วัฒนธรรมของฉัน

กระทู้คำถาม
  ศิลปและวัฒนธรรม 
ศิลปและวัฒนธรรมของภาคอีสานโดยภาพรวมมีดังนี้
      1.การทอผ้า มีการสืบทอดการทอผ้าต่อๆกันมาไม่ขาดสาย ชนิดของผ้าเป็นประเภทผ้าไหม และผ้าฝ้าย เช่น ผ้าไหมมัดหมี่, (หมายเหตุ คำว่า มัดหมี่ คือกรรมวิธีทอผ้า ชนิดหนึ่ง โดยวิธีการมัดเส้นด้ายก่อนนำมาย้อมสีเพื่อนำไปทอเป็นผ้าต่อไป)
  เพลงพื้นบ้าน
แบ่งแยกได้เป็น 2 ประเภท คือ เพลงพิธีกรรม และ เพลงการละเล่น
1) เพลงพิธีกรรม ได้แก่ เพลงที่ใช้ในการ ขับประกอบพิธีบวงสรวงเซ่นไห
ว้ หรือใช้ประกอบในการ แสดงหรือเทศนาธรรม เช่น ลำพระเวส(เทศน์เรื่องพระเวสสันดร
ชาดก หรือเทศน์มหาชาติ)  หรือเรียกว่า เทศน์แหล่, ลำผีฟ้า ซึ่งเป็นพิธีกรรมเพื่อรักษาคนป่วย, และเพลงที่ใช้ประกอบพิธี บายศรีสู่ขวัญ
2) เพลงการละเล่น มี หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำเพลิน และเพลงโคราช เป็นต้น
  การฟ้อนรำ 
ประเภทฟ้อนรำใช้ในพิธีกรรม ได้แก่ ฟ้อนผีฟ้า, ฟ้อนภูไท, ฟ้อนไทดำ,เซิ้งบั้งไฟ, รำบายศรี เป็นต้น
ประเภทฟ้อนรำเพื่อความสนุกสนาน ได้แก่ เซิ้งสวิง, เซิ้งกะติ๊บ, รำโปงลาง, ฟ้อนกลองตุ้ม, รำกลองยาวอีสาน เป็นต้น
เครื่องดนตรีอีสาน 
 เครื่องเป่า ได้แก่ แคน, โหวด, และ ปีไสล, เครื่องดีด ได้แก่ พิณ,กระจับปี่, และเครื่องสี เช่น ซอกันตรึม เป็นต้น
นิทานพื้นบ้าน
    นิทานพื้นบ้านของภาคอีสาน ต่างมีรูปแบบทั้งนิทานขนาดสั้น และนิทานขนาดยาว โดยบางเรื่องอาจหยิบยกเรื่องใกล้ตัวมาเล่า ขณะที่บ้างเรื่องเป็นนิทานที่สอดแทรกจินตนาการ โดยเฉพาะเรื่องอภินิหารต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะให้ประโยชน์ด้านความบันเทิงแล้ว นิทานพื้นบ้านของภาคอีสานมักสอดแทรกคติธรรม คำสอน เพื่อให้ผู้ฟังได้ตระหนักถึงการใช้ชีวิตให้มากขึ้น
          ทั้งนี้ นิทานพื้นบ้านของภาคอีสานที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย อาทิ แก้วหน้าม้า อุทัยเทวี นางสิบสอง ปลาบู่ทอง กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ นางผมหอม ผาแดงนางไอ่ ทุ่งกุลาร้องไห้ ขูลูนางอั้ว ฯลฯ
การละเล่นพื้นเมือง
    เนื่องจากภูมิประเทศภาคอีสานเป็นที่ราบสูง ค่อนข้างแห้งแล้ง เพราะพื้นดินไม่เก็บน้ำ ฤดูแล้งจะกันดาร ฤดูฝนน้ำจะท่วม แต่ชาวอีสานก็มีอาชีพทำไร่ทำนา และเป็นคนรักสนุก ดังนั้นจึงสามารถหาความบันเทิงได้ทุกโอกาส โดยจะมีทั้งการร้องเพลง และฟ้อนรำ ทั้งนี้ การแสดงของภาคอีสาน มักเกิดจากกิจวัตรประจำวัน หรือประจำฤดูกาล และลักษณะการแสดงซึ่งเป็นลีลาเฉพาะของอีสาน คือ ลีลา และจังหวะในการก้าวเท้า ที่มีลักษณะคล้ายเต้น แต่นุ่มนวลกว่า และมักเดินด้วยปลายเท้า โดยจะสบัดเท้าไปข้างหลังสูง
