป
UNBOX
- ตัวเครื่อง OPPO Reno4
- เคส OPPO Reno4 แบบ TPU ใส
- Adaptor ชาร์จ 30W VOOC 4.0
- สาย USB-C รองรับ VOOC 4.0
- คู่มือ ที่จิ้มซิม
- ฟิลม์กันรอยติดตั้งมาให้จากโรงงาน
ตัวเคสที่แถมมานั้นต้องบอกว่ายังคงเป็นเคสใสนิ่มปกติครับ พร้อมกับคลุมทั้งตัวเครื่องด้านหลังทั้งหมด ส่วนขอบเครื่องในส่วนหน้าจอนั้นทั้ง 4 มุมมีการนูนขึ้นมาปกป้องหน้าจอรวมถึงมีเว้าตรงขอบลำโพงด้านบน ความหนาของเคสกลางๆกำลังดีครับไม่ได้ทำให้ตัวเครื่องหนักเกินไปและไม่ได้หนาเกินจำเป็นด้วยครับ ตัวเคสนั้นในเรื่องของตามขอบกล้องและหน้าจอสามารถครอบคลุมได้ทั้งหมดในส่วนของด้านหน้านั้นจะมีขอบเครื่องทั้ง 4 มุมโผล่ขึ้นมาทำให้ปกป้องได้ดีเวลาวางหน้าคว่ำครับ และช่วยในการตกกระแทกได้ดีเป็นเคสแถมที่ดีแต่ในเรื่องของงานออกแบบยังเป็นเรียบๆไม่ได้ใช้วัสดุพิเศษแบบรุ่นก่อนรวมถึง ตัวกล้องหลังนั้นตัวเคสไม่ได้คลุมมาเกินตัวเลนส์เท่าไรครับ
DESIGN
งานออกแบบของทาง OPPO นั้นถือว่ารุ่นนี้มีความแปลกใหม่พอสมควรเด่นๆเลยคือเรื่องของฝาหลังแบบใหม่ที่เป็นแบบด้านครับแต่ก็เล่นกับแสงเงาได้ดีอย่างมากในสี้นี้ เป็นด้วยเทคนิคการทำสีที่ชื่อว่า Reno Glow ในสี Galactic Blue นั้นเองครับและที่ชอบคือมันเล่นกับแสงไฟได้สวยมากๆอีกทั้งเครื่องยังมีน้ำหนักเบามากๆและมีความบางมากเช่นเดียวกันแต่ก็ต้องยอมแลกกับวัสดุที่ไม่ใช่โลหะหรือกระจกแทนนั้นเองส่วนหน้าจอนั้นจะเป็นหน้าจอแบบเจาะรูเช่นเดิมพร้อมกับ ดีไซน์กล้องหลังแบบใหม่ที่เป็นกล้องวงแยกทั้งหมดแบบวงกลมนูนๆขึ้นมา
หน้าจอในรุ่นนี้ยังคงการออกแบบเป็นหน้าจอแบบ Dual Punch-hole Display เจาะรูตรงมุมซ้าย 2 ตำแหน่งครับ เป็นกล้องหน้า และ เซนเซอร์ และใช้หน้าจอแบบ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว FHD+ สัดส่วนเป็นแบบ 20:9 พร้อมกับมีฟิลม์กันรอยติดมาให้เรียบร้อยพร้อมใช้งานเลยครับ ถือว่าออกแบบสวยและขอบบางเช่นเดิมเลยในรุ่นนี้ครับ
หน้าจอ ขอบล่างนั้นจะเห็นว่ามีความหนากว่าด้านอื่นๆเป็นปกติของบรรดามือถือในเรทนี้ครับ พร้อมกับการควบคุมแบบ 3 ปุ่มนำทางและใช้งานแบบเต็มหน้าจอได้ตามสบายเลย
หน้าจอขอบบนนั้นเราจะเห็นว่ายังคงความบางได้เท่ากันทั้งหมดและตรงกล้องหน้านั้นเราจะเห็นว่ากล้องจริงๆจะอยู่ข้างเดียวอีกฝั่งนั้นจะเป็นเซนเซอร์สำหรับการจับท่าท่าง หรือ ป้องกันคนแอบมองพวกนี้นั้นเองครับ และ ลำโพงเซนเซอร์อื่นๆยังคงฝังไว้ตรงขอบด้านบนเช่นเดิมเลย กล้องหน้าให้มาเน้นๆที่ 32MP f/2.4 ครับในรุ่นนี้คมชัดเลยทีเดียว
