คืนชีพให้ประวัติศาสตร์

Heidentor gate



วิธีการนี้ถูกเรียกว่า "ภาพเสมือนจริงแบบโลว์เทค" ด้วยการนำเอาภาพเชิงซ้อนของโครงสร้างสถาปัตยกรรม มาติดตั้งไว้ที่มุมหนึ่งของโบราณสถาน ในระยะห่างและองศาจะทำให้ผู้มองผ่านกระจกได้เห็นภาพลายเส้นสันนิษฐานทับซ้อนกับโครงสร้างที่เหลืออยุ่ได้อย่างเหมาะพอดี จนมองเห็นภาพได้ว่าสมัยก่อนซากโบราณนี้เคยมีลักษณะอย่างไร
 
โบราณสถานที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกแห่งนี้คือ ประตูไฮเดนทอร์ ประตูโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่เกือบ 900 เมตรทางทิศใต้จากใจกลางเมืองคาร์นุนตุม (Carnuntum) เป็นเมืองโบราณสมัยอาณาจักรโรมัน ในอดีตมีประชากรประมาณ 50,000 คน ปัจจุบันเหลือแต่ซากเมืองอยู่ในประเทศออสเตรีย 
 
ประตูโบราณนี้มีลักษณะเป็นโครงสร้างประตูโค้งสี่ด้าน แต่ละด้านมีความกว้าง 14.5 เมตร แท่นที่อยู่ตรงกลางน่าจะมีรูปปั้นของเทพหรือจักรพรรดิอย่างใดอย่างหนึ่ง ประตูแบบนี้เรียกในภาษลาตินว่า Tetrapylon หรือ ประตูสี่ทิศฉลองชัยชนะ มักถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะโดยกองทัพท้องถิ่น ส่วนประตูไฮเดนทอร์คาดว่าจะสร้างขึ้นในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติอุสที่ 2 (ค.ศ. 351-361)

คนท้องถิ่นในสมัยหลังๆ คิดว่ามันเป็นประตูเมือง ซึ่งไม่ตรงกับหลักฐานทางโบราณคดีที่บ่งชี้ว่ามันเป็นประตูชัย นอกจากนี้ยังเรียกมันว่า Heidentor ในภาษาอังกฤษคือ Heathens' Gate หรือ Pagans' Gate ที่แปลว่า ประตูของพวกนอกศาสนา
ภาพจาก Römerstadt Carnuntum
Cr.https://www.posttoday.com/world/598356
 
 
   
 
Roman city of Volubilis 
 
 
 
โวลูบิลิส เป็นโบราณสถานโรมันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดของโมร็อคโค สร้างประมาณ ปีพ.ศ. 583 ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของโมร็อคโคใน พ.ศ. 2540 โวลูบิลิส มีชื่อเสียงเนื่องจากมีกระเบื้องโมเซคที่สวยงามและอยู่ในสภาพสมบูรณ์หลายแห่ง  ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต

โวลูบิลิส ตั้งอยู่บนตีนเขาเซอร์ฮูนอย่างเดียวดายและถูกทอดทิ้งมานาน ตอนนี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งเพราะนักท่องเที่ยวจำนวนมาก  เมืองโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าต้นมะกอกใกล้กับเมืองเม็กเนส และเป็นสถานที่ที่ทำให้เกิดการสร้างพิพิธภัณฑ์และศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแห่งใหม่ขึ้น เพราะดึงดูดนักท่องเที่ยวนับแสนคนเข้ามา นักท่องเที่ยวเหล่านี้เดินทอดน่องไปตามทางเดินหลักที่มีหน้ามุขและซากเคหสถานขนาดยักษ์ ซึ่งตกแต่งปูกระเบื้องโมเสกบนพื้นอันแสดงถึงความรุ่งเรืองสมัยก่อน ขณะที่มีประตูชัยอันเป็นสัญลักษณ์สถาปัตยกรรมแบบโรมันตั้งอยู่ด้านบนสุด