ซึ่งตัวอย่างเพลงพื้นเมือง ที่มักนิยมขับรองกัน ได้แก่ หมอลำ
 เพลงโคราช เจรียง กันตรึม เพลงล่องโขง เพลงแอ่วแคน ขณะที่ การฟ้อนรำ ได้แก่ แห่นางแมว เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งสวิง เซิ้งโปงลาง เซิ้งตังหวาย เซิ้งกระติบ รำลาวกระทบไม้ ฟ้อนภูไท เป็นต้น 
ประเพณี
    บุญผะเหวด บุญพระเวสสันดร หรือ บุญมหาชาติ ซึ่งเป็นการทำบุญในเดือนสี่ บางครั้งก็เรียก “ บุญเดือนสี่” ในบางท้องถิ่นจะทำบุญเดือนนี้ในเดือนสามรวมกับบุญข้าวจี่และบุญกุ้มข้าวใหญ่ ให้เป็นบุญเดียวกันส่วนเดือนสี่ก็เว้นไว้ บุญผะเหวดส่วนมากจะกระทำกันในเดือนสี่ประเพณีการเล่นว่าวเป็น ประเพณีไทยภาคอีสาน โดยมากจะมีการเล่นที่แฝงไว้กับจุดมุ่งหมาย โดยเฉพาะเรื่อง การบวงสรวงหรือการเสี่ยงทาย จะเห็นว่าการเล่นว่าวของชาวอีสานมีความเชื่อมโยงกับเรื่อง ของความเชื่อกับการพยากรณ์ การเสี่ยงทายความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธ์ธัญญาหารประเพณีบายศรีสู่ขวัญ เป็นประเพณีไทยที่มีในหลายจังหวัดของประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดทางภาคอีสาน ประเพณีบายศรีสู่ขวัญใช้เครื่องเชิญขวัญที่เรียกว่า บายศรี ทำด้วยใบ
ตอง รูปคล้ายกระทง เป็นชั้น ๆ มีขนาดใหญ่เล็กสอบขึ้นไปตามลำดับ เป็น 3 ชั้น 5 ชั้น 7 ชั้น หรือ 9 ชั้น มีเสาปักตรงกลางเป็นแกน มีเครื่องสังเวยวางอยู่ในบายศรี และมีไข่ขวัญ (ไข่ต้ม) เสียบอยู่บนยอดบายศรี มีหลายประเภท เช่น บายศรีตอง บายศรีปากชาม บายศรีใหญ่ (ภาษาเขมร บาย = ข้าว + ศรี = สิริ หมายความว่า ข้าวอันเป็นสิริหรือข้าวขวัญ) มีการพันสายสิญจน์ไว้โดยรอบเพื่อใช้ผูกข้อมือผู้รับขวัญ ผู้นำทำพิธีเรียกว่า หมอขวัญประเพณีบุญข้าวประดับดินนี้ นอกจากจะเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษและผีไร้ ญาติตามความเชื่อแล้ว ถือว่าเป็นการให้ทานแก่ผู้ยากไร้รวมทั้งสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ ที่ต้องหิว อดมื้อกินมื้อมาตลอดทั้งปีด้วย เพราะการที่ตั้งอาหารไว้ที่พื้นทำให้สัตว์เหล่านั้นสามารถเข้ามากินอาหารได้ อย่างเต็มที่ ทุกวันนี้คนเราส่วนมากมักนึกถึงแต่เรื่องของตนเองเป็นสำคัญ การมีงานบุญงานประเพณี อย่าง บุญห่อข้าวประดับดิน จะช่วยกระตุ้นเตือนให้เราได้นึกถึงผู้อื่นบ้าง จึงน่าจะถือได้ว่าเป็นวันแห่งการชำระล้างความ
เห็นแก่ตัวออกไปจากจิตใจด้วย
ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีไทย อย่างหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงชาวลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่