ขอบเครื่องด้านล่างนั้นออกแบบใช้สีฟ้าเงาสวยงามโทนเดียวกับตัวเครื่องพร้อมกับ ลำโพงหลัก และ USB-C รวมถึง รูไมค์ และ รูหูฟัง 3.5 มม. ให้มาด้วยจะเห็นว่าตัวเครื่องนั้นมีความบางมากจริงๆและเป็นวัสดุแบบเงาทั้งหมดเลย
ขอบในด้านซ้ายนั้นจะเป็นปุ่ม เพิ่ม ลดเสียง รวมถึง ถาดซิมครับจะรองรับการใช้งานได้เป็นแบบ Nano-SIM เป็นถาดแบบ Triple Slot นะครับ แต่จะไม่ได้มีซีลยางอะไรใส่เข้ามาในรุ่นนี้ตรงถาดซิม
ขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะเห็นว่าเป็นที่อยู่ของ ไมค์อีกตัวเป็นส่วนในการอัดเสียง และตัดเสียงอีกส่วนนึงนั้นเอง และจะเห็นว่ากล้องหลังนั้นไม่ได้นูนอะไรออกมาเยอะด้วยเช่นกันครับถือว่าทำออกมาได้ค่อยข้างดีเลยแหละ
ในส่วนของด้านขวาตัวเครื่องเราจะเห็นว่ามีเพียงปุ่ม Power เท่านั้นและฝาหลังมีการโค้งมาข้างๆด้วยนิดหน่อยให้จับถนัดมากขึ้นนั้นเองครับ และมีความบางมากๆเลยในบอดี้รุ่นนี้แค่ 7.7 มม. เท่านั้นและ 165 กรัมเท่านั้นครับ
ฝาหลังนั้นจะเห็นว่ามีการเล่นสีสวยงามครับเปลี่ยนสีแสงสะท้อนได้สวยเวลาเจอแสงแดดรวมถึงฝาหลังเป็นแบบ Reno Glow ทำให้มันเหมือนมีประกายๆอยู่รอบๆและเป็นแบบด้านๆครับทำให้สะท้อนแบบสวยไม่ได้สะท้อนแบบแยงตาอะไรด้วย แต่ก็จะเป็นส่วนแบบเงาๆตรงรอบกล้องก็ตัดกับพื้นผิวได้ค่อนข้างดี สีฟ้าผมเขียวนิดหน่อยตามสภาพแสง
กล้องหลังออกแบบแปลกตาครับสำหรับค่ายนี้ทุกครั้งจะออกแบบให้มีชิ้นกระจกครบทั้งหมดแต่ครั้งนี้แยกทั้งหมด 4 กล้องเลยครับและมีความนูนขึ้นแต่แยกเป็นตัวเลนส์เดี่ยวกันหมดเลยงานออกแบบแบบนี้ต้องบอกว่าดูแปลกตา และเด่นขึ้น แต่ข้อเสียมันคือจะทำให้ฝุ่นไปเกาะรอบๆเลนส์ได้ง่ายขึ้นและป้องกันยากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยแหละ ส่วนไฟแฟลชและ เลนส์อีกตัวนั้นจะอยู่ส่วนล่างครับ พร้อมกับกระจกรอบๆแบบเงาแตกต่างกับฝาหลัง ส่วนกล้องนั้นมาพร้อมกันทั้งหมด 4 ตัว เลนส์หลัก 48 MP f/1.7 เซ็นเซอร์ Sony IMX586 + Ultra Wide Angle มุมกว้าง 119 องศา 8 MP f/2.2 + Macro 2 MP f/2.4 + Mono 2 MP f/2.4 นั้นเองครับ
SPEC
- Android 10 ครอบทับด้วย ColorOS 7.2
- หน้าจอ Dual Punch-hole Display AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว FHD+ 20:9
- Qualcomm Snapdragon 720G 2.3GHz
- GPU Adreno 618
- RAM 8GB
- STORAGE 128GB (UFS 2.1)