เมืองโวลูบิลิสหรือ “วาลีลี” เรียกตามภาษาอารบิกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี 2540 โมฮัมเหม็ด อาลีลู ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่และผู้ช่วยผู้ดูแลกล่าวว่าเมืองโบราณแห่งนี้ตั้งตระหง่านผ่านอารยธรรมมาหลายยุกคสมัย ตั้งแต่ยุคมอริตอเนียไปจนถึงโรมันและยุคอิสลาม



ปลายศตวรรษที่ 17 สุลต่านมูเลย์ อิสมาอิลส่งทาสนับหมื่นคนมาขโมยเอาเสาหินอ่อนของโวลูบิลิสไปสร้างพระราชวังของตนเองในเมืองเม็กเนส อาลีลูผู้ดูแลโบราณสถานนี้ว่ากว่า 30 ปีเล่าต่อว่าพบเสาที่ทาสทิ้งอยู่ระหว่างทางจากโวลูบิลิสไปเมืองเม็กเนส  เมื่อทราบว่ามูเลย์ อิสมาอิลสิ้นพระชนม์ก็เลยหนีไป
การขุดโวลูบิลิสเริ่มขึ้นในปี 2458 พร้อม ๆ กับโครงการวิจัยและบูรณะ แต่เมื่อโวลูบิลิสได้รับความสนใจก็พาให้ตกเป็นเป้าหมายของการปล้น โดยเฉพาะในช่วงที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2455 ถึง 2499 

อาลีลูกล่าวว่าเรื่องปล้นเหล่านั้นเป็นอดีตไปแล้วเพราะทุกวันนี้ “สถานที่แห่งนี้มีรั้วกั้นและได้รับการคุ้มกันอย่างดี” ด้วยเจ้าหน้าที่ 14 นายที่ทำงานทั้งวันทั้งคืน และยังมีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกที่อีกด้วย โดยนับตั้งแต่เปิดพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่ปี 2556 เมืองเก่าแห่งนี้ก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาได้นับแสนคนต่อปี
Cr.http://www.oceansmile.com/Morocco/Morocco-meknes.htm
 
 
 
 
The Poor Man of Nippur 


 
มนุษย์มีภาษาที่ตายไปแล้วอยู่หลายภาษา หนึ่งในนั้นคือภาษาบาบิโลนโบราณที่ไม่มีใครใช้มาเป็นเวลาร่วม 2,000 ปี แต่นักภาษาศาสตร์สร้างภาพยนตร์ภาษาบาบิโลนเรื่องแรกของโลก หวังคืนชีพภาษาที่ตายไปแล้ว
  
เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน  2018 ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์คนหนึ่ง ออกมาจัดโครงการที่จะคืนชีพภาษาพูดของบาบิโลนขึ้นมา โดยแนวคิดสุดแปลกนี้ เริ่มต้นมาจากการที่ ดร.มาร์ติน วอชิงตัน และนักเรียนของเขาจำนวนหนึ่งได้เรียนรู้ภาษาบาบิโลนโบราณ และหลงใหลในเสน่ห์ของภาษาโบราณเหล่านั้น
  
ดังนั้น พวกเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกันทำภาพยนตร์เรื่องแรกของโลก ที่มีการใช้ภาษาบาบิโลน  จากการรายงานของสื่อต่างประเทศ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะใช้นิทานพื้นบ้านที่ถูกบันทึกไว้ในแผ่นจารึกดินเหนียวเมื่อ 701 ปีก่อนคริสตกาลเป็นเนื้อเรื่องหลัก และมีชื่อว่า “The Poor Man of Nippur” (คนจนแห่งเมืองนิปปูร์)
 
The Poor Man of Nippur (สามารถรับชมได้จากช่อง Cambridge Archaeology)
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 
 
โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนเลี้ยงแพะคนหนึ่ง ที่ล้างแค้นเจ้าเมืองที่ฆ่าแพะของเขาด้วยการทำลายเจ้าเมืองสามครั้ง  โดยคำพูดของตัวละครทั้งหมดในเรื่อง จะถูกถ่ายทอดออกมาในภาษาบาบิโลนทั้งหมด และมีคำบรรยายเป็นภาษาต่างๆ กว่า 17 ภาษาทั่วโลก (น่าเสียดายที่ยังไม่มีภาษาไทย)
  
นอกจากตัวภาพยนตร์ที่ออกมาแล้ว ดร.มาร์ตินยังได้สร้างเอกสารแบบพิเศษ ที่มีการบันทึกเรื่องราว และเอกสารต่างๆ ในภาษาบาบิโลนที่เคยมีการค้นพบ สำหรับคนที่สนใจอีกด้วย  และสำหรับคนที่สนใจจะศึกษาภาษาโบราณ ซึ่งไม่ได้มีเพียงภาษาบาบิโลน แต่ยังรวมไปถึงภาษาเมโสโปเตเมีย และอียิปต์โบราณ ดร.มาร์ตินก็วางแผนที่จะจัดอบรมเกี่ยวกับภาษาเหล่านี้ในอนาคตด้วย 
ที่มา telegraph และ ancient-origins
Cr.https://www.catdumb.com/revives-ancient-babylonian-language-378/ By เหมียวศรัทธา   
 

chernobyl


กว่า 30 ปีหลังจากเกิดภัยพิบัติครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์พลังงานนิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังถูกปิดไปนาน เศษซากของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เชอร์โนบิล 

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลเดิมเป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ประกอบด้วยเครื่องปฏิกรณ์ 4 ตัวแต่ละตัวผลิตไฟฟ้าได้ 1,000 เมกะวัตต์ เริ่มใช้งานตั้งแต่ปี 1977 เมื่อเดือนเมษายน ปี 1986 เครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ 4 เกิดระเบิดขึ้น ผลจากการระเบิดทำให้เกิดขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ ปกคลุมทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ ต้องอพยพประชากรมากกว่า 300,000 คนออกจากพื้นที่อย่างฉุกเฉิน 
มีผู้เสียชีวิตทันทีจากการระเบิดครั้งนั้น 31 คน และมีผู้ได้รับผลกระทบในระยะยาวอีกจำนวนมากถึงกว่า 600,000 คน รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตรังสีที่อาจสูงถึง 4,000 คน เครื่องปฏิกรณ์ถูกทยอยปิดใช้งานเป็นลำดับจนครบทั้งหมดในปี 2000 ปล่อยให้โรงไฟฟ้ารวมทั้งเมือง Pripyat ที่อยู่ใกล้กันถูกทิ้งร้างนาน 18 ปีมาแล้ว

ปี 2013 บริษัท RODINA – ENERPARC AG ผุดไอเดียทำโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลเดิมซึ่งมีพื้นกว้างใหญ่ มีอุปกรณ์และระบบส่งไฟฟ้าเชื่อมต่อกับระบบสายส่งไฟฟ้าของประเทศยูเครนพร้อมสรรพอยู่แล้ว งานก่อสร้างเริ่มในปี 2017 การติดตั้งแล้วเสร็จและเริ่มผลิตไฟฟ้าได้เมื่อเดือนกรกฏาคม ปี 2018
  
โรงไฟฟ้าใหม่นี้ใช้เงินลงทุนราว 1 ล้านยูโร ประกอบด้วยแผ่นโซลาร์เซลล์มากกว่า 3,700 แผ่น ติดตั้งบนพื้นที่ 16,000 ตารางเมตร ห่างจากเครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ 4 จุดที่เกิดระเบิดเมื่อ 30 กว่าปีก่อนแค่เพียง 100 เมตรเท่านั้น กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าใหม่คือ 1 เมกะวัตต์ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เดิมที่มีกำลังการผลิตรวม 4,000 เมกะวัตต์ แต่พวกเขามีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 100 เมกะวัตต์ในอนาคต 