ประเพณีบุญบั้งไฟ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญเดือนหก เป็นประเพณีไทยที่จัดขึ้นประจำทุกปี ในช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะลงมือทำนา สำหรับที่จังหวัดยโสธรจะจัดงานบุญบั้งไฟในวันสุดสัปดาห์ที่ ๒ ของเดือนพฤษภาคม ในวันศุกร์จะเป็นวันที่คณะบั้งไฟทั้งหลายแห่ขบวนเซิ้งเพื่อขอรับบริจาคเงิน ซื้ออาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งของจำเป็นในการร่วมทำบุญ สำหรับวันเสาร์จะเป็นวันแห่ขบวนฟ้อนรำเพื่อการแข่งขันด้านความสวยงามของท่า ฟ้อนในจังหวะต่าง ๆ ตลอดทั้งการตกแต่งบั้งไฟและการจัดขบวนที่สวยงาม ส่วนในวันอาทิตย์จะเป็นวันจุดบั้งไฟ แข่งขันการขึ้นสูงของบั้งไฟ และการที่บั้งไฟสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานจะเป็นเครื่องตัดสินการชน
ะเลิศ ของการแข่งขัน 

ประเพณีตีคลีไฟ เป็นประเพณีไทยจากภูมิปัญญาท้องถิ่น จัดให้มีขึ้นมาแต่โบราณ โดยได้แนวคิด มาจากการตีคลีของพระสังข์กับพระอินทร์ในวรรณคดี เรื่อง สังข์ทอง การตีคลีไฟเป็นวิธีการแก้ปัญหาการขาดเครื่องนุ่งห่มในสมัยก่อน หน้าหนาวจะหนาวมาก พวกผู้ชายจะออกมาที่สนามหน้าลานบ้านแล้วมาร่วมเล่นตีคลีไฟกับพวกผู้หญิง ๆ จะเป็นผู้เผาลูกคลีไฟ ทำให้หายหนาวได้ และเป็นการสร้างความสามัคคีให้ แก่คนในหมู่บ้านอย่างชาญฉลาด โดยการตีคลีไฟ เป็นหนึ่งในประเพณีไทยเพื่อการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม ให้การเล่นดังกล่าว ได้รับการถ่ายทอดจากคนรุ่นหลัง ผู้เป็นต้นเค้าการเล่นครั้งแรก คือ นายหล้า วงษ์นรา ผู้ใหญ่บ้านหนองเขื่อง ตำบลกุดตุ้ม อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิเริ่มเล่นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งเป็นปีแรกที่ตั้งหมู่บ้านหนองเขื่อง ที่เพิ่งแยกตัวมาจากบ้านกุดตุ้ม และสืบสานต่อคนหนุ่มใน
บ้านหนึ่ง ไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง ถือว่าตีคลีไฟ เป็นประเพณีของหลายหมู่บ้าน ในละแวกเดียวกัน ใช้เชื่อมความสัมพันธ์ของคนในหมู่บ้าน และได้สืบสานต่อเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้รัก และอนุรักษ์กีฬาตีคลีลูกไฟ ซึ่งจะเล่นกันในฤดูหนาว ช่วงพระอาทิตย์ลับฟ้า และเพื่อให้เกิดความ สวยงาม และช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ถือเป็นการวัดใจของผู้ชายอย่างแท้จริง เพราะเป็นความสมัครใจในการเล่น

 
การละเล่นผีตาโขน เป็นประเพณีไทยที่สำคัญและมีมานานแล้วแต่ไม่มีหลักฐานปรากฎแน่ชัดว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ชาวบ้านได้ปฏิบัติและสืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ เป็นประเพณีไทยที่เป็นเอกลักษณ์ ประเพณีแห่ผีตาโขนจัดเป็นส่วนหนึ่งในงานบุญประเพณีไทยใหญ่หรือที่เรียกว่า "งานบุญหลวง" หรือ "บุญผะเหวด" ซึ่งตรงกับเดือน 7 มีขึ้น