- กล้องหลัง 4 ตัว เลนส์หลัก 48 MP f/1.7 เซ็นเซอร์ Sony IMX586 + Ultra Wide Angle มุมกว้าง 8 MP f/2.2 + Macro 2 MP f/2.4 + Mono 2 MP f/2.4
- Front Ultra Steady พร้อม Ultra Steady Video 3.0
- กล้องหน้า 32 MP f/2.4 Sony IMX616 + AI-enhanced Smart Sensor
- รองรับ Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac Bluetooth 5.1
- ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
- ช่องเชื่อมต่อ USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4015 mAh รองรับ 30W VOOC Flash Charge 4.0
- ขนาดตัวเครื่อง 160.3 x 73.9 x 7.7 มม. น้ำหนัก 165 กรัม
PERFORMANCE
ทางด้านประสิทธิภาพของตัวเครื่องนั้นมาพร้อมกับ Snapdragon 720G ทางด้าน RAM นั้นมาให้ทั้งหมด 8GB LPDDR4X และในด้านความจุนั้นมาพร้อมกับ 128GB ใช้หน่วยความจุแบบ UFS2.1 ทำคะแนนไปได้ 280332 คะแนน ในตัว Antutu และในตัว Androbench การอ่านเขียน UFS 2.1 ครับทำการอ่านเขียนไปได้ 500 MB/s และ 191 MB/s และในตัว Geekbench ทำได้ 566 / 1723 คะแนน ส่วนในเรื่องของความปลอดภัยนั้นแน่นอนว่ารองรับ L1 ดูหนังในความละเอียดสูงสุดได้เลยครับรุ่นนี้ ถือว่าประสิทธิภาพนั้นทำได้ดีเมื่อเทียบกับตัว CPU ครับ
SYSTEM UI
ในตัวระบบนั้นเองจะเป็น ColorOS ที่เราคุ้นเคยกันดีแต่พัฒนาขึ้นในหลายๆด้านการใช้งานครับ ทำงานบนพื้นฐาน Android 10 สวมทับด้วย ColorOS 7.2 ตัวล่าสุดเลยแน่นอนว่าในการใช้งานหน้าตาอะไรดูดีขึ้นพอสมควรครับแต่ก็ยังมีเอกลักษณ์ของแบรนด์อยู่ ในแง่ของการใช้งานเร็วลื่นขึ้นตอบสนองต่อหน้าจอได้ดี ตัวเลขแอป การแจ้งเตือนอะไรต่างๆทำได้ดีครับและจะไม่มี App Drawer นะครับเป็นหน้าหลักเลยแอปรวมทั้งหมดจะอยู่ในหน้านี้
ในส่วนของหน้าตาการตั้งค่า Quick Setting นั้นเป็นโทนสีเขียวขาว พร้อมไอคอนเหลี่ยมทั้งหมดรวมถึงสามารถปรับ ความสว่างหน้าจออะไรได้ และเมื่อลากลงมาอีกก็จะเป็นหน้าตาตั้งค่าแบบเต็มรูปแบบพร้อมเลื่อนไปซ้ายได้อีก และแน่นอนว่า ยังคงแบ่งหน้าจอได้ โดยการเข้าแอปและกดปุ่มเคลียร์แอปค้างไว้ ก็เลือกแอปที่จะแบ่งได้เลยครับ
ทางด้านของแป้นพิมพ์นั้น ใช้งานของ Google Keyboard เลยถือว่าเป็นคีย์บอร์ดที่ใช้งานได้ดีที่สุดอันนึงเท่าที่เคยลองมาและยังประทับใจที่สุดสำหรับตัวแอดมินเองครับ ส่วนตัว RAM 8 GB ใช้งานไป และเหลือ 3.7 และในตัวความจำนั้นมาให้ 128GB เหลือกใช้งาน 108 โดยประมาณจากทั้งหมด
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้