การเลือกใช้พื้นที่ในโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลมาใช้ทำประโยชน์สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์นี้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมและลงตัว เพราะมีพื้นที่มากถึง 2,600 ตารางกิโลเมตรที่ต้องปล่อยว่างเอาไว้ ใช้อยู่อาศัยไม่ได้เพราะไม่ปลอดภัย ใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมก็ไม่เหมาะสม แต่พวกสัตว์ป่าท้องถิ่นดูเหมือนมีความสุขมากขึ้นเมื่อไม่มีคน และที่สำคัญคือจะมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่โครงข่ายหลักอย่างเพียบพร้อมอยู่แล้วนั่นเอง
ข้อมูลและภาพจาก solarchernobyl, newatlas
Cr.https://www.takieng.com/stories/11687

 Swiss army bunkers


 
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีเครือข่ายของบังเกอร์ หรือที่หลบภัยของทหารอยู่มากถึงราว 8,000 แห่งทั่วประเทศ หลังสิ้นสุดสงคราม สวิตเซอร์แลนด์ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการดูแลบังเกอร์เหล่านี้ ขณะที่ภัยคุกคามอันจะเกิดจากสงครามก็ลดน้อยลง ความจำเป็นที่จะใช้บังเกอร์เหล่านี้ก็น้อยลงไปด้วย การใช้งบประมาณเพื่อการดูแลจึงดูเป็นการสิ้นเปลือง
 
ดังนั้นนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ก็เริ่มปล่อยบังเกอร์เหล่านี้ มีทั้งขายทิ้ง ปิดตาย บางแห่งก็เก็บเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ 
ที่เมือง ฟูลองซี ก็เป็นหนึ่งในที่ตั้งของบังเกอร์จำนวนมากที่ทหารของค่ายฟูลองซีเคยใช้ในช่วงปี ค.ศ.1943-1993 หลังจากนั้นบังเกอร์เหล่านี้ก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไม่ได้ทำอะไรเหมือนกับบังเกอร์อื่นๆ แต่ด้วยความงดงามของทิวทัศน์เมืองฟูลองซีที่รายล้อมไปด้วยภูเขาตามสไตล์ของสวิตเซอร์แลนด์ แทนที่จะปล่อยให้บังเกอร์เหล่านี้ถูกทิ้งร้างเสียเปล่าๆ จึงได้มีการปรับเปลี่ยนบังเกอร์ทั้งหลายให้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก มีทั้งโรงแรม พิพิธภัณฑ์ หรือแม้แต่โรงงานผลิตชีส เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น การดัดแปลงบังเกอร์แห่งหนึ่งให้เป็นโรงแรม อย่าง โรงแรมลา คลอสตรา ที่ถือว่าสร้างความแปลกใหม่ของห้องพักในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ปกติต้องเห็นวิวสวยของเมือง แต่โรงแรมแห่งนี้ซึ่งสร้างอยู่ภายในบังเกอร์ในภูเขากอทธาร์ด มีทั้งหมด 17 ห้องพัก แม้ว่าจะตกแต่งสวยหรูทั้งห้องอาหารและห้องพัก แต่ไม่มีวิวให้ดู มีแต่กำแพงทึบและตกแต่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ได้บรรยากาศของการอยู่ในบังเกอร์อย่างแท้จริง



หรืออย่างป้อมปืนใหญ่ในเมืองฟูลองซี ก็ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมกัน ในชื่อ แซสโซ ซาน กอตตาร์โด ที่ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความพยายามในการกำจัดผู้รุกรานในยุคศตวรรษที่ 20  ตัวอย่างของการปรับเปลี่ยนอดีตให้เป็นปัจจุบันเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปกป้องความเป็นสวิตเซอร์แลนด์เอาไว้ รวมทั้ง “ธรรมชาติ” ที่ยังคงอยากให้สวยงามต่อไป
ที่มา
น.ส.พ.มติชน รายวัน ฉบับวันที่ 19 มกราคม พ.ศ.2559
ผู้เขียน ศรีสกุล ลีลาพีระพันธ์ 
Cr.https://www.matichon.co.th/foreign/news_7901

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่