ที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และจัดเป็นการละเล่นที่ถือเป็นประเพณีทุกปี เกี่ยวโยงกับ งานบุญพระเวสหรือเทศน์ มหาชาติ ประจำปีกับพระธาตุศรีสองรัก ปูชนียสถานสำคัญของชาวด่านซ้าย
 

ประเพณีแห่เทียนพรรษา ก่อนถึงวันเข้าพรรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ) พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะถือโอกาสเข้าวัดทำบุญ ถวายเทียนพรรษา ตามวัดวาอารามต่างๆ ถึงแม้ว่าปัจจุบันการถวายเทียนได้ถูกปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมกับเหตุการณ์ เป็นการถวายหลอดไฟฟ้าแทนแล้วก็ตาม การถวายเทียนพรรษาก็ยังคงอยู่คู่กับ
สังคมไทยในฐานะประเพณีแห่เทียนพรรษา
 

ประเพณีแห่นางแมว เป็นพิธีกรรมขอฝนของเกษตรกรไทยจัดขึ้นทั้งในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงหนือ เมื่อใกล้ฤดูเพาะปลูกแล้วแต่ฝนยังไม่มาหรือมาล่าช้ากว่าปรกติ ส่งผลให้ข้าวในนา พืชในสวนขาดน้ำหล่อเลี้ยง ให้ผลผลิตไม่ได้เต็มที่ ชาวนา ชาวไร่ก็จะจัดพิธีแห่นางแมวขอฝนที่ทำสืบต่อกันมาด้วยความเชื่อที่ว่า หากทำพิธีแห่นางแมวแล้ว อีกไม่ช้าฝนก็จะตกลงมา
 
ประเพณีไหลเรือไฟ งานไหลเรือไฟออกพรรษา
ในคืนวันออกพรรษา จังหวัดทางภาคอีสานที่ติดกับลุ่มน้ำมูล ชี และโขง จะมีประเพณีการปล่อยเรือไฟไหลไปตามลำน้ำ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ในชื่อว่า ประเพณีไหลเรือไฟ หรือในภาษาถิ่นจะเรียกว่า เฮือไฟ โดยจะจัดขึ้นในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ หรือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี นอกจากสะท้อนให้เห็นถึงศรัทธาในพระพุทธศาสนานของชาวบ้านแล้ว ยังเแสดงถึงความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชนเดียวกันอีกด้วย
ซึ่งแต่ละท้องถิ่นก็จะมีคติความเชื่อเกี่ยวกับการไหลเรือไฟคล้ายๆ กัน นั่นคือ การไหลเรือไฟเพื่อเป็นการสักการะบูชาสิ่งที่เคารพนับถือ เช่น เพื่อเป็นเครื่องสักการะบูชารอยพระพุทธบาท บวงสรว
งพระธาตุจุฬามณี การขอขมาแม่พระคงคาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปในแม่น้ำลำคลอง บรวงสรวงต่อพญานาค บางแห่งเชื่อว่าการไหลเรือไฟเป็นการสะเดาะเคราห์ ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกไปจากตนเองและครอบครัว บ้างก็เชื่อว่าการไหลเรือไฟจะทำให้ปีต่อๆ ไปฝนตกต้องตามฤดูกาล ด้วยเหตุนี้ สมัยก่อนแต่ละหมู่บ้านก็จะร่วมกันสร้างเรือไฟขึ้นมาสำหรับหมู่บ้านหรือชุมชนของตนเองก่อนจะนำมารวมกันที่ลำน้ำ